ปีใหม่ที่เจ็ดเสมียนในอดีต

   

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนล้วนๆ เป็นเด็กตลาดรุ่นเล็กกว่าผู้เขียนไปหลายรุ่น ตัวเล็กๆที่นั่งอยู่นั้นปัจจุบันอายุเกือบ ๕๐ ปีกันเข้าไปแล้ว และแยกย้ายกันไปจากเจ็ดเสมียนเกือบหมด

   คนเริ่มทยอยกันมาดูหนังในคืนนี้แน่นขึ้น มากขึ้นตามลำดับ รถฉายหนังก็ฉายหนังตัวอย่างมั่ง หนังสารคดีสั้นๆมั่งขัดตาทัพไปก่อน      มีการ์ตูนเรื่องหนึ่งสั้นๆจำไม่ได้ว่าเป็นของไทยหรือของฝรั่ง รถฉายหนังขายยาคันไหนก็จะมีการ์ตูนเรื่องนี้มาฉายด้วยทุกคัน
    เป็นหนังที่แนะนำ เรื่องส้วม  เขาแนะนำให้คนไทยทุกครัวเรือนปลูกสร้างส้วม ให้ถ่ายในส้วมอย่างน้อยเป็นส้วมหลุมก็ยังดี เพราะว่าในตอนนั้นคนไทยนิยมออกไปถ่ายอุจจาระในป่าหลังบ้าน แล้วจะเกิดเชื้อโรคโดยแมลงวันไปตอมแล้วก็บินมาตอมอาหารของเรา
    หรือว่าเกิดฝนตกอุจจาระเหล่านั้นจะไหลเละ เมื่อกลายเป็นเชื้อโรคแล้วไหลลงไปในบ่อน้ำกินน้ำใช้ ทำให้เกิดโรคระบาด เหล่านี้เป็นต้น เป็นการ์ตูนที่วาดได้ดีมาก ปัจจุบันนี้ไม่เคยเห็นหนังเหล่านี้ คนไทยคงใช้ส้วมซึมกันหมดแล้วจึงไม่ได้นำมาฉายอีก

    หนังตัวอย่างและหนังสารคดีฉายหมดแล้วก็หยุด เปิดไฟที่หลังคารถสว่างจ้าโฆษณาขายยาสารพัด  นานๆเข้าพอเห็นว่าคนชักจะเบื่อโฆษณาแล้ว หนังเรื่องจึงเริ่มฉาย  พวกเด็กตลาดหลายคนที่กลับมาจากหน้าโรงเรียน ก็มาจับกลุ่มคุยกันที่หน้าร้านเฮียแก่เล็ก (ร้านกาแฟแป๊ะอู๋) เป็นกลุ่มๆ 

  

นายพิศิษฐ์ ชื่นณรงค์ (แก่เล็ก ซ้าย) โอฬาร ลักษิตานนท์ (อู๊ด ) ภาพปัจจุบันนี้

    บางคนไปจับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าบ้านกำนันแล้วแต่รุ่นใครรุ่นมัน  ผมจับกลุ่มคุยอยู่กันสี่ห้าคนที่หน้าบ้าน ไอ้ธร มีไอ้โห้ ไอ้อู๊ด ไอ้มูล ไอ้วี รวมอยู่ด้วย ผมมองมาทางบ้านผมซึ่งเป็นห้องแถวซึ่งอยู่เกือบตรงกันข้ามกับบ้านไอ้ธร  เห็นที่บ้านปิดประตูหน้าถังแล้ว เหลือบานไม้ไว้เพียงบานเดียวแง้มๆเอาไว้ ซึ่งก็เป็นปกติ

เด็กวัยรุ่นเช่นเด็กเจ็ดเสมียนกลุ่มนี้ ชอบที่จะไปชุมนุมกันที่ไดที่หนึ่ง ในภาพนี้ที่บ้านนายไล้ขายกาแฟตลาดเจ็ดเสมียน รูปนี้เขาส่งชื่อมาให้ทุกคน แต่ยังไม่ลงชื่อนะครับ

    เผื่อบางทีน้องของผมสามคนที่ออกมาข้างนอก  และขณะนั้นอาจจะไปรวมอยู่ในกลุ่มเพื่อนของเขา เมื่อเขาอยากจะกลับเข้าบ้านก่อน จะได้เข้าบ้านได้
    ส่วนแม่ของผมนั้นคิดว่าคงดูหนังอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน (ที่เด็กตลาดเจ็ดเสมียนเรียกว่าเล่าเต๊ง) ซึ่งเป็นนอกชานยื่นออกมาสักเมตรกว่า ๆ แล้วตีไม้เป็นลูกกรงเอาไว้ เผื่อกันตกลงมา 
    แต่ก็ไม่แน่แม่ของผมอาจจะไปกินหมากกับป้าม่อม ที่บ้านป้าจ่างขายขนมจีนตรงเยื้องๆกับสถานีรถไฟก็ได้

    นอกชานชั้นบนนี้ ในหน้าร้อนผมจะนอนที่ตรงนอกชานนี้เป็นประจำ เพราะถ้าอากาศร้อนๆแล้ว นอนนอกชานนี้มันสบายดีลมพัดโกรกตลอดเวลา ก่อนนอนต้องเอาเสื่อทับตีนมุ้งให้ดี เผื่อว่าตอนดึกๆลมกรรโชกแรงตีนมุ้งจะได้ไม่หลุดออกมาปลิวไสว ยุงกัดเป็นผื่นไปหมดทีเดียว

   ผมกวาดสายตามองไปทางซ้ายถัดจากบ้านผมอีก   เห็นร้านถ่ายรูปจำเนียรศิลป์บ้านของไอ้เหม่งยังไม่ปิด ยังเปิดไฟสว่างอยู่ มีคนเข้ามานั่งคุยและดูหนังกันอยู่หลายคน 
    ถัดไปอีกก็เป็นห้องของเจ๊อยู่ พี่สาวเฮียแก่เล็ก ซึ่งเป็นร้านแต่งหน้า ทำผมที่มีคนเป็นลูกค้ามากที่สุด  เห็นมีคนที่เป็นลูกค้าหลายคนที่กำลังสระผม ม้วนผม อบผมในเครื่องอบไฟฟ้าและที่กำลังนวดหน้าก็มี
    เจ๊อยู่มีลูกน้องสองสามคน ในนั้นมีญาติของผมด้วย คือพี่สำอาง กับพี่สะอาด เพ่งผล สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน กำลังสาละวนทำผมให้ลูกค้าอยู่ เหตุที่พี่ทั้งสองนี้เป็นพี่น้องหรือญาติกับผมนั้นก็เพราะว่า ทั้งสองคนใช้นามสกุล เพ่งผล ซึ่งเป็นนามสกุลของอาของผม คืออาสุวิทย์ เพ่งผล ที่เคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนนั่นเอง

พี่สะอาด เพ่งผล คือคนที่สองจากทางขวา คนแรกนั้นคุณนวลปราง คุ้มประวัติ ภาพนี้พี่สำอางค์ไม่ได้มาถ่ายด้วย

     ห้องแถวห้องนี้ เมื่อ ๕๐ ปี มาแล้วนั้น เป็นร้านเสริมสวยของ เจ๊ อยู่ พี่สาวของคุณแก่เล็ก ลูกแป๊ะอู๋ขายกาแฟ เมื่อเจ๊อยู่ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯแล้วนั้น ได้ขายห้องนี้ไปให้กับ นางน้อย  ปัจจุบันนี้ก็วนเวียนมาเป็นร้านเสริมสวยอีกครั้งหนึ่ง 
    เกือบสามทุ่มแล้วตามที่ไอ้เล็กมันนัดกับผมไว้ ให้ผมไปดูต้นทางให้มันที่หลังบ้านเจ๊อยู่ หลังบ้านของเจ๊อยู่นั้น ก็ใกล้กับหลังบ้านของผมนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามีหลังบ้านของร้านถ่ายรูปจำเนียรศิลป์ คั่นอยู่อีกหนึ่งห้องเท่านั้น  
    หลังบ้านของทุกห้องนั้นจะมีประตูสำหรับเปิดออกมา เพื่อตากผ้าหรือทำอย่างอื่นก็ได้เพราะว่ามีเนื้อที่พอสมควร และหลังบ้านที่ติดกับกำแพงโบสถ์นั้น สามารถเดินติดต่อกันได้ และทะลุถึงกันได้ตลอด

หลังบ้านที่ติดกับกำแพงโบสถ์ ก็ยังมีที่นิดหน่อยสำหรับวางแคร่นั่งเล่น หรือปลูกต้นไม้ไว้ดูเล่น ข้างหลังเด็กชายคนนี้ จะเห็นเจดีย์เก่าแก่สร้างตามแนวกำแพงโบสถ์ ไปอีกหลายสิบองค์ จนทะลุบ้านนายโหงวตีมีดซึ่งเป็นห้องแถวหลังสุดท้าย

      ผมพยายามสอดส่ายสายตาดู คนที่มาอยู่กับเจ๊อยู่ ที่ชื่อจัน มองอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็น คงจะดูแลเด็กลูกของเจ้อยู่ อยู่ข้างในร้านนั่นเอง เวลานั้นประมาณ ๓ ทุ่มกว่าๆแล้วผมเหลียวมอง ไอ้เล็ก ที่มันนัดกับผมไว้ว่าประมาณ ๓ ทุ่มนั้น ให้ผมไปเป็นเพื่อนมันตามที่ได้คุยกันไว้แล้ว  เวลานี้ก็สามทุ่มเศษๆแล้วมันก็ยังไม่มา

     หนังขายยาเริ่มฉายหนังเรื่องๆแรกแล้ว มันเป็นหนังญี่ปุ่นในเรื่อง ยอดยูโด  ซึ่งเป็นหนังขาวดำ ดูสนุกมาก ในขณะที่ผมกำลังนั่งดูหนังเพลินๆอยู่นั้น  มีคนมาสะกิดหลังผมๆได้ยินมันพูดว่า "เฮ้ยเก้ว ไปกันเถอะสามทุ่มกว่าแล้ว" เพื่อนผมที่ต่างคนต่างนั่งดูหนังกันนั้น นั่งจ้องดูหนังกันเขม็งจึงไม่รู้ว่าผมลุกออกไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร


     ผมเดินแทรกคนที่ยืนดูหนังกันอย่างหนาแน่น ผ่านร้านเจ๊เซี้ยมตาตี่ไปทางหน้าโบสถ์ เวลานั้นต่างคนต่างก็จ้องไปที่จอหนัง จึงไม่มีใครสนใจใคร ผมกับไอ้เล็กเดินลัดเลาะเข้าประตูโบสถ์ทางด้านหน้าโบสถ์ แล้วเดินไปที่กำแพงโบสถ์  มองเห็นหลังบ้านผมหลังบ้านร้านถ่ายรูป และหลังบ้านเจ๊อยู่ได้ถนัดตาเลยทีเดียว

    ดูกันให้ชัดๆอีกที ด้านหลังของห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียน จะติดกับกำแพงโบสถ์ ตลอดแนวจะมีเจดีย์ตั้งอยู่ นี่ถ่ายจากสถานที่จริงๆเลยทีเดียว หลังบ้านเจ๊อยู่จะถัดจาก เจดีย์ที่เห็นนี้ไปทางขวามืออีก หน่อยหนึ่ง แล้วตรงเจดีย์นั้นจะเป็นหลังบ้านผมถัดจากบ้านผมมาทางซ้ายนี้ ที่เห็นตีไม้ระแนงนั้น เป็นร้านถ่ายรูป จำเนียรศิลป์ (บ้านไอ้เหม่ง) นั่นเอง กำแพงสูงขนาดนี้ พวกผมกระโดดข้ามกันเป็นประจำ ผมเคยกระโดดแล้วพลาดเหมือนโดน "ตาผ้าขาว" ผลัก หล่นลงไปจุกลุกไม่ขึ้นตั้งนาน

     เราทั้งคู่กระโดดข้ามกำแพงโบสถ์แล้วมาหมอบลงข้างเจดีย์ใหญ่  ไอ้เล็กมันบอกว่า "เก้ว  มึงไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่ว่าคอยดูต้นทางให้กูเท่านั้น กูเข้าไปหาอีจันมันสักพักเดียวเท่านั้น แล้วกูก็จะกลับออกมา" 
    ผมพยักหน้าหงึกๆให้มันเห็นว่าเข้าใจแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันจะต้องให้ผมดูต้นทางให้มันทำไม ที่หลังบ้านอย่างนี้มืดค่ำขนาดนี้ไม่มีคนเดินมาหรอก ผมว่ามันคงกลัวผีที่กำแพงโบสถ์เสียแหละมากกว่า ว่าแต่มันเถอะ ที่มันเข้าไปนั้นมันก็เสี่ยงมากพอดูทีเดียวแหละ
    ถ้าเกิดเขาจับได้หรือเขาเห็นชัดๆ ว่าใครเข้ามาละก็ไอ้เล็กเอ๋ยมึงกับกูตายแน่ๆ และคนที่จะเอาตายนั้นไม่ใช่ใครก็กำนัน โกวิท พ่อของไอ้เล็กและผู้ใหญ่เสงี่ยม มือปราบนั่นเอง ไอ้เล็กนี่มันรนหาที่จริงๆ ไอ้ห่านี่ ผมด่ามันในใจ

   แล้วการปฏิบัติการแบบเป็นไปไม่ได้ ( Mission Impossible ) ของไอ้เล็กกับผมก็เริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบ  ผมนั่งบนแคร่ไม้ไผ่เล็กๆของเจ๊อยู่ ที่วางไว้หลังบ้านเสียงดังออดแอดเมื่อผมขยับตัวหรือตบยุง แคร่ไม้ไผ่นี้อยู่ใกล้เจดีย์องค์ใหญ่ที่ติดอยู่กับกำแพงโบสถ์ ท่ามกลางเสียงจึ้งหรีดร้องกันระงม ในบรรยากาศที่เงียบจึงได้ยินเสียงมันดังสนั่น
    นอกจากนั้นได้ยินเสียงหนังที่ฉายอยู่หน้าตลาดเสียงดังลั่น  ในตอนที่พระเอกซึ่งเป็นนักยูโด ยกผู้ร้ายขึ้นทุ่มได้นั้นเสียงคนดูตบมือเป่าปากกันเปี๊ยวป๊าว ชอบใจกันใหญ่ ผมเห็นไอ้เล็กมันเดินงุดๆก้มลงต่ำๆ คล้ายคนแก่หลังโกงไปยังประตูไม้เก่าๆหลังบ้านเจ๊อยู่ แล้วเอื้อมมือไปแง้มประตูออกมาอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางแสงสลัวๆ เพราะเป็นคืนข้างแรมเดือนจึงมืดแต่มืดไม่สนิทนัก

    นี่ผมว่าจันมันก็คงถอดกลอนข้างในไว้ให้แล้วละซี มันถึงจะเปิดได้สะดวกอย่างนั้น  จันมันก็คงชอบไอ้เล็กบ้างแหละน่า เพราะว่าไอ้เล็กมันเป็นถึงลูกกำนันผู้ยิ่งใหญ่ ผมก็คิดของผมเรื่อยเปื่อยในตอนที่ผมนั่งอยู่คนเดียว บรรยากาศเงียบๆแบบนี้มันก็น่ากลัวพิลึก ทั้งๆที่สถานที่นี้คือหลังบ้านที่คุ้นเคยมานานของผมเอง

    ไอ้เล็กมันจะเข้าไปทำอะไรก็เรื่องของมัน ผมคิดว่าผมมานั่งอยู่นี่ก็เพียงเพื่อมาเป็นเพื่อนมันเท่านั้น  ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมก็คงไม่มีความผิดอะไร ส่วนไอ้เล็กมันก็คงเอาตัวรอดของมันได้
   คืนวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ ที่จริงในตอนนี้ก็คือหน้าหนาว อากาศในปีนี้ไม่หนาวเลย มีตอนก่อนปีใหม่คือเมื่ออาทิตย์ก่อนนั้น ลมหนาวโชยๆมาบ้างเหมือนกัน วันสองวันก็หายไป ไม่เหมือนเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ หน้าหนาวในปีนั้นหนาวจริงๆ หนาวนานเสียด้วย

    ผมเอาเสื้อยืดคอปกตัวใหม่เอี่ยม สีแดงแปร๊ด ที่พ่อผมซื้อมาให้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอามาใส่ฉลองปีใหม่งามเสียไม่มีละ คืนนี้ไอ้เล็กมันใส่เสื้อยืดคอปกเหมือนผมแต่สีออกเทาๆ มองกลางคืนเหมือนเป็นเสื้อสีดำอ่อนๆ ผมคิดว่ามันคงจงใจใส่เสื้อสีนี้มาแหงๆเลย กะว่ามาในงานนี้โดยเฉพาะเป็นการอำพรางตัวที่ดียิ่งนัก

    สักครู่หนึ่งไอ้เล็กมันก็อำพรางตัวมันเข้าประตู ที่จันมันเปิดรอไว้ให้ มันเข้าไปแล้วส่วนผมนั่งรออยู่ข้างนอกผมก็กลัวเหมือนกัน มันเงียบวังเวงชอบกลโดยเฉพาะนั่งอยู่ตรงเจดีย์โบราณเก็บกระดูกองค์ใหญ่นี้

    เมื่อตอนที่เขาสร้างตลาดแถวนี้เสร็จแล้ว พ่อแม่ครอบครัวของผมเข้ามาอยู่ที่นี่ก็เห็นเจดีย์เหล่านี้ เรียงขนานไปกับกำแพงโบสถ์กว่าสิบองค์อยู่แล้ว นี่ก็แสดงว่า เจดีย์เก็บกระดูกเหล่านี้สร้างก่อนตลาดแถวที่ ๒ เสียอีก แต่ไม่รู้ว่าสร้างตั้งแต่เมื่อไร และของใครกันมั่ง 
   เสียงเฮดังแว่วๆมา ของคนที่ดูหนังอยู่หน้าตลาดดังมาเป็นระยะ  เวลาผ่านไปสักประเดี๋ยวผมก็คิดว่ามันนานเต็มทีแล้วคิดว่า เมื่อไรไอ้เล็กมันจะออกมาเสียทีวะไหนมันบอกว่า ประเดี๋ยวเดียวไง โธ่เอ๊ยกูไม่น่ารับปากกับมันเลย...!

    เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมว่าน่าจะเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วมั๊ง  มันก็ยังไม่ออกมาผมสะดุ้งทุกทีที่หมาที่วัดมันหอน มันจะเรียกหาเพื่อนมันหรือว่ามันมองเห็นผีก็ไม่รู้ เวลานั้นผมก็อายุ ๑๕ -๑๖ แล้ว เขาว่าอายุในตอนนี้นี่แหละเป็นอายุที่กลัวผีที่สุด ผมว่าทุกอายุแหละครับที่กลัวผี  ผมไม่ค่อยกล้าเท่าไรหรอกครับ เรื่องผีนี่ 
    เมื่อคราวที่ผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ท่าขวาง เมื่อสองสามปีที่ผ่านมานั้นก็ทีหนึ่งแล้ว คราวนั้นไปงานที่บ้านคุณบุญมา (คุณวรรณวิมล) ที่ปัจจุบันนี้เป็นภรรยาของ คุณสุชาติเพื่อนผมนี่เอง

คุณบุญมา (วรรณวิมล) เมื่อเป็นนักเรียนกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว

 
    เขาทำบุญบ้านหรือบวชพี่ชายอะไรนี่ ผมกับพวกเด็กเจ็ดเสมียนรุ่นเดียวกันนี่แหละ  สามสี่คน ก็ไปงานเขาเหมือนกันในสมัยนั้นเดินไป จากตลาดเจ็ดเสมียนต้องผ่านวัดใหม่ชำนาญ ต้องผ่านวัดบ้านซ่องที่เขาว่ากันว่าผีดุที่สุด

    บังเอิญจริงๆที่ในบ่ายวันนั้นที่วัดบ้านซ่องเขามีการเผาศพคนตายด้วย ในตอนนั้นที่วัดต่างๆยังไม่มีเมรุเผาศพถาวร ที่วัดบ้านซ่องนี้ก็ด้วยเหมือนกัน เขาปักเสาไม้ใหญ่ๆลงบนพื้นดินริมแม่น้ำจำนวนหลายเสา
   แล้วตัดไม่เป็นท่อนๆให้ความยาวพอดีกับที่ปักเสาไว้นำไม้มาใส่ให้เต็มเป็นเหมือนฟืนที่จะเผา พอได้เวลาก็เอาโลงศพคนตายมาตั้งไว้บนกองฟืนนี้เลย ผมเห็นที่วัดเจ็ดเสมียนทำกันอย่างนี้บ่อยๆไป

   พวกผมเดินเลยวัดบ้านซ่องไปแล้วยังต้องข้ามเรือจ้างไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินไปอีกจึงถึงบ้านคุณบุญมา
   เสร็จแล้วขากลับนี่ซีเป็นตอนกลางคืน ดึกตั้งตีหนึ่งตีสองแล้วพวกเรายังเดินผ่านป่าช้าที่วัดบ้านซ่องกันเลย มองไปทางริมน้ำศพที่เขาเผากันตั้งแต่ตอนบ่ายๆนั้นไฟยังคุกรุ่นอยู่ยังไม่ดับ  หัวใจแทบจะระเบิดออกมานอกเสื้อด้วยความกลัว เราถือไม่รวกกันคนละอัน ทำใจกล้าเข้าไว้ กว่าจะถึงบ้านได้ แต่ละคนหัวใจแทบวายตาย

เจดีย์โบราณองค์ใหญ่ที่เห็นนี้ อยู่ตรงหลังบ้านเจ๊อยู่พอดี ผมนั่งรอไอ้เล็กอยู่ตรงนี้ ที่ตรงหลังตลาดนี้นอกจากจะมีเจดีย์ ตั้งเรียงกันเป็นแถวแล้ว ยังมีศาลพระภูมิไม้เก่าๆตั้งอยู่อีกมากมายระเกะระกะ ดังที่เห็นในภาพริมกำแพงด้านซ้ายมือ ตอนกลางคืนมันน่ากลัวหยอกอยู่เสียเมื่อไรล่ะ...!  ในภาพนี้ น้องสุข ลูกชายของเจ๊อยู่ออกมานั่งเล่นที่นี่เสมอ

    ผมคิดอะไรฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ไม่พ้นเรื่องผี  เพราะว่าตัวผมเองนั่งอยู่บนฐานของเจดีย์กลัวตัวสั่นอยู่ นึกอยากจะหนีไปข้างนอกหน้าตลาดเต็มทีแล้ว ไอ้เล็กมันก็ยังไม่ออกมาเสียที
    ถ้าผมหนีมันไปเสียก่อนมันก็จะมาว่าผมหาได้ไม่ เพราะว่ามันบอกผมว่ามันจะเข้าไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้น คิดไปคิดมาว่าเราจะมานั่งผจญอยู่กับความกลัวทำไม ประเดี๋ยวไอ้เล็กมันออกมามันก็จะกลับไปข้างนอกเองได้ แล้วพรุ่งนี้ก็เจอกันอีก

    คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็ขยับตัวบิดตัวอีกทีหนึ่ง  แล้วก็กะจะปีนกำแพงโบสถ์ข้ามไป จากนั้นก็ไปออกทางหน้าประตูโบสถ์ ที่มีศาลของตาผ้าขาวอยู่ตรงนั้นก็ได้ คงไม่มีใครสงสัยอะไรหรอก
    คิดดังนั้นจึงจัดแจงเอามือเอื้อมไปเกาะหลังกำแพงไว้ แล้วกะจะสปริงตัวขึ้นบนกำแพง แล้วจึงจะกระโดดลงไปในโบสถ์ แล้วจะวิ่งตื๋อออกไปหน้าตลาดเลยทีเดียว

    ผมเอามือเอื้อมไปเกาะหลังกำแพงโบสถ์แล้ว ยังไม่ทันสปริงตัวขึ้นไปดังที่คิดไว้แต่แรก ก็ได้ยินเสียงประตูหลังบ้านเจ๊อยู่เปิดแย้มออกมาดังแอ๊ด ผมชะงักทันทีคิดว่าไอ้เล็ก มันคงเสร็จธุระของมันแล้ว ผมและไอ้เล็กจะได้กลับไปข้างนอกกันเสียที อึดอัดใจเกือบตายแล้ว
    ผมจึงหันกลับมามองคิดว่าจะรอมันเสียหน่อย เสร็จธุระแล้วไม่ต้องรีบร้อนอะไรก็ได้ แต่ผมก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อคนที่โผล่ออกมานั้นไม่ใช่ไอ้เล็ก แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมองไม่ออกว่าเป็นใคร คิดว่าเป็นลูกค้าของเจ๊อยู่นั่นเอง จะออกมาที่หลังบ้านทำไมก็ไม่รู้  สงสัยจะออกมาหาที่เยี่ยว (ปัสสาวะ)

    แกชะโงกหน้าออกมาจากประตูนั้น ตัวแกยังไม่ได้ออกมาหมดเลย  เมื่อผมเห็นดังนั้น ผมก็รีบหลบแว๊บเข้าไปด้านหลังเจดีย์ทันที แต่ไม่ทันเสียแล้วแกมองเห็นผมน่าจะเพียงลางๆเท่านั้นคงมองเห็นไม่ถนัดแต่อย่างใด
    เพราะว่าในตอนนั้นอากาศก็มืดๆสลัวๆอยู่ น่าจะเห็นเฉพาะเสื้อที่ผมใส่เท่านั้นว่า เป็นสีที่ออกจะแดงๆถ้าดูในความสลัวๆ ฉับพลันที่แกเห็นผมนั้นแกก็แหกปากร้องเสียงดังลั่นว่า ขโมย  ขโมย ขโมยเข้าบ้านโว้ย แกร้องอยู่อย่างนั้นอีกหลายสิบหน

    ในขณะที่แกแหกปากร้องเป็นครั้งแรกนั้น ผมก็เผ่นลิ่วข้ามกำแพงไปไกลแล้ว สักครูเดียวได้ยินเสียงแว่วๆเป็นเสียงประตูเปิดปึงปังๆ  มีคนแห่กันเข้ามาที่หลังบ้านเจ๊อยู่เต็มแน่นไปหมด ได้ยินแว่วๆว่า มันใส่เสื้อแดง มันใส่เสื้อแดงด้วย ซึ่งในคืนวันนั้นผมใส่เสื้อสีแดงแปร๊ดดังได้กล่าวมาแล้ว

ศาลาวัดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นเป็นศาลาโล่งแบบนี้ มองเห็นกำแพงโบสถ์อยู่ใกล้ศาลาทางด้านขวามือ ตรงนี้ไม่ค่อยมีใครมานั่งเล่น จะไปเล่นที่สนามหน้าโรงเรียนกันหมด สามคนที่มานั่งนี้มาถ่ายรูปกันเท่านั้น

     ผมรีบแอบข้างกำแพงโบสถ์ อีกด้านหนึ่ง ใกล้ๆศาลาของวัดที่เขาใช้ตั้งศพคนตายที่ศาลานี้ เงี่ยหูฟังเสียงต่างๆที่ดังมาจากหลังบ้านเจ๊อยู่สักครู่หนึ่ง แล้ววิ่งก้มหัวต่ำๆ ไปแอบอีกทีที่ไต้ถุนศาลา 
      นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมไม่กล้ามาคนเดียวย่างนี้หรอกครับ อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อนคนหนึ่งหรือสองคนมาด้วย แต่ในตอนนี้ ผี เผอ ผมไม่กลัวมันแล้วคิดแต่จะหนีอย่างเดียว และคิดว่านี่ถ้าเขาตามจับได้ เขาก็จะหาว่าผมเป็นโขมยอย่างแน่นอน
     คงโดนกำนันฟาดเสียหลายตุบ  แล้วคิดว่า โธ่ ..! กูหนอกู อยู่ดีๆไม่ชอบ เสือกมาเป็นเพื่อนให้ไอ้เล็กมันทำไม  ไม่ได้ดีอะไรสักอย่างแถมจะได้รับโทษเสียด้วย คิดแล้วเจ็บใจตัวเอง  ที่ทำอะไรแล้วไม่คิดให้ดีเสียก่อน
 
      เรื่องมันแล้วไปแล้ว ผมก็ต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดก็แล้วกัน แต่สงสัยว่าทำไม วันนี้จึงไม่เห็นกำนัน กับผู้ใหญ่เสงี่ยมออกตามล่าเราเลย  มารู้ตอนหลังว่ากำนันกับผู้ใหญ่นั้น กำลังคุยกับแขกและพรรคพวก อยู่ในบ้านอย่างสนุกสนาน และก็ยังไม่มีใครไปบอกแกด้วย
     ผมเงี่ยหูฟังเสียงทางหลังบ้านเจ๊อยู่คล้ายๆกับจะเงียบเสียงไปแล้ว  คิดว่าคงออกไปดูหนังกันหมดแล้วแต่ไม่แน่ใจนัก เพราะว่าที่ผมวิ่งออกมาแอบที่ไต้ถุนศาลานี้ ก็อยู่ห่างจากหลังบ้านเจ๊อยู่มากอยู่เหมือนกัน แถมยังมีโบสถ์หลังใหญ่บังอยู่ด้วย อาจจะยังมีคนออกันอยู่ที่นั่นอีกก็เป็นได้

     แล้วผมก็หวนนึกถึงไอ้เล็กมัน ว่ามันจะเอาตัวรอดแบบไหนกันหนอ ชาวบ้านเขาคงมาที่หลังบ้านเจ๊อยู่กันเยอะแยะ คงเห็นไอ้เล็กกำลังคุยกับอีจันที่หลังบ้านพอดี  แล้วคงจะจับตัวไปส่งกำนันแล้วก็ได้ ไอ้เล็กนะไอ้เล็กมึงเป็นลูกกำนันแท้ๆ ยังโดนกำนันตีตูดด้วย แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ 
     ในขณะที่คิดนั้นผมก็มาฉุกคิดได้ว่า เวลานี้เสื้อที่ผมใส่นั้นเป็นสีแดงแจ๋ ตามที่เขาตะโกนบอกกันเลย ผมต้องจำเป็นถอดออกแล้วละ แม้อากาศในปลายเดือนธันวาคม จะหนาวเย็นบ้างเพราะว่ามันเป็นหน้าหนาว ปีนี้หน้าหนาวมันมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนแล้ว มันยังไม่หมดไปเลย หนาวบ้างไม่หนาวบ้างเรื่อยมา ถึงแม้ว่าอากาศจะเย็นๆบ้างผมก็จำเป็นต้องถอดเสื้อยืดสีแดงตัวนี้ แล้วม้วนพันเป็นก้อนกลมเล็กๆหนีบเอาไว้
          
    เมื่อถอดเสื้อแล้วจะมายืนทำเก้ๆกังๆในไต้ถุนศาลาอย่างนี้คงไม่ดีแน่ เผื่อมีใครปวดท้องเยี่ยวแล้วแวะมาเยี่ยวที่ใกล้ๆศาลานี้คงต้องเห็นผมแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะนึกว่าเห็นผีหรือเปรตมาเดินเล่น ตกใจจับไข้หัวโกร๋นไปตายไป ผมก็จะบาปหนักเข้าไปอีก ดังนั้นผมต้องรีบออกไปจากศาลานี้เดี๋ยวนี้ 
   ป่านนี้ทางด้านหน้าตลาดคงพูดกันเซ็งแซ่แล้วว่า มีขโมยเข้ามางัดแงะบ้านเจ๊อยู่ ใส่เสื้อสีแดงเสียด้วย  คนทั้งหลายนั้นก็คงจะต้องคอยจ้องแต่คนใส่เสื้อแดง ว่าจะเป็นคนไปงัดแงะบ้านเจ๊อยู่หรือเปล่า

    ผมจำเป็นจะต้องไปหาข่าวข้างนอกเสียแล้วว่าเขาพูดกันอย่างไรบ้าง แต่ก่อนจะไปก็ต้องแอบแวะเข้าไปในบ้านให้ได้เสียก่อน เพื่อไปเอาเสื้อตัวใหม่ที่เป็นสีอื่นๆมาใส่ คิดได้ดังนั้นผมจึงมองซ้ายมองขวา แล้วขยับตัวออกจากไต้ถุนศาลา วิ่งตื๋อย้อนไปยังกำแพงโบสถ์อย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง แล้วกระโดดข้ามกำแพงโบสถ์ เข้าไปในโบสถ์แล้ววิ่งก้มต่ำ ไปที่กำแพงโบสถ์ด้านที่ติดกับหลังบ้านผม นั่งนิ่งอยู่ที่ตรงนั้นสักครู่หนึ่ง 
          
   ที่หลังบ้านเจ๊อยู่และที่หลังบ้านผมนั้น ไม่มีคนมาอยู่ตรงนั้นแล้วหายเงียบกันไปหมด เรื่องตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหมดไปแล้ว เขาคงจะออกไปดูหนังที่หน้าบ้านกันหมด 
   ผมรีบกระโดดข้ามกำแพงเสียงดัง ตุบ แล้วรีบวิ่งเข้าไปที่ประตูหลังบ้านผมทันที เดชะบุญที่ประตูหลังบ้านผมไม่ได้ใส่กลอนด้านในเอาไว้ ผมรีบผลุบเข้าไปในบ้านทันที เท่ากับว่าผมรอดตายไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว
   ผมรีบไปที่ตู้เสื้อผ้าของผมแล้วหาเสื้อตัวใหม่ ที่ไม่มีสีแดงปนเลยออกมาตัวหนึ่ง เป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวใหม่เอี่ยมเอามาใส่ เพราะว่าเสื้อตัวนี้ใส่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

   ถัดจากนั้นมาผมก็เดินออกไปทางหน้าบ้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนว่าเพิ่งออกจากบ้านมาดูหนัง มองเห็นคนกำลังนั่งดูหนังกันอยู่แน่นขนัด
    ผมค่อยๆแทรกผู้คนที่กำลังนั่งดูหนังนั้น ไปหาพรรคพวกเพื่อนฝูงของผม ที่หน้าร้านกาแฟเฮียแก่เล็กเห็นพวกไอ้ธร ไอ้โล และไอ้วี กำลังนั่งดูหนังกันอยู่  ไอ้ธรหันมาเห็นผม มันถามว่า "ไอ้เก้วมึงไปไหนมาวะตั้งนาน " 

    ผมบอกว่าผมขึ้นไปดูหนังอยู่ที่นอกชาน ชั้นบนของบ้านตั้งนานแล้ว รำคาญยุงมันกัดเหลือเกินจึงได้ลงมาอีก แล้วมันก็ดูหนังต่อไป โดยที่ไม่ได้สนใจหรือถามอะไรผมอีก
   รุ่งเช้า ข่าวที่มีขโมยเข้ามางัดแงะบ้านเจ๊อยู่ ก็พัดกระพือกันใหญ่ บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน วิจารณ์กันพูดกันไปต่างๆนานา ยิ่งพูดกันไปหลายๆทอดเข้าก็ยิ่งบานปลายกันใหญ่ บางคนถึงขนาดที่ว่า

   ไอ้พวกที่เข้าบ้านเจ๊อยู่เมื่อคืนนี้ มันกะจะเข้ามาฉุดสาวคนหนึ่งที่มาทำผมที่บ้านเจ๊อยู่ แล้วมันรอจังหวะอยู่แต่บังเอิญมีคนมาเห็นเสียก่อนเรื่องจึงแตกไป โจรคนนั้นมันใส่เสื้อแดงเสียด้วย
    ก็แล้วแต่จะพูดกันไป สำหรับผมแล้วปิดปากเงียบตลอด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับข่าวที่เขาพูดกันนี้ มีคนหลายคนโดยเฉพาะเพื่อนๆของผมถามผมเหมือนกันว่า "มึงไม่รู้เรื่องนี้บ้างเลยหรือ"  "ก็รู้อย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละ" ผมว่า  " ก็ฉันนั่งดูหนังอยู่บนนอกชานบ้านตลอดคืน ฉันก็จะไปรู้เรื่องอะไรเล่า" ใครถามผม ผมก็ตอบอย่างนี้กับเขาทุกคน

    จนอีกหลายวันต่อมา เรื่องก็ทำท่าจะเบาบางลงบ้างแล้ว แต่กำนันกับผู้ใหญ่ เสงี่ยม สกุลนา ก็กำลังสืบจับนักงัดแงะใส่เสื้อยืดสีแดงในคืนนั้นกันอย่างขะมักเขม้น นานๆทีก็ปล่อยข่าวออกมาว่า ได้เบาะแสบ้างแล้วว่าเป็นคนที่ไหนตำบลอะไร  ขอเวลาหน่อยจะลากคอมาให้ดูหน้ากันชัดๆเลย
   สองอาทิตย์ผ่านไป ตั้งแต่วันนั้นแล้วผมยังไม่ได้เจอกับไอ้เล็กเลย ผมถามพวกไอ้นิด ซึ่งเป็นน้องของไอ้เล็ก ไอ้นิดบอกว่า " ก็เห็นมันอยู่ที่บ้านนี่เมื่อเช้าก็เห็น "

   จริงๆแล้วมันก็น่าจะมาที่ตลาดหรือ ที่บ้านกำนันพ่อของมันบ้าง (มันไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับกำนัน พ่อของมัน แต่มันอยู่กับแม่ของมัน ชื่อ ป้าตูบ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ สองของกำนัน) ทุกวันมันก็เคยไปคุยกับอีจัน ที่หน้าบ้านเจ๊อยู่บ่อยๆ ทำเป็นไม่ไปเหมือนเดิมอย่างนี้อาจจะทำให้เขาสงสัยได้ ผมก็อยากจะบอกมันแต่ว่าไม่ได้เจอมันเลย
   และอยากจะรู้เรื่องในคืนวันนั้นด้วย ว่าเหตุการณ์ของไอ้เล็กมันเป็นอย่างไรกัน มันถูกเขาจับได้แล้วปล่อยตัวไป  หรือว่ามันหนีรอดได้และมันหนีรอดได้อย่างไร แล้วเหตุการณ์ของผมมันไม่เห็นรีบมาถามผมเลย น่าจะเป็นห่วงกันบ้างผมเข็ดแล้ว ทีหลังผมจะไม่เอากับมันด้วยหรอกถ้ามันมาชวนผมอีก ผมจะปฏิเสธมันไปทันทีมันจะโกรธก็โกรธไปไม่ว่ากัน

    อีกสองวันต่อมาในตอนบ่ายแก่ๆแล้ว ผมไปเล่นกล้ามออกกำลังที่ไต้ถุนบ้านกำนันอีก เห็นไอ้เล็กมันกำลังยกลูกน้ำหนักอยู่  ผมก็เลยเดินเข้าไปหามัน ก่อนที่ผมจะพูดอะไรกับมันมันรีบเดินมาหาผมแล้วจูงมือผม ไปที่ข้างห้องอาบน้ำด้านหลังบ้านกำนัน พวกเฮียตี๋ลูกพี่ผมและคนอื่นๆที่กำลังเล่นกล้ามอยู่ มองมาทางผมกับไอ้เล็กด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไร
  ไอ้เล็กมันเล่าให้ผมฟังว่า ในตอนนั้นมันก็ตั้งใจจะออกมาจากบ้านเจ๊อยู่แล้ว  เพราะว่าอยู่กับอีจันนานพอสมควรและก็กลัวว่า ไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่งต้องมีคนเข้ามาทำอะไร หรือเข้ามาเอาอะไรในครัวแน่ๆเลย
   มันขยับตัวจะออกมาเท่านั้น มีลูกค้าของเจ๊อยู่คนหนึ่งเข้ามาในครัว แล้วนึกอย่างไรก็ไม่รู้เปิดประตูหลังโผล่พรวดออกไปที่หลังบ้าน พร้อมกับร้องโวยวายขึ้นมา

 " กูยังนึกถึงมึงอยู่เลยว่าจะเอาตัวรอดได้หรือปล่าหนอ ส่วนกูนั้นเมื่อมีคนร้องว่า ขโมย  ขโมย ใส่เสื้อสีแดง ใส่เสื้อสีแดง  กูก็แอบเงียบอยู่ตรงมุมมืดในบ้านนั้นเลย "
  " ตอนนั้นอีจันมันผลักให้กูวิ่งหนีสวนออกไปทางหลังบ้านเลย ถ้ากูออกไปตอนนั้นเป็นเสร็จแน่ๆ เลยมึงเอ๋ย กูก็ไม่ไปแต่กบดานเงียบในตรงที่มืดเฉยอยู่ จนคนข้างนอกได้ยิน แล้ววิ่งพรูกันเข้ามาหลังบ้านเจ๊อยู่ในเวลานั้นเต็มไปหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร " ไอ้เล็กหยุดพูดเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงพูดต่อ

    "อีจันมันบอกว่า ให้กูวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนพวกนั้น  กูคิดว่าจริงของมันกูก็เลยวิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับคนพวกนั้น กลายเป็นเหมือนคนที่วิ่งเข้ามาจากทางหน้าบ้าน เพื่อเข้ามาดูเหตุการณ์นั้นเลย"
   " กูผสมโรงได้พักเดียวกูก็ปลีกตัวออกไป  แล้วเดินไปทางหน้าโบสถ์เพราะเป็นห่วงมึง แต่ไม่เห็น กูก็เลยกลับบ้านก่อนหนังเลิกเสียอีก  ขอโทษว่ะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ถ้ากูจะมาคุยกับอีจันมัน ก็เห็นจะมาคุยที่หน้าบ้านอย่างเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว เข็ดขี้อ่อนขี้แก่เลยว่ะ"

    เรื่องนี้ผมกับไอ้เล็กรู้กันเพียงสองคนเท่านั้น จะให้คนอื่นรู้เป็นคนที่สามไม่ได้เป็นอันขาด

คนนี้คือเสื้อแดงตัวจริงแหละ แต่เสื้อนั้นไม่ใช่ตัวนี้นะครับ 

     กำนันโกวิทพ่อของไอ้เล็กและ ผู้ใหญ่เสงี่ยมกำลังตามจับไอ้เสื้อแดงอยู่ นับจากนั้นมา เสื้อยืดคอปกสีแดง ตัวนั้นผมไม่ได้เอามาใส่อีกเลย จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งเป็นปีแรกที่ผมจากเจ็ดเสมียนไปเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพฯ ผมจึงได้งัดเอาเสื้อแดงตัวนั้นมาใส่อีกครั้งหนึ่ง

  ผมไม่เคยได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้มาก่อนเลย เก็บเงียบเอาไว้เป็นเวลากว่า ๕๐ ปีแล้ว อย่าเอ็ดไปผมมาบอกให้ท่านรู้เป็นคนแรกนะเนี่ย .. ! รู้เรื่องแล้วอย่าลืมเหยียบทิ้งเสียล่ะ....!


 
เขียนโดย นายแก้ว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้580
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2554
เดือนนี้8721
ทั้งหมด1338605

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online