นายไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรณ 1(เฮียเต้ว)

เรื่องราวเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียน
คนเก่งแห่งตลาดเจ็ดเสมียน
        ห้องแถวห้องที่สอง ถัดจากห้องของกำนันโกวิทไป เป็นห้องของ ป้าม่วย  ซึ่งเป็นพี่สาวของ  ป้าฮวยขายหัวไชโป๊  และพี่สาวอี๊น้อย  ป้าม่วย คนนี้สามีของแกชื่อว่า นาย ย่งซิน เป็นจีนกวางตุ้ง คนทั่วไปจึงชอบเรียกแกว่า อานึ้งตุ้ง  แปะตุ้ง หรือ ตาตุ้ง ไม่ค่อยมีใครได้เรียกชื่อจริงๆของแกหรอก  ป้าม่วย และ แปะตุ้ง เป็นคนมีอัธยาศัยดี ดังนั้น ทั้งคู่จึงเป็นผู้ที่มีคนทั้งในและนอกตลาดเจ็ดเสมียน ให้ความเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก 

         แปะตุ้ง กับป้าม่วย มีลูก สามคน คนแรกผมเรียกแกว่าเฮีย งั้ง  แต่ผมไม่ได้สนิทกับเขานักหรอกครับ เพราะว่าเฮียงั้งเป็นเด็กเจ็ดเสมียนรุ่นใหญ่มาก ผมจำได้ว่ามีอยู่คราวหนึ่ง ในขณะที่เฮียงั้งแกบวช เป็นพระอยู่ที่วัดเจ็ดเสมียน  มีคนๆหนึ่งอยากจะพาพระที่วัดเจ็ดเสมียน ทั้งหมดไปทัศนาจรกันที่ ถ้ำจอมพล อำเภอจอมบึง
          ในวันพรุ่งนี้ก็จะถึงกำหนด รถมารับพระที่วัดไปเที่ยวแล้ว ในตอนสายๆของวันนี้ก็มีญาติสนิทของป้าม่วยคนหนึ่ง มาบอกป้าม่วยว่า ขออย่าให้พระงั้งไปเที่ยว ทัศนาจร ที่ถ้ำจอมพลกับเขาเลย  เพราะว่าเมื่อคืนเขาได้ฝันไปว่า นขณะที่พระวัดเจ็ดเสมียนทั้งหลายนั่งรถไปนั้น รถได้เกิดอุบัติเหตุ พลิกคว่ำ หลายตลบ จึงได้รีบมาบอก กลัวว่าบางทีอาจจะเป็นความจริง

     

ยืนยิ้มริมซ้ายสุด นั้นคือ ป้าม่วย   แม่ของคุณไพบูลย์ พงษ์ถิรสุวรรณ คนเก่งแห่งตลาดเจ็ดเสมียน ถัดมาที่ถูก โอบกอดนั้น เป็นน้องสาวของป้าม่วย ชื่อ อี๊น้อย แม่ของ คุณนิตยา (หัวใชโป้ว ตราชฏา) คนที่ยืนกำลัง ดื่มอะไรอยู่นั้น คือ คุณป้า ฮุ้น แม่ของ อโนทัย ไทยสวัสดิ์ (ไอ้โล)   ที่นั่งข้างป้าฮุ้น ด้านซ้าย นั่นคือ ป้าละม่อม แม่ไอ้เหม่ง เด็กหญิงเล็กๆที่อยู่หลัง ป้าม่อม นั้นคือ คุณนิตยา พี่สาว  นายตึ๊ง  ลูกอี๊น้อย นั่นเอง    (ถ่ายเมื่อ 11 มีนาคม 2510 )

        

          ป้าม่วยได้ฟังแล้ว  คิดว่าจะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ ขนาดบางคนก่อนออกจากบ้าน จิ้งจกมันร้อง จิ๊กๆ ทักทายแล้วก็ยังหยุดชะงัก  แต่นี่ขนาดคนมาทักอย่างนี้ ต้องฟังไว้ก่อนบ้าง ด้วยความเป็นห่วงลูกซึ่งบวชเป็นพระอยู่ จึงได้รีบไปหาที่วัดแล้วเล่าเรื่องที่มีคนฝันอย่างนี้ให้พระงั้งฟัง  แล้วขอร้องว่า อย่าไปเลย ถ้าอยากไปเที่ยว วันหลังค่อยไปก็ได้  โยมแม่เป็นห่วง พระงั้ง ได้ฟังแล้ว ก็เชื่อฟังแต่โดยดี  ไม่มีขัดขืนแต่ประการใด แต่จริงๆแล้วในวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น  นี่เป็นตัวอย่างที่ดี ที่เด็กต้องเชื่อฟัง พ่อแม่ ไม่ใช่ดื้อรั้น เหมือนเด็กบางคนที่ต้องการอะไรก็จะต้องได้อย่างนั้น
          ในเวลาต่อมาเฮียงั้งก็ได้ไปตั้งโรงกลึงใหญ่โต รับงาน กลึง เจาะ คว้าน อะไรต่างๆเกี่ยวกับเหล็กที่ต้องใช้เครื่องมือกล อยู่ที่ในตัวจังหวัดราชบุรี มีฐานะร่ำรวยมาก จนกระทั่งปัจจุบันนี้   ลูกของป้าม่วยอีกสองคนก็คือ เฮียเต้ว แล้วก็เจ๊ประนอม 

         สำหรับเจ๊ประนอมนั้นก็อยู่ที่เจ็ดเสมียนตลอดมา จนกระทั่ง ในภายหลังได้แต่งงานไปกับ คนที่ราชบุรี และได้ไปพำนักอยู่ที่ราชบุรี ทำกิจการเกี่ยวกับโรงแรม  ดูเหมือนจะชื่อว่า โรงแรม “กวงฮั้ว” ต่อมาผมก็ไม่ได้พบเห็นเจ๊ประนอมเลยเป็นเวลาหลายสิบปี มาพบอีกทีก็ที่งานคนเจ็ดเสมียน ครั้งที่ ๑ นั้นแหละ

 

เฮียงั้ง พี่ชายของคุณไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรณ

(เสื้อยืดลาย ภาพในปัจจุบันนี้ ถ่ายเมื่อ ๕ เมษายน ๒๕๕๒ patipat ถ่ายภาพ)



           

คุณประนอม ลูกสาวของป้าม่วย อีกคนหนึ่ง ตอนเป็นสาววัยรุ่น สวยมากเข้าอันดับในตลาดเจ็ดเสมียนเลยทีเดียว

 ภาพนี้ พี่กัญญา ลักษิตานนท์ ส่งมาให้ลง นะครับ

          แล้วก็มาถึง คนที่เก่ง ที่สุดในตลาดเจ็ดเสมียน ครับ คนนี้มีชื่อว่า นายไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรณรือ  ที่พวกเราเรียกเขาว่า เฮียเต้ว  ที่เรียกว่าเฮียนั้นก็ เพราะว่าเฮีย เต้ว มีอายุแก่กว่าพวกผมหลายปี  และพวกผมก็ได้ติดตามเฮียเต้ว ปฏิบัติภารกิจ ด้วยกันหลายครั้งหลายหน ที่เจ็ดเสมียนนี้ คนๆนี้ขึ้นชื่อว่าเรียนเก่งที่สุดในตลาดเจ็ดเสมียนนี้ก็ว่าได้  ที่บ้านเฮียเต้ว ในตอนหัวค่ำบางทีผมและเพื่อนๆเด็กเจ็ดเสมียน เคยไปนั่งฟังเฮียเต้ว เล่น แอ๊คกอเดี้ยน และสีไวโอลินกันบ่อยๆ  แล้วป้าม่วยแม่ของเฮียเต้ว หรือบางทีก็เจ๊ประนอม ซึ่งเป็นคนใจดีก็เอาขนมต่างๆมาให้พวกเรากินกัน
          

         และแล้วก็ถึงวันที่เราจะปฏิบัติการ กันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พวกผมและเฮียเต้ว เคยไปยิงนก และตกปลากันหลายครั้งมาแล้ว ดังนั้นในตอนเช้าของวันนี้ พวกเราก็เลยถีบจักรยานกันมาที่บ้านเฮียเต้ว กันแต่เช้าตรู่ เพราะว่า เมื่อตอนค่ำของเมื่อวานนี้ ในขณะที่เรามาที่บ้านเฮียเต้ว ได้รับการนัดแนะจากเฮียเต้วว่า พวกเราไปตีผึ้งที่ท่ามะขามกันดีกว่า ครั้งสุดท้ายที่เราไปตีกันนั้น ผ่านมาตั้งเป็นปีแล้ว เมื่อพวกเราตกลง จึงในเช้าวันนี้เราจึงมาคอยเฮียเต้วที่บ้านของเขาแต่เช้าตรู่ พอมาถึงเห็นเฮียเต้วคอยอยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการตีผึ้ง
       

         อุปกรณ์ในการตีผึ้ง เพื่อเอาน้ำหวานของมันนี้ ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ ก็ไม่มีอะไรมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยาสลบ หรือยาดมสำหรับผึ้ง ยาดมอันนี้ เฮียเต้วแกก็คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ซึ่งก็ใช้ได้ผลดีเสียด้วย กล่าวคือ  เอาผ้าขี้ริ้ว กลางเก่ากลางใหม่ มาฉีกเป็นเส้น ยาวๆให้ใหญ่ประมาณสัก 3 นิ้ว  ฉีกมา 3 เส้น แล้วเอามาถักกันให้เป็นเส้นเดียว  ยาวประมาณสัก 70 ซม. แล้วก็ มีดเล็กให้คมมากๆ ยาวสัก 25 ซม. 1 เล่ม มีดโต้ใหญ่เล่มหนึ่ง แล้วก็หนังสติ๊ก คนละ 1 อัน พร้อมด้วยลูกกระสุนปั้นด้วยดินเหนียว อ้ออย่าลืมเอาไม้ขีดไฟไปด้วยล่ะ ถ้าลืมไม้ขีดไฟก็จะต้องไปหาซื้อเอาข้างหน้า เสียเวลาเปล่าๆ
         

         วันนั้นเราถีบรถจักรยานกันคนละคัน มุ่งหน้าไปทาง วัดท่ามะขาม ซึ่งอยู่ทางตำบลดอนทราย  ถึงทางแยกเข้าท่ามะขามประมาณ  7 โมงกว่าๆ  สองข้างทางที่แยกเข้ามาท่ามะขามนี้ มีกอไผ่ป่า สลับกับบ้านเรือนประปราย อีกสักครู่ เราก็เห็นกอไผ่ป่า หนาทึบอยู่ข้างๆทางแน่นไปหมด นั่นแหละคือที่หมายของพวกเรา  กอไผ่ที่มักจะมีผึ้งมาทำรัง อาศัยอยู่มากๆนั้น ต้องเป็นกอไผ่ ป่า ลำไม่ใหญ่มากนัก  แต่มีหนามแหลมคมหนาแน่นไปหมด บอกตรงๆว่ากอไผ่ชนิดนี้มีหนามมากจริงๆไม่เหมือน ต้นไผ่ที่เขาเอามาทำกระบอกข้าวหลาม ซึ่งไม่ค่อยมีหนาม
         

        เมื่อถึงที่หมายแล้วเราก็จอดรถจักรยานไว้ข้างทาง แล้วเฮียเต้วแกก็จะเดินนำหน้า พาพวกเราเข้าไปใกล้ต้นไผ่ป่านั้น  แล้วบอกพวกเราให้ช่วยกันสอดส่ายสายตา หารังผึ้งถ้าพบแล้วก็จะได้ทำการตามวิธีการต่อไป  ผึ้งชนิดนี้ จะมีรังไม่ใหญ่นัก และก็ไม่ค่อยดุเท่าไร (ไม่เหมือนผึ้งหลวงที่อยู่บนต้นยางที่วัดเจ็ดเสมียน) เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งที่ได้เจอรังผึ้งเข้าแล้ว เฮียเต้ว ก็จะปฏิบัติการณ์ด้วยตัวเองทันที ในขั้นแรกก็จะเอามีดโต้ใหญ่ สับพวกหนามที่อยู่ข้างนอกเสียก่อน เพื่อจะกรุยทางเข้าไปถึงชั้นใน เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ต้องเอามีดอันเล็กที่คมที่สุด ค่อยๆเฉือนกิ่งไผ่ กิ่งเล็กกิ่งน้อยที่ยังขวางอยู่  จึงจะเข้าถึงรักผึ้งได้ ในการนี้จะต้องมือเบาที่สุดนะครับ ถ้ากระเทือนมากๆเมื่อไร ให้ผึ้งรู้ตัว มันก็จะแตกรังฮือเข้าเล่นงานผู้มาบุกรุกมันทันที  แต่เฮียเต้วเสียอย่าง เงียบกริบครับ 
          

         เมื่อถึงรังมันและได้เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว เฮีย เต้ว ก็จะล้วงเอาของวิเศษจากย่ามขึ้นมา คือผ้าขี้ริ้วถัก นั่นเอง แล้วเอาเกี่ยวไว้กับกิ่งข้างล่างที่ไต้รัง พร้อมกับล้วงไม้ขีดไฟขึ้นมา จุดปลายด้านหนึ่งของ ผ้าขี้ริ้วถักเส้นนี้ ผ้าขี้ริ้วนี้จะติดไฟ แต่ต้องเป่าให้ดับนะครับ เพราะต้องการเอาแต่ควันมันเพื่อรมให้ผึ้งมันเมานั่นเอง เมื่อรมควันได้สักครู่ เฮียเต้วก็จะเอามีดบางเล็กอันคม ที่เตรียมมา ค่อยๆเฉือนกิ่ง ที่ผึ้งรังนี้เกาะอยู่ เฉือนไปเรื่อย และสักเกตุ ดูว่าผึ้งจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่  ถ้าไม่มีอะไร เฮียเต้วก็จะเอามีดอันนั้นค่อยๆเขี่ย ตัวผึ้งให้หลุดจากรังออกไป ในตอนนี้ ควันจากผ้าขี้ริ้วถักก็ยังรมรังผึ้งกรุ่นอยู่
           

           เมื่อเฉือนกิ่งไผ่ที่ผึ้งรังนี้ใช้เกาะ ขาดแล้ว เฮียเต้วก็จะดับไฟจากผ้าขี้ริ้วถักเสีย เพื่อเอาไว้ใช้ในคราวหน้าต่อไป แล้วเรียก ไอ้โห้   (สุรพงษ์  แววทอง) ลูกพี่ลูกน้องของเฮียเต้ว (ลูกป้าฮวยขายหัวใช้โป๊ว ) มารับรังผึ้งไปที ไอ้โห้ยื่นมือมารับ ผมได้ยินมันร้อง โอ๊ย ผึ้งตัวที่ยังหลงเหลือติดรังอยู่ ไอ้ โห้ เอามือไปกำตรงมันพอดี มันจึงต่อยเอา แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเราโดนต่อยกันบ้างจนชินเสียแล้ว  เมื่อไอ้โห้มันรับผึ้งทั้งรังมาจากเฮียเต้วแล้ว ก็จัดแจงเอาเชือกกระสอบที่เตรียมมาด้วย ผูก ไม้ไผ่ที่มีรังผึ้งอยู่ทั้งสองด้าน แล้วทีนี้จะได้หิ้วได้สะดวก  
          

         ผึ้งรังนี้เฮียเต้วตีมันได้อย่างนิ่มนวลพอสมควร และใช้เวลาไม่นานนัก ส่วนที่เป็นน้ำหวานยังไม่ได้กระทบกับอะไร ยังอยู่ในสภาพเดิม จากนั้นเราก็ช่วยกัน สอดส่ายสายตาหามันอีก และเมื่อพบแล้ว เฮียเต้ว ก็จะปฏิบัติการณ์ แบบเดิมๆ อีก นับได้ว่าเฮียเต้วแกเป็นนักตีผึ้งชั้นเซียนทีเดียว  ในวันนั้นจำได้ว่าเราตีผึ้งกันได้หลายรัง เราไม่ได้เตรียมอะไรมาใส่เลย จึงต้องช่วยกันหิ้ว กันคนละรังสองรัง
         เมื่อถีบจักรยานกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว เฮีย เต้ว แกก็จะแบ่งกันไปอย่างยุติธรรม แต่เฮียเต้วแกก็จะต้องได้มากหน่อย เพราะว่าแกเป็นคนลงมือเอง จริงไม๊  แหะ ! แหะ !
        

         ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปตีผึ้งกับเฮียเต้วทุกๆครั้ง เพราะบางทีก็ติดภาระกิจที่อื่นๆ เช่น บางวันเฮียแกไปยิงนก ยิงกะรอก กันที่สวนไอ้หร่ง ลูกยายใบ  (ไอ้ หร่ง หรือนายณรงค์ นี้ก็เป็นเพื่อนกับผมเมื่อตอนเรียนหนังสือที่วัดเจ็ดเสมียน ปัจจุบันนี้ ไอ้ หร่ง มัน ใส่ชุด รปภ.เสียโก้ ยืนโบกรถ อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ในวันที่มีงาน หรือในวันที่มีตลาดนัด ถ้าไปเที่ยวตลาดเจ็ดเสมียน เห็นรปภ.อำนวยความสะดวกอยู่ นั่นละ ไอ้ หร่ง ลูกยายใบ ทักทายเขาบ้างนะครับ)  ผมกับไอ้เหม่ง ไอ้จุ้ยและเพื่อนๆ อีกฝูงหนึ่ง ก็ไปสอยมะขามเทศกันที่ แถวๆวัดสนามชัย เลยโรงสีไปทางเหนือขึ้นไปอีก 

                                                               

    

นายณรงค์ ปัจจุบันนี้ในวัย ๖๖ ปี ยังรับอาสาช่วยสังคมอยู่เสมอ แม้อายุจะมากๆแล้ว    

                         (patipat ถ่ายภาพ ๕ เมษายน ๒๕๕๒)   

   แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่าง ที่ผมได้ไปร่วมกับเฮียเต้วแกด้วย  มีอีกคราวหนึ่งที่ผมต้อง เสนอเรื่องราวต่อท่านผู้อ่าน คือเมื่อน้ำที่ท่วมใหญ่ตำบลเจ็ดเสมียน และตำบลใกล้เคียงในฤดูน้ำ และน้ำได้ลดลงไปเกือบเดือนแล้ว  ตามบ่อตามไร่นา น้ำยังขังอยู่ทั่วไป เฮียเต้ว จึงชวนพวกเราไป ตกปลากัน มีหลายคนที่ไปด้วยแต่ผมจำได้ไม่หมด มีไอ้จุ้ย เป็นคนสะพาย ตะข้องที่สำหรับใส่ปลา ไอ้เหม่ง  ไอ้อู๊ด ไอ้โห้  ด้วย เมื่อนัดกันแล้วในเช้าวันนั้น เราก็เดินทางด้วยจักรยานคนละคัน มุ่งหน้าไปทางวัดสนามชัย จากตลาดผ่านวัดเจ็ดเสมียน ผ่านโรงเรียน ผ่านทางแยกเข้าโรงสี ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ แล้วก็ผ่านโรงเลื่อยร้างข้างโรงสี

  

        

จากรูป ผมกับระฆังน้องชาย ถ่ายที่ ทางจะไปวัดสนามชัย  มองเห็นโบสถ์วัดสนามชัยอยู่ลิบๆ ทางด้านซ้ายของรูป เป็นทางแยกเข้าโรงสี  ถัดจากต้นกอไผ่ไปหน่อย ทางซ้ายมือเป็นทุ่งนา เขาจะมาเผาศพกันตรงนี้ ปัจจุบันนี้ เป็นที่ตั้งแท๊งค์น้ำประปาหมู่บ้าน และโรงสูบน้ำเสียแล้ว และสำนักงานของ หัวไชโป๊ว ตราชฎา อยู่ข้างหลังผมทางด้านซ้ายมือ แถวๆ คนที่เดินใส่เสื้อขาวในรูป นั่นแหละครับ

 

                                      

 

 

 

 

 

 

 

 

นายไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรรณ (กลาง) ขณะรับราชการอยู่ กระทรวงพาณิชย์

         โปรดติดตาม         นายไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรณ 2          ในเร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้127
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้623
เดือนนี้13541
ทั้งหมด1343425

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online