ไอ้เหม่ง ๑ (คนอง คุ้มประวัติ )

เรื่องราวเก่าๆของชาวตลาดเจ็ดเสมียน 

ไอ้เหม่ง   ๑   คนอง  คุ้มประวัติ

อยากรู้เรื่องราวต่างๆของเขาบ้างไหม ?
ถ้าอยากรู้ติดตามผมมาเลยครับ

 

ไอ้เหม่ง (คนอง คุ้มประวัติ  ตัวจริง) กำลังอุ้มน้อง (วรรณโน)

           เรื่องนี้เกิดขึ้น ระหว่างปี  ๒๔๙๙ - ๒๕๐๒   ห้องแถวที่ผมและครอบครัวของผมอาศัยอยู่นั้น ถ้ามองจากหน้าบ้านเข้ามา ทางด้านซ้ายมือจะติดกับร้านตัดผม ของนายชุ่ม นางมั่น นายชุ่มนี้ ในอดีตเคยเป็นทหารผ่านศึกมาหลายสมรภูมิ มีเจ้านายชื่อ ร้อยเอกประลอง บูชา และร้อยเอกประลอง บูชา ผู้นี้ เมื่อถึงฤดูการเลือกตั้ง สส. ทีไร แกก็จะลงสมัครทุกครั้ง  หมายใจว่าจะเป็นผู้แทน ของจังหวัดราชบุรีให้จงได้ และหัวคะแนนของร้อยเอกประลอง ประจำ ตำบลเจ็ดเสมียนนี้ก็คือนายชุ่ม อดีตที่เคยเป็นทหารผ่านศึกมาด้วยกันนั่นเอง แต่ว่าทุกครั้งก็ไม่เคยได้รับเลือกเป็นผู้แทนสักครั้งเดียว ผมจำได้ว่านายร้อยเอก ผู้นี้แกก็สมัครผู้แทนทุกครั้งซีน่า 
          

         ห้องด้านขวามือที่ติดกับห้องผมนั้น ย้ายกันมาจาก ตำบลบางโตนด มาอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน ก็ไล่เลี่ยกันกับบ้านผม หรือว่าอาจจะมาทีหลังผมสักเล็กน้อย จริงๆแล้ว  ครอบครัวผมย้ายเข้ามาอยู่เจ็ดเสมียน ก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก ดังที่ผมได้เขียนให้ท่านผู้อ่านทราบมาบ้างแล้วในตอน “ย้ายมาอยู่เจ็ดเสมียน 1”   แต่ห้องที่ติดกันกับผมทางด้านขวามือนั้น เพิ่งจะย้ายมาจาก ตำบลบางโตนด เข้ามาอยู่ที่เจ็ดเสมียน เป็นครั้งแรก มีสมาชิกในบ้าน หก คน คือ พ่อ แม่ ลูกสาวสองคน ลูกชาย สองคน 

                          ครอบครัวของ คนอง (ไอ้เหม่ง นั่งติดพ่อ) คุ้มประวัติ


         

          เมื่อย้ายเข้ามาแล้วก็ได้เปิดเป็นร้านถ่ายรูป ชื่อว่าร้านถ่ายรูป จำเนียรศิลป์ รับงานถ่ายรูป ทั่วไป ทั้งในและนอกสถานที่ เป็นอาชีพ ด้วยราคาที่ไม่แพง และรับใส่กรอบรูป ตัดกระจกด้วย จึงมีลูกค้ามากมาย  ที่ร้านถ่ายรูปนี้ประดับประดาภาพต่างๆเสียสวยงาม กลางคืนเมื่อที่ตลาดเจ็ดเสมียนมีไฟฟ้าแล้ว ก็เปิดไฟฟ้าเสียสว่างไสว สมกับที่เป็นร้านถ่ายรูปจริงๆ ดังนั้นในตอนค่ำๆ ผู้ที่เป็นชาวตลาด หลายๆรุ่น จึงชอบมาชุมนุม มาพบปะกัน และมาคุยกันที่ร้านถ่ายรูปนี้ 

          จากภาพข้างล่างนี้ เป็นมุมหนึ่งของร้านถ่ายรูป จำเนียรศิลป์ ซึ่งห้องอยู่ติดกันกับห้องของผม มืดๆค่ำๆอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ไปไหน ผมก็มักจะมาคุย ที่บ้านนี้ จากทางซ้าย ผมเอง ถัดมาที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่นั้น คุณนวลปรางค์ ลูกสาวคนโปรดของ ป้าม่อม ถัดมาทางขวาที่กำลังเขียนหนังสืออยู่เหมือนกันนั้น นั่นแหละ คนอง คุ้มประวัติ (ไอ้เหม่ง) ต่อมาอีกก็ พี่ จรัส คนทำงานอยู่ที่บ้าน อี๊น้อย แล้วก็พี่ องุ่น ลูกสาวคนโตของบ้านนี้ (มองดูรูปตัวเองในสมัยนั้น ผมก็หล่อดี พอสมควรนะ)


           เจ้าของร้านถ่ายรูปนี้ และเป็นช่างภาพในตัว คือ นายจำเนียร คุ้มประวัติ ส่วนภรรยาของแก ชื่อ ว่า ละม่อม  ในตอนนั้น ทั้งคู่นี้ น่าจะอายุ ประมาณ 30 กว่าๆ เกือบจะ 40  เท่านั้น ลูกสาวสองคนนั้น คนแรกชื่อว่า องุ่น รองลงมาชื่อว่า นวลปรางค์  ลูกชาย อีกสองคน คือ คนอง และ  คนึง นายจำเนียรนั้นแต่ก่อนเคยทำงานเกี่ยวกับ การถ่ายภาพ หรือตั้งร้านถ่ายรูปจากที่ไหนมาแล้วบ้าง ผมไม่ทราบนะครับ


          สองภาพบนนี้ ใครที่อยู่ตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้น จะคุ้นๆ หรือเปล่าครับ ภาพบน คือคุณป้า ละม่อม แม่ของ คนอง คุ้มประวัติ (ไอ้เหม่ง) ที่ผมกล่าวถึงบ่อยๆ ส่วนภาพล่าง คือ คุณ องุ่น ลูกสาวคนโต ของ ป้าละม่อม ครับ

          

          เอาเป็นว่าผมก็ได้เพื่อนบ้านใหม่อีกครอบครัวหนึ่ง เราทั้งครอบครัวต่างก็นับถือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี แต่ทุกๆครอบครัวที่มารวมกันอยู่ ที่ตลาดเจ็ดเสมียนนี้ ต่างก็มาจากในที่ต่างๆ จึงมีทั้งดีบ้างและก็ไม่ดีบ้าง ปนๆกันไปมันเป็นเรื่องธรรมดาครับ
          ใครจะเป็นอย่างไรในตลาดเจ็ดเสมียนนั้น ผมก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ผมก็มีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมในตลาดเจ็ดเสมียน ที่เล่นด้วยกันได้ แทบทุกคนไม่มีปัญหาอะไร
          และต่อจากนี้ไปผมจะเล่าถึงเรื่องของ นายคะนอง (ไอ้เหม่ง) คนเดียวก่อนเป็นส่วนใหญ่นะครับ ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลนี้ ก็จะมีบ้างเกี่ยวพันกันไปเรื่อยๆ เพราะว่า นายคะนอง (ไอ้เหม่ง) นี้เกี่ยวพันกับผมตลอดที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนแห่งนี้
          ชื่อเล่นที่พวกเราเรียกกันติดปาก และพ่อแม่มันก็เรียกแบบเดียวกันว่า ไอ้เหม่ง ไอ้เหม่งผิวขาว ผอมสูง ผมหยิกเล็กน้อย แต่ตรงหน้าผากมันนั้น ปูด โนๆออกมานิดหน่อย เหมือนจะมีเขางอกออกมา เป็นดังนี้กระมัง พ่อแม่มันจึงเรียกมันว่าไอ้เหม่ง
        เมื่อมันย้ายมาอยู่ตลาดเจ็ดเสมียนใหม่ๆนั้น มันก็ยังไม่ค่อยคุ้นกับใครหรอก และแม่มันก็ไม่อยากให้ไอ้เหม่ง ไปเล่นน้ำ ยิงนก และตก ปลากับใครเลย  พ่อแม่มันก็ย่อมต้องห่วงลูกๆเป็นธรรมดาแหละน่า
        แต่จะเป็นอย่างนี้ได้ไม่นานหรอก เพราะว่า อย่างน้อยที่สุด บ้านมันกับบ้านผม เป็นห้องติดกันซึ่งเป็นห้องแถว ฝาบ้านก็ติดกันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเจอกันทุกวัน เปิดประตู หน้าบ้าน (ตอนนั้นเรียกว่า หน้าถัง ) โผล่ออกมาก็เจอกันอีก จึงต้องได้คุยกัน และ สนิทกันในที่สุด
        อาจจะมีท่านผู้อ่านอยากถามว่า แล้ว ระฆัง น้องของผม หรือคนอื่นๆในครอบครัวของผม ทำไมไม่ได้เขียนถึงหรือ มีบทบาทอะไรเลย  บทบาทของเขาก็มีเหมือนรุ่นผมนี่แหละครับ แต่เขาก็อยู่ในรุ่นของเขา เช่นพวก ศักดา ลูกกำนันโกวิท นายสุเมธ น้อง ไอ้ธร หรือ ไอ้จุ้ย น้องไอ้เหม่ง และอีกหลายคน เขาก็ไปกับพวกของเขา มันจึงไม่ค่อยมีเรื่องเอ่ยถึงเขา เขาก็มีบทบาทของเขาแหละน่า อย่าห่วงเลย
        

         ในปีที่ผมกำลังเขียนให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอยู่นี้ ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 แล้ว เรียนอยู่ที่ โรงเรียนวัดสนามชัยก่อนไอ้โห้ ลูกป้าฮวย 1 ปี ส่วนไอ้เหม่งนั้นมันก็ย้ายจากโรงเรียนวัดบางโตนด มาเรียนชั้น ป3 หรือ ป 4 นี่แหละที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนเลย ในตอนที่ผมรู้จักกับไอ้เหม่งตอนแรกๆนั้น ผมก็ยังไม่กล้าชวน ไอ้เหม่ง ไปไหนต่อไหน หรอก ผม กลัวแม่มันด่าเอาตีเอา จะว่าป้าม่อมแก เป็นคนด่าเก่งตีเก่งก็ไม่ใช่ แต่แกมักมองเด็กคนอื่นๆที่มาชวนลูกแก ไปเที่ยว ยิงนก ตกปลา เหมือนว่าจะนำพาลูกของแกไปได้รับอันตรายทั้งนั้น
         

         แต่เวลาผ่านมาเรื่อยๆ กลายเป็นว่า ผมกับไอ้เหม่งนั้นสนิทกัน พากันไปยิงนก ตกปลา ไปวางเบ็ดปลา กันมืดๆ ค่ำๆ กันบ่อยๆ ส่วนใหญ่มักจะได้กลับมาอย่างดีเสียด้วย วันหนึ่ง ป้าม่อมแกเห็นว่า จะห้ามไอ้เหม่งลูกของแกไปไหนมาไหนกับผมไม่ได้แล้ว แกจึงเอ่ยปากพูดกับผมว่า 

         เก้ว ฉันขอร้องอย่างหนึ่งเถอะ จะไปตกปลา หาปลากัน ก็ไม่เป็นไรนะ แต่ว่ายิงนกนั้นฉันขอร้องก็แล้วกัน อย่าพา ไอ้เหม่ง มันไปยิงนกเลย เก้วจะยิงก็ยิงไป ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่ปลานั่นน่ะมันเป็นอาหาร ของคนโดยตรงอยู่แล้ว  แต่นกนั้นมันไม่ใช่เป็นอาหารของคน อย่าไปฆ่ามันเลย 

         คุณแม่ละม่อม คุ้มประวัติ แม่ของไอ้เหม่ง  (คะนอง  คุ้มประวัติ)

         ต่อจากนั้นมาผมก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่พาไอ้เหม่งไปยิงนกเด็ดขาด ผมเล่าให้ท่านฟังอย่างนี้ ท่านผู้อ่านก็คงคิดว่าผมยิงนกเก่ง หรือยิงหนังสติ๊กแม่นมากๆเลยใช่ไหม แต่ความจริงแล้ว อาวุธคู่มือ ของพวกเด็กเจ็ดเสมียน แทบทุกคนจะเป็นหนังสติ๊ก และมีลูกกระสุนดิน ที่ปั้นซะกลมดิก แล้วตากแดดให้แห้ง แข็งเป๊ะ อยู่ในกระเป๋า อย่างน้อย สิบลูกขึ้นไป
 เวลาที่ออกไปปฏิบัติการกับใคร หรือรุ่นพี่คนไหน เช่น เฮีย ตี๋ หรือเฮีย เต้ว ที่ได้เสนอท่านผู้อ่านไปแล้ว ทุกคนจะพกอาวุธอย่างนี้ไปทั้งนั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่จะลั่นกระสุนจริงๆ ไม่ทันรุ่นพี่ๆเขาหรอกครับ ยิงหนังสติ๊กไม่ทันรุ่นพี่เขา 
         

         ขอบอกว่า ผมจำได้ว่า ในชีวิตของผมที่ผ่านมานี้ ยิงนกถูกเพียง 2 ตัวเท่านั้น ตัวที่ 1 นั้น ผมพร้อมด้วยเพื่อนอีกหลายคน ไปยิงนก และกระรอก กับเฮียเต้ว ทางวัดใหม่ชำนาญ เฮียเต้วคนเดียวที่เป็นผู้ยิงได้กระรอก  และนกเอี้ยง  และนกที่ตัวเขียวๆ ที่เขาเรียกนกสายตะขาบ ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมจำไม่ได้แล้ว วันนั้นได้กระรอกและนกหลายตัว ขากลับก็เดินมาเรื่อยๆ พอดีผ่านคอกหมูของ เจ๊น้อม ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ มีนกเอี้ยงตัวหนึ่ง เกาะอยู่บนสันหลังคาคอกหมูเจ๊น้อมอยู่

         ไอ้เหม่งกระซิบบอกผมทันทีว่า เฮ้ยพี่เก้ว เห็นนกเอี้ยงตัวหนึ่งบนสันหลังคาคอกหมูหรือไม่ ผมพยักหน้า แล้วทำสัญญาณมือให้ไอ้เหม่งมันเงียบๆ  แล้วผมก็กำด้ามหนังสติ๊กคู่มือของผมเสียแน่น ยืดยางออกเกือบสุด หลิ่วตามองผ่านง่ามหนังสติ๊ก ให้นกตัวนั้นลอยเด่น อยู่ในง่ามหนังสติ๊กของผมพอดี ผมพยายามบังคับมือให้ไม่สั่น แล้วบรรจงปล่อยกระสุนออกไปจากรังเพลิง  เสียงดังผับ ผมงี้หลับตาปี๋ กลัวยางมันจะสะบัด กลับมาโดนตาผมนะซี เฮ้ยไอ้เหม่ง โดนหรือเปล่าวะ ผมถามมัน เพราะผมเห็นแว๊บๆ ว่า เห็นขนนกตัวนั้นปลิวว่อน ไอ้เหม่งว่า สุดยอดเลย พี่เก้ว ยังกับจับวาง ว่าแล้วมันยกนิ้วโป้ ให้ผมด้วย หมายความว่าชื่นชมกับผลงานอันนี้ของผม 
         

         ผลของมันก็คือ นกเอี้ยงที่น่าสงสารตัวนั้น นอนแน่นิ่งอยู่ที่สันหลังคาคอกหมูเจ๊น้อม ไม่ยักกะกลิ้งหล่นลงมา จะได้ไปเก็บ มารวมกองทุนของเฮียเต้วเขา แต่เมื่อมันนอนติดสันหลังคาอย่างนี้แล้ว พวกเราก็หมดปัญญาที่จะไปเก็บเอามาได้ ถ้าจะเอาจริงๆก็ต้องเข้าไปในบ้านเจ๊น้อม แล้วบอกเขาว่าจะไปเก็บนกบนหลังคาคอกหมูนั้น เจ๊น้อมแกก็คงอนุญาติให้เข้าไปหรอก แต่ใครล่ะจะไปเรียกเจ๊น้อม  ตัวบ้านแกอยู่เลยคอกหมูไปตั้งไกล หมาก็ดุสุดๆ พวกเราก็เลยลงมติกันว่า ไม่เอาดีกว่า แล้วพวกเราก็เดินกลับบ้านกัน
          เฮียเต้วบอกว่า กะรอกกับนกนี้ใครจะเอาก็เอาไปได้เลย เฮียเต้วแกก็ไม่เอาอยู่แล้ว (แล้วไปยิงมาทำไม๊ เหนื่อยเปล่าๆ อ๋อ เฮียแกต้องการแสดงฝีมือน่ะครับ ) พวกผมก็ไม่เอา สุดท้ายเฮียแกเอาไปให้ใครผมก็ไม่รู้ นี่เป็นนกตัวแรกนะที่ผม พกหนังสติ๊ก และยิงหนังสติ๊กเป็น
          ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้ จะเล่าให้ฟัง  ไม่ห่างจากครั้งแรกที่ผมยิงนกถูกนั้น  ตอนบ่ายๆ ผมเดินเล่นมาคนเดียวถึงต้นโพธิ์ ใกล้บ้านตาโหงว (ไม่ใช่ต้นโพธิ์ใหญ่ริมน้ำที่เหลือต้นเดียวนั่นหรอกนะ) บ้านทำมีด ไม่ใช่บ้านมีดบินนะ  แต่เกี่ยวกับบ้านตาโหงวตีมีดนี้ ก็เคยมีมีดบินเข้าใส่พวกผมครั้งหนึ่ง แล้วผมจะเล่าให้ฟัง โปรดไปดูเรื่อง " ตาโหงวตีมีด " แต่เอาเรื่องผมยิงนกก่อน  งานนี้ไอ้เหม่งไม่เกี่ยวมันไม่ได้เดินมากับผม
          ผมเห็นไอ้อู๊ด (โอฬาร ลักษิตานนท์ พี่ชาย นายสิทธิ์ )   กับไอ้โห้   (สุรพงศ์ แววทอง พี่ชายนายแอด ลูกยายฮวย ขายผักกาด) ทั้งคู่ถือหนังสติ๊กคู่มือ แล้วมองไปข้างบนต้นโพธิ์ หน้าแหงนขึ้นไป 90 องศา แล้วยกหนังสติ๊กเล็งไปทางที่ทั้งคู่มองอยู่ แล้วก็ปล่อยกระสุนออกไป แล้ว ก็ทำใหม่แบบนี้ อีกเป็น สิบรอบ ผมมองดูแต่ไกล และนึกสงสัยเป็นหนักหนาว่า เพื่อนผมทั้งสองคนนั้นมันทำอะไรกัน
            จึงเดินไปดูที่ๆมันยืนกันอยู่ แล้วแหงนมองไปข้างบน ปัดโธ่เอ๊ย มีนกเล็กเล็กตัวหนึ่งเกาะอยู่กับกิ่งเล็กๆ ของต้นโพธิ์นี้  เป็นนกอะไรก็ไม่รู้ สีสันสวยงามมากเลย ในเวลานั้นผมก็ไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อน นกตัวนี้มันก็ช่างไม่รู้สึกบ้างเลยว่า มีคนยิงมันอยู่ กระสุนเฉียดฉิวมันไปมา แต่ก็ยังไม่ถูกมันสักที
          สักครู่ไอ้อู๊ดมันบอกผมว่า เฮ้ย เก้ว มึงพกหนังสติ๊กมาหรือเปล่าวะ ผมพยักหน้า แล้วมันก็บอกว่า มึงช่วยกูยิงนกตัวนี้หน่อยเถอะวะ ไอ้ห่า กูกับไอ้โห้ แหงนคอยิงมันตั้งนานแล้ว คอเกือบหัก ไม่ถูกมันสักที  มึงลองหน่อย มึงลองหน่อยนะ ผมมองไปบนยอดต้นโพธิ์ เห็นนกตัวเล็กนิดเดียว เกาะอยู่ส่วนที่สูงที่สุดของต้นโพธิ์นี้ ในใจนึกว่า ลองช่วยมันหน่อย วะ ไม่ได้หวังผลอะไรหรอก มันสูงเหลือเกิน แล้วผมก็พึมพำขึ้นมาว่า ทำไมมึงไม่ไปเรียกเฮียเต้วมาจัดการวะ  กูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไอ้อู๊ดว่า แต่ทดลองกันดูก่อนดีกว่า ไอ้โห้ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฮียเต้วเสริมขึ้น ก็ได้ ก็ได้ ผมว่า
           แล้วผมก็ล้วงหนังสติ๊กคู่มือขึ้นมา หนังสติ๊กอันนี้แหละที่ยิงนกเอี้ยงที่คอกหมูบ้านเจ๊น้อมถูกมาตัวหนึ่งแล้ว  ผมบรรจุกระสุน แล้วยกเล็งอย่างประณีต ให้ สายตาของผมมองเห็นนกตัวเล็กนั่นผ่านง่ามหนังสติ๊กอันนี้ แล้วผมก็ปล่อยกระสุนอย่างแผ่วเบา เสียงดัง ผับ ลูกกระสุนไปแล้ว สายยางหนังสติ๊กฟาดกลับมาดังเพี๊ยะ  ดีว่าไม่ฟาดมาโดนตาของผมเข้า กระสุนเม็ดนี้ แม่จ้าว ว ว ว ว   (อุทานเหมือนกับ เดี่ยวไมโครโฟน 7 ของ โน้ต อุดม) มันช่างแม่นยำอะไรอย่างนี้  กระสุนมันตรงเป๊ะกับที่นกเกาะอยู่พอดี ถ้าจะให้ผมบรรยาย แบบสโลว์โมชั่น ละก้อ  กระสุนนัดนี้ วิ่งเข้าชนนกบริเวณกลางลำตัวอย่างจัง ขนอันละเอียดอ่อนของมันหลุดกระจาย สะท้อนขึ้นไปข้างบนปลิวว่อน ตามความแรงของกระสุน ร่างของนกตัวน้อยนิดนั้นก็กระดอนขึ้นไปในอากาศข้างบนแล้วกระเด็นตกลงมาตรงที่ ไอ้อู๊ดยืนอยู่พอดี  
         

          ไอ้อู๊ดกับไอ้โห้ ยืนดูนกตัวนั้น แล้วนั่งลงเอาด้ามหนังสติ๊กเขี่ยๆดู เพื่ออยากดูว่า นั่นคือนกอะไร นกตัวนั้นตกลงมา จากกิ่งที่มันเกาะอยู่ลอยละลิ่วตกลงมา หลับตาพริ้มถึงแก่ความตายไปแล้ว พอมันดูแล้ว มันก็พูดกับผมว่า กูไม่เอาหรอก  มึงยิงได้มึงก็เอาไปเลยก็แล้วกัน  ผมก็เลยว่าโธ่เอ๊ย ไอ้บ้า กูก็ไม่เอาหรอกโว้ย มึงอยากให้กูช่วยยิงทำไมวะ ไอ้โห้บอกว่า ยังงั้นกูเอาไปให้เฮียเต้วดูก็แล้วกันว่ามันเป็นนกอะไรกันแน่ 
         

          นี่เป็นนกตัวที่ สอง ที่ผมยิงถูก และได้ ฆ่าชีวิตมันไปอีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สอง ในชีวิตของผม นับจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ยังยิงนกอยู่ แต่ยิงไม่ถูกและถัดจากนั้นมาอีกก็มีอาการไม่ค่อยอยากยิงนกเลย และเลิกยิงนกอย่างเด็ดขาดในเวลาต่อมา

          ส่วนปลานั้น อย่างกับแม่ ไอ้เหม่ง ว่า ไม่เป็นไร เพราะว่ามันเป็นอาหารของเราโดยตรงอยู่แล้ว 

              โปรดติดตาม   คนอง คุ้มประวัติ (ไอ้เหม่ง)   ในตอนที่ ๒   ได้เร็วๆนี้ ที่นี่ ที่เดียว

                                                                    

                                                                           

 

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้230
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้726
เดือนนี้13644
ทั้งหมด1343528

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online