กว่าจะถึงวันนั้น ๒ (ตระกูล พลหาญ)

 นายบุญส่ง ยืนข้างหลังตัวสูง ภาพเมื่อ ๒๕๑๙ เมื่อผู้เขียนไปอยู่กรุงเทพฯนานแล้ว กลับมาเยี่ยมบ้านที่เจ็ดเสมียน

    ไอ้ส่งที่เตี่ยผมบอกนั้น ก็คือนายบุญส่ง หรือชื่อจริงว่า นายเดชา พลหาญ ซึ่งในตอนที่ผมไปอยู่กับเขาแล้วผมเรียกเขาว่าน้าส่ง

    เนื่องจากในวันข้างหน้าเตี่ยของผม จะพาผมให้ไปอยู่กับน้าส่ง ผมจึงจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงน้าส่งว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรสักหน่อยเป็นเบื้องต้นก่อน
   น้าส่งคนนี้มีอายุมากกว่าผมประมาณ ๑๐ ปี หรือเกือบหนึ่งรอบ รูปร่างสูงใหญ่รูปหล่อ หนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม พอที่จะเป็นพระเอกหนังไทยได้อย่างสบาย เป็นลูกคนเล็กของคนที่ต่อไปผมเรียกเขาว่ายาย ซึ่งมีชื่อจริงๆว่า ปุก ซึ่งต่อไปผมจะต้องอยู่กับยายคนนี้ (ต่อไปในเรื่องนี้จะเรียกว่ายาย)

 

ภาพของ ยายปุก ในปีประมาณ พ.ศ.๒๕๐๔ ในตอนที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านพักนายตรวจทางที่เจ็ดเสมียนแล้ว มาอยู่กับลูกชายคนเล็กคือนายบุญส่ง ที่บ้านพักคนงานรถไฟ มักกะสัน กทม.

   ยายปุกคนนี้ไม่ใช่เป็นยายที่แท้จริงของผมหรอกครับ แกเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ยายขอด ยายจริงๆของผมที่อยู่บ้านบางตะบูน เพชรบุรีโน่น ยายที่เป็นแม่ของน้าส่งนี้ทำไมผมจึงเรียกเขาว่ายาย เมื่อสมัยก่อนสามีของแกหรือพ่อของน้าส่งหรือที่มีชื่อจริงๆว่า นายทองคำ ที่ผมเรียกว่าตานั้นแกทำงานเป็นคนรถไฟ

  นายทองคำมีตำแหน่งเป็นนายตรวจทางรถไฟของการรถไฟ ตามีบ้านพักอยู่ที่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟเจ็ดเสมียน ซึ่งในปัจจุบันนี้บ้านพักนายตรวจทางที่เจ็ดเสมียนนี้ก็ยังอยู่ตรงที่เดิม บ้านพักของนายตรวจทางเจ็ดเสมียนนี้ ผลัดเปลี่ยนนายตรวจทางที่เข้ามาอยู่กันมาหลายยุคหลายสมัย ตัวบ้านพักนั้นก็ได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีเรื่อยมา

  ตาทองคำของผมที่เป็นนายตรวจทาง (ต่อไปนี้จะเรียกว่าตา) มีลูกสี่คน ส่วนแม่ของผมที่ยายเอามาจากบ้านบางตะบูน มาเลี้ยงดูอยู่ด้วยที่เจ็ดเสมียน ตั้งแต่แม่ของผมยังเป็นสาวๆนั้นมีชื่อว่า สละ อยู่ในฐานะเป็นหลานของนายตรวจทาง แม่ของผมอยู่กับครอบครัวของนายตรวจทางเป็นเวลานานจึงเปรียบเสมือนเป็นลูกสาวของนายตรวจทางคนหนึ่ง

   แม่ของผู้เขียน (กลาง) พร้อมด้วยผู้เขียนและน้องๆทั้ง ๓ คน ภาพนี้ถ่ายเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๙ หลังจากผู้เขียนและน้องๆโตกันหมดแล้ว

   อีกหลายปีต่อมาแม่ของผมจึงได้แต่งงาน กับครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนซึ่งก็คือเตี่ยของผมนั่นเอง ไหนๆจะเล่าเรื่องของนายบุญส่งแล้ว ก็จะขอเล่าถึงญาติพี่น้องในตระกูลของนายบุญส่งหรือนายเดชา พลหาญ อีกสักเล็กน้อย เพราะว่ามีบางคนมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ของผมด้วย

   ลูกชายของตาคนที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกคนโตชื่อนายทองหล่อ ซึ่งผมต้องเรียกเขาว่าลุงทองหล่อ ครั้งสุดท้ายที่ผมได้รู้ข่าวของลุงทองหล่อจากที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันนั้น ลุงทองหล่อนี้ทำงานการรถไฟด้วย เขาเป็นนายสถานีรถไฟหลังสวนจังหวัดชุมพร ในวันนั้นเย็นแล้วฝนตกพรำๆ (ภาคไต้ฝนตกตลอดปี)
   ลุงทองหล่อซึ่งทำหน้าที่เป็นนายสถานี กำลังถือธงออกมารับรถสินค้าที่ไม่มีตู้โดยสารเลย ที่วิ่งลงไต้โดยไม่จอดที่สถานีนี้ขบวนหนึ่ง ในจังหวะนั้นมีคนร้ายคนหนึ่งได้วิ่ง เข้ามาแทงลุงทองหล่อข้างหลังถึงแก่ความตาย ผมไม่ทราบเรื่องในรายละเอียดเท่าไรหรอกครับ เพราะว่าได้ยินเขาคุยกันอีกทีหนึ่ง ดังนั้นลุงทองหล่อจึงไม่ได้เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตของผม และผมก็ไม่เคยเห็นแกเลยด้วย

   คนที่ ๒ นั้นเป็นผู้ชายเป็นน้องชายของลุงทองหล่ออีกทีหนึ่ง ผมเรียกเขาว่าลุงทองอยู่ หรือชื่อจริงของเขาชื่อว่า นายพิชัย พลหาญ ในสมัยนั้นแกทำงานอยู่ที่กรมชลประทานสำนักงานใหญ่สามเสน เป็นพนักงานบัญชี (ในยุคของนายทวิน ชื่นชูศิลป์) ลุงทองอยู่นี้เกี่ยวข้องกับผมแต่ไม่มากนัก ผมจึงไม่ขอเล่าให้ละเอียดมากกว่านี้

   คนที่ ๓ นั้นคือน้าบุญสมซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในจำนวนลูกของตา น้าบุญสมนี้เคยอยู่ที่เจ็ดเสมียนตั้งแต่สาวๆและเป็นเพื่อนคู่หูกับแม่ของผมด้วย และอยู่ที่บ้านพักนายตรวจทางเป็นเวลานาน จึงเป็นเหมือนคนเจ็ดเสมียนคนหนึ่ง เป็นคนรุ่นแม่ของผม รุ่นคุณป้าฮวยแม่ของคุณอำนวย แววทอง (ไช้โป๊วหวานแม่กิมฮวย) และรุ่นคุณป้ากิมแช แม่ของคุณสาธร วงษ์วานิช

  ต่อมาน้าบุญสมได้แต่งงานกับคนที่ทำงานการรถไฟคนหนึ่ง แล้วไปอยู่ที่กรุงเทพฯปลูกบ้านอยู่แถวๆอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ได้กลับมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกเลย เมื่อผมได้ไปอยู่กับน้าส่งที่กรุงเทพฯแล้ว ผมได้พบกับน้าสมเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง โดยมากจะไปหาแกที่บ้านของแกที่ในซอยๆหนึ่งใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 

   ตระกูลของ พลหาญ อาจจะมีมากกว่านี้ ส่วนที่ผมรู้จักก็มีเท่าที่ผมบอกมานี้ ผมอยากจะสรุปให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ในจำนวนนี้มีคนเดียวเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับผมอย่างมาก คนๆนั้นคือคนที่ เตี่ยของผมเรียกว่า “ไอ้ส่ง” นั่นเอง...!

 

 

 

 

 

  เมื่อวานนี้เตี่ยผมคุยให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนที่จะให้ผมไปเรียนต่อนี้ว่า “เมื่อคราวที่เตี่ยไปหาลุงทองอยู่ได้เจอไอ้ส่งและได้คุยกับมันอยู่พักหนึ่ง ไอ้ส่งมันบอกว่า ที่การรถไฟ มีโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับกิจการของการรถไฟโดยเฉพาะ โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงงานมักกะสัน"

  นักเรียนที่โรงเรียนในตัวอำเภอโพธาราม รุ่นปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ผู้เขียนยืนข้างบนที่ ๕ จากขวา

   "ไอ้ส่งมันบอกว่าถ้าลูกของพี่เรียนจบ ม. ๖ แล้ว ลองๆไปสมัครสอบกับเขาดู แล้วถ้าได้เข้าเรียนในระหว่างเรียนนั้น ทางการเขามีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย เขารับทุกปี  ” เตี่ยหยุดพูดนิดหนึ่งหันมามองผมคงคิดว่าผมจะพูดอะไรบ้าง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไรและกำลังตั้งใจฟังอยู่ เตี่ยก็พูดต่อ

   “มาคิดดูแล้วก็ดีเหมือนกัน เวลาเรียนก็มีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย ดูเหมือนว่าจะเรียน ๓ ปีนะจึงจะจบหลักสูตร เมื่อจบแล้ว ทางการรถไฟเขาก็จะบรรจุให้เข้าทำงานกับเขาเลย ไม่ต้องลำบากไปหางานที่อื่นทำ เก้วจะเอาอย่างนี้ไหมเล่า ”

   อยู่ๆเหมือนกับเตี่ยมาชี้ทางสว่างให้กับผม ตลอดระยะเวลาตั้งแต่สอบเสร็จเมื่อต้นเดือน มีนาคม ผมคิดไม่ออกว่าผมจะได้ไปเรียนต่ออะไร หรือจะอยู่บ้านเฉยๆไปก่อน ผมจึงต้องรอเตี่ยมาจัดการให้
   เมื่อได้ยินเตี่ยบอกอย่างนี้ผมจึงรับปากและคิดว่า นี่แหละคือโรงเรียนที่ผมจะต้องไปเรียนต่อละ วันนั้นเตี่ยบอกว่า “ อีกสองสามวันเตี่ยกลับไปโรงเลี่อยเตี่ยก็จะพา เก้ว ไปพร้อมกันด้วยเลย เราไปหาไอ้ส่งกันให้มันจัดการเรื่องเรียนนี้ให้สำเร็จไป หวังว่าในตอนนี้เขาก็ยังคงรับเด็กๆเข้าเรียนกันอยู่นะ  “
 
   ในระหว่างที่เตี่ยยังไม่กลับไปโรงเลื่อยนั้น แม่ของผมก็เตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่เล่นเหมือนกับที่ผมอยู่ที่บ้าน กางเกงขาสั้น เสื้อยืดหลายตัว ที่ไม่ลืมก็คือชุดนักเรียนที่โรงเรียนเก่าด้วย เผื่อเอาไว้ในวันไปสมัครสอบอาจจะต้องใส่ไป ผมรีบไปติดต่อที่โรงเรียนขอใบสุทธิมาเตรียมไว้เรียบร้อย ใบสำนะโนครัว ใบสูติบัตร ก็ไม่ลืมนำไปด้วย ทุกอย่างเรียบร้อยลงตัว สองสามวันที่เตี่ยยังไม่กลับนี้ผมไปคุยกับเพื่อนๆบางคนที่ยังอยู่ที่ตลาดด้วยความสบายใจ ไม่รู้สึกว่ามีความหดหู่ใจอะไรอีกแล้ว...

โปรดติดตามตอนต่อไปเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆครับ.

  โรดทราบ  เื่องนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเริ่มต้นในการที่ผมไปจากเจ็ดเสมียนตลอดกาล ซึ่งผมผู้เขียน ได้เล่าเรื่องเริ่มตั้งแต่ได้ออกจากเจ็ดเสมียนไป แล้วไม่ได้กลับมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้  (ญาติพี่น้องยังอยู่) เป็นเรื่องที่ผมต้องไปผจญชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯด้วยตัวคนเดียว เป็นเรื่องที่ยาวพอสมควร ถ้าท่านที่ชอบเรื่องเก่าๆในแนวนี้ก็คงจะสนุกสนานไปด้วย แต่ถ้าท่านไม่ชอบก็ขอให้ท่านละเลยเรื่องนี้ไปเสีย โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อิงกับความจริงชื่อตัวละครในนี้จะมีชื่อจริงและชื่อปลอมบ้างเพื่อความเหมาะสม ขอให้ท่านอ่านด้วยความสนุกนะครับ ..

เขียนโดยนายแก้ว  ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้137
เมื่อวานนี้706
สัปดาห์นี้2693
เดือนนี้11940
ทั้งหมด1341824

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online