บุญมา ทรัพย์สิน ๓ (เข้าค่ายธนะรัชต์)

   ป้ายชื่อค่ายธนะรัชต์ อยู่ปากทางเข้าริมถนนเพชรเกษม (ภาพในปัจจุบัน) 


    วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้ว และจะต้องเข้าค่ายเพื่อฝึกทหารทุกคนที่ค่าย “ธนะรัชต์” อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็ไปรอกันอยู่ที่หน้าอำเภอโพธารามตั้งแต่เช้า  ในตำบลเจ็ดเสมียนนั้นมีหลายคนที่ถูกทหารรวมทั้งบุญมาและผมด้วย ส่วนตำบลอื่นๆ ก็ถูกทหารกันตามสัดส่วนเช่นเดียวกัน

    ในวันนั้นชายไทยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เฉพาะของอำเภอโพธารามในผลัดที่ ๒ นี้ มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยคน หรือกว่านั้นอีก ซึ่งผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน บรรยากาศที่บริเวณหน้าอำเภอในตอนนี้ บรรดาพ่อแม่ ลูกเมียและญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของผู้ที่ถูกทหารเหล่านี้ มาส่งกันที่หน้าอำเภอมากมาย ต่างก็ร่ำลากันให้ศีลให้พรกัน บางคนที่เป็นเมียก็ร้องไห้ไปพลางร่ำลากันไปพลาง

  สำหรับผมกับบุญมานั้นไม่มีคนมาส่ง เพราะก่อนที่จะมานั้นได้บอกแม่และน้องๆไว้แล้วว่าไม่ต้องไปส่งหรอก ไม่ได้ไปรบทัพจับศึกหรือไปติดคุกที่ไหน อีกไม่นานเขาก็จะให้ลาพักกลับมาเยี่ยมบ้านเองไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ซึ่งบุญมาเล่าว่าได้บอกพ่อกับแม่และญาติพี่น้องอย่างนี้เหมือนกัน

  ในวันที่ต้องเข้ากรมทหารแม่ของผู้เขียนไม่ได้ไปส่งเหมือนคนอื่นๆ เพราะว่าปกติผู้เขียนก็ไม่ได้อยู่กับแม่ที่บ้านอยู่แล้ว

   เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนจัดการนั้น เป็นทหารยศนายสิบและจ่าหลายคน มีนายทหารที่เป็นนายร้อยอยู่สองสามคนเท่านั้น พอได้เวลานายจ่าคนหนึ่งก็เป่านกหวีดดังลั่นขึ้น แล้วตะโกนทำหน้าขึงขังบอกเสียงดุๆ ให้พวกเราเข้าแถวตามลำดับไหล่เพื่อจะได้เช็คชื่อ จะได้รู้ว่ามากันครบตามรายชื่อหรือไม่

    และจะมีนายร้อยซึ่งเป็นหัวหน้าของพวกจ่าและนายสิบเหล่านี้ มาบอกถึงขั้นตอนต่างๆที่ทุกคนต้องเดินทางไปค่ายธนะรัชต์ในเช้าวันนี้ โดยตอนหนึ่งได้บอกว่า ทุกคนไม่ต้องมีสัมภาระอะไรไปมากมาย มีเพียงชุดพลเรือนเพียงชุดเดียวก็พอแล้ว และเมื่อไปถึงเขาจะแจกชุดทหารให้ ทุกคนจะเป็นทหารอย่างเต็มตัวในวันพรุ่งนี้

   ผมกับบุญมาเข้าแถวอยู่ติดกันเพราะว่าส่วนสูงใกล้เคียงกัน ยืนฟังนายทหารหัวหน้าคนนั้นพร้อมกับผู้ที่จะต้องไปเข้าค่ายในวันนี้ทุกคนด้วยความสงบ เมื่อเรียบร้อยแล้วทุกคนเข้าใจดีแล้ว นายจ่าคนนั้นบอกด้วยเสียงอันดังเหมือนกับจะตะโกนว่า ”เอ้า..พวกเราฟังทางนี้หน่อย...ผมจะอ่านชื่อและเมื่อเจ้าของชื่อได้ยินแล้ว....ให้ตะโกนดังๆว่า มาครับ...ดังๆนะ  “  จ่าแกย้ำพร้อมกับกางสมุดรายชื่อปากก็อ่านรายชื่อไปทีละคน พิธีการอันนี้นานพอสมควรกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ก็เกือบจะถึงเวลาที่รถไฟขบวน “บางกอกน้อย - ประจวบคีรีขันธ์” จะมาถึงสถานีรถไฟโพธารามพอดี

  รถไฟขบวนนี้ไม่ใช่รถไฟขบวนพิเศษเพื่อขนส่งทหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นรถไฟขบวนธรรมดาๆที่วิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว มีชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า “รถขบวนหวานเย็น” เพราะว่าเป็นขบวนที่จอดทุกสถานีๆละนานๆ รับประชาชนทั่วไป รับแม่ค้าพ่อค้าที่มีสัมภาระเยอะๆ
    สำหรับขบวนรถไฟในเช้าวันนี้ที่ว่าเป็นขบวนธรรมดานั้น ก็มีพิเศษบ้างนิดหน่อย ก็ตรงที่ทางการรถไฟได้เพิ่มตู้โดยสารอีก สองหรือสามตู้เพื่อให้พวกที่ถูกเกณฑ์ทหารเหล่านี้ได้มานั่งเฉพาะตู้ที่เพิ่มนี้ จะได้อยู่กันเป็นสัดส่วนไม่ไปปะปนกับผู้โดยสารธรรมดา ตามที่ทางทหารได้ขอให้การรถไฟจัดมาให้

    ใกล้รถไฟมาแล้วนายจ่าคนนั้นก็ส่งสัญญาณให้เดินแถว มีนายสิบสองคนเดินนำหน้า ไปที่สถานีรถไฟโพธารามที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อขึ้นรถไฟขบวนนี้ไปลงที่สถานี ปราณบุรี และจะต้องนั่งรถยนต์ของทหารที่มารอรับเข้าไปในค่าย ธนะรัชต์ อีกทีหนึ่ง การเดินทางในครั้งนี้ราบรื่นดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น

  สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนมองจากด้านหน้า อยู่คู่กับตลาดเจ็ดเสมียนมาเป็นเวลาช้านาน

  จากสถานีรถไฟโพธารามแห่งแรกที่ต้องผ่านคือสถานีเจ็ดเสมียนและตลาดเจ็ดเสมียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียน

     ในขณะที่นั่งรถไฟตั้งแต่ออกจากโพธารามมานั้น ผมนั่งที่เก้าอี้เดียวกับ บุญมา และคุยกันมาตลอดทาง ส่วนคนอื่นๆที่เป็นเด็กตำบลเดียวกันและรู้จักกันก็คุยกันเสียงดังลั่น มีเด็กเจ็ดเสมียนอีกคนหนึ่งชื่อเส็ง ไม่ทราบว่าเขาไปนั่งอยู่ตรงไหน ตั้งแต่เดินออกมาจากอำเภอเพื่อจะมาขึ้นรถไฟนั้นผมไม่เห็นเขาเลย

    ระหว่างรถไฟวิ่งไปนั้น ผมกับบุญมามองดูทิวทัศน์ที่รถไฟวิ่งผ่าน และคุยกันไปตลอดทาง รถไฟจอดที่สถานีใหญ่ๆเป็นเวลานานๆเช่นที่สถานีเพชรบุรี ที่ชานชลาหน้าสถานีมีคนเดินกันพลุกพล่าน นอกจากผู้โดยสารที่ลงและขึ้นที่สถานีนี้แล้ว ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของกินต่างๆรวมทั้งข้าวแกงด้วย เดินไปตามช่องหน้าต่าง ตะโกนขายสินค้าของเขาดังลั่น บุญมาบอกผมว่า "นี่ถ้าเป็นวันกลับบ้านก็ดี จะได้ซื้อข้าวเกรียบปิ่นแก้วไปฝากพ่อกับแม่ด้วย" ผมพยักหน้าและบอกบุญมาว่า "อีกไม่นานเราก็ได้กลับบ้านไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขากลับเราค่อยซื้อก็แล้วกัน "

   จากขบวนรถเที่ยวนี้พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะข้าวแกง (ข้าวราดแกง) ทหารใหม่แทบทุกคนสั่งซื้อกินกันจ้าละหวั่นเพราะว่าในเวลานั้นใกล้เที่ยงแล้วต่างคนต่างหิวกันเป็นกำลัง รถไฟจอดที่สถานีใหญ่อย่างที่สถานีเพชรบุรีนี้เป็นเวลานานประมาณกว่า ๑๕ นาทีเพราะต้องรอหลีกกับรถไปอีกขบวนหนึ่งซึ่งเป็นรถเร็ววิ่งมาจากทางไต้

   การเดินทางครั้งนี้ช้ามากเป็นที่น่าเบื่อ รถจอดทุกสถานีแต่ละสถานีก็จอดเป็นเวลานานๆ ยิ่งต้องรอหลีกกับรถขบวนอื่นๆที่สวนมาก็ยิ่งช้ากันไปใหญ่ จนกระทั่งรถไฟถึงสถานีหัวหิน ทหารใหม่แทบทุกคนต่างลุกจากที่นั่งโผล่หัวออกมาดูหัวหินกันหัวสลอน ที่เป็นดังนี้เป็นไปได้ว่าแทบทุกคนนั้นยังไม่เคยได้มาเที่ยว และยังไม่เคยเห็นหัวหินเลยว่าเป็นอย่างไร อย่างมากก็แค่เพียงแต่ได้ยินชื่อเท่านั้น

    ส่วนผมนั้นได้เคยมาอยู่ที่หัวหินในครั้งแรกตั้งแต่เด็กอายุประมาณ ๗ ขวบได้มั๊ง เพราะตอนนั้นพ่อของผมทำงานเป็นเสมียนโรงเลื่อยที่ตรงสี่แยกทางที่จะไปสถานีรถไฟ และตรงกันข้ามเป็นทางที่ลงไปชายหาด ครั้งนั้นผมอยู่ที่หัวหินนานหลายวันแต่จำไม่ได้ว่าจะสักกี่วัน ถัดจากนั้นผมก็ไม่ได้มาอีกจนกระทั่งพ้นจากทหารแล้วจึงได้มาหัวหินอีก มาเที่ยวส่วนตัวเฉยๆบ้าง มาหาคนที่รู้จักกันเมื่อคราวเป็นทหารอยู่ที่หัวหินบ้าง สรุปแล้วก็มาที่หัวหินนี้นับครั้งไม่ถ้วน 

  (เรื่องที่เป็นทหารที่หัวหินนี้ เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกับการเป็นทหารในครั้งนี้ จะนำมาลงเมื่อเรื่องบุญมา จบแล้ว) 

     ผมหันมาถามบุญมาว่า "เคยมาเที่ยวหัวหินหรือเปล่า" บุญมาบอกว่า "ยังไม่เคยมาเลย เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ " ผมบอกว่า "ถ้าเราเป็นทหารนานๆแล้วเขาคงจะปล่อยให้กลับบ้านบ้าง เราแวะเที่ยวชายหาดหัวหินกันสักพักก่อนดีไม๊ " บุญมาได้ยินแล้วหัวเราะชอบใจ

  ผู้เขียน (ที่ ๒ จากขวาของภาพ) นั่งอยู่กับแม่และน้อง (คนขวาสุดเป็นลูกสาวเจ้าของโรงเลื่อย) ที่สะพานทางเข้าโรงเลื่อยหัวหินในตอนเย็นวันหนึ่ง ที่เห็นถนนด้านหลังนั้นเป็นสี่แยก ตรงไปด้านหลังเป็นทางลงชายหาดหัวหินอันลือชื่อ ส่วนด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นทางไปสถานีรถไฟหัวหิน.

เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๐ ผู้เขียนได้พาครอบครัวมาเที่ยวหัวหินอีกครั้งหนึ่งโดยทางรถไฟ   (ไม่มีรถส่วนตัว) จนกระทั่งปัจจุบันนี้ถ้ามีโอกาสก็จะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่หัวหินเสมอ.   (มีรถส่วนตัวแล้ว)

    เราคุยกันฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ตอนหนึ่งผมถามบุญมาว่า “การป่วยที่เป็นมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ได้ไปหาหมอมาหรือยัง “ บุญมาบอกว่า “ ไปหามาแล้วหมอตรวจๆเอาหูฟังมาจิ้มๆ ตรงหน้าอก แล้วก็ที่ท้อง  แล้วก็เอามือมากดที่ท้อง  เสร็จแล้วก็จ่ายยามาให้  กินหมดแล้วอาการเดิมๆก็ยังไม่หมดไปยังเป็นอยู่เรื่อยๆ บางครั้งปวดหัวมากปวดที่กระบอกตา ตัวร้อน แล้วก็อาเจียน เวลาเป็นก็จะไม่มีเรี่ยวแรงเลย หมดแรงเอาจริงๆ ลุกไม่ขึ้นเลย “

    ผมบอกว่า “อย่างนี้ต้องไปที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว ไปตามคลินิกหมอก็ไม่มีเครื่องมือตรวจอย่างละเอียด อย่างดีก็วินิจฉัยแล้วก็จ่ายยามาให้กิน เมื่อไม่หายก็แสดงว่ามันไม่ตรงกับโรคนั่นเอง ไปโรงพยาบาลเสียตรวจเลือดด้วยเลยจะได้รู้แน่ๆว่าเป็นอะไร หมอจะได้จ่ายยาให้ถูกกับโรคด้วย “ 
    บุญมาฟังผมบอกแล้ว  ก็รับปากว่าจะไปหาหมอแต่จะติดเรื่องทางทหารนี่แหละ ผมบอกว่า  “ ในค่ายทหารนั้นเขาต้องมีโรงพยาบาล และมีหมอประจำอยู่เหมือนโรงพยาบาลทั่วๆไปอย่างแน่นอน “  บุญมาฟังผมแล้วก็พยักหน้า แล้วเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆต่อไปอีก

   เย็นมากแล้วรถไฟจึงมาถึงสถานีปราณบุรีซึ่งเป็นสถานีเล็กๆ อากาศในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นเวลาที่ใกล้จะเข้าหน้าหนาวดวงอาทิตย์จึงตกเร็ว อากาศเริ่มขมุกขมัว รถไฟจอดแล้วผู้หมู่ที่ควบคุมทหารใหม่ประจำตู้ก็บอกว่า รถไฟถึงสถานีปราณบุรีแล้วให้พวกเรารีบลงจากรถ แล้วไปเข้าแถวเรียงกันเหมือนกับที่หน้าอำเภอเมื่อตอนเช้า รวมตัวกันที่หลังสถานี เพื่อทยอยกันขึ้นรถยนต์ ยีเอ็มซี ของทหารเพื่อจะได้เดินทางเข้าไปในค่ายต่อไป.

   ที่หลังสถานีรถไฟเป็นลานกว้างพอที่รถขนส่ง ยี.เอ็ม.ซี. ของค่ายธนะรัชต์จอดเรียงเป็นแถว มีทหารหลายนายมารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว พวกเราทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมากก็ทยอยกันขึ้นรถทางด้านท้ายรถ ผมกับบุญมานั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน ท่ามกลางอากาศที่ค่อยๆเย็นลง ผมเหลียวมองดูบุญมาเห็นใบหน้าซีดเซียว คงจะเป็นการเดินทางไกลที่ยาวนานจึงทำให้บุญมาซึ่งมีอาการไม่สบายอยู่แล้ว อ่อนเพลียมากขึ้น

   รถขนส่งทหาร ยี.เอ็ม.ซี. ๕ – ๖ คันวิ่งตามกันมาจากสถานีรถไฟย้อนกลับไปทางหัวหินอีกพักหนึ่งก็ถึงเขตของทหารอยู่ด้านซ้ายมือ รถวิ่งผ่านป้ายชื่อ ค่ายธนะรัชต์ ขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมที่ตรงปากทางเข้าพอดี
    ที่ตรงนี้มีป้อมขนาดใหญ่ของทหารสารวัตร คอยดูแลความเรียบร้อยของรถที่ขออนุญาตเข้าไปในค่ายนี้เป็นด่านแรกอย่างเคร่งครัด รถที่เรานั่งเข้าไปนั้นเป็นรถทหารของค่ายเองจึงไม่ได้รับการตรวจอะไร อากาศมืดลงเรื่อยๆทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นป่ามองไม่ค่อยชัดแล้ว

 

  ปากทางเข้าค่ายธนะรัชต์ในปัจจุบันปรับปรุงพัฒนาขึ้นกว่าเมื่อสมัยก่อนนั้น แต่ก็ยังมีชื่อป้ายขนาดใหญ่เหมือนของเดิม (ภาพปัจจุบัน)

    เสียงของทุกคนที่นั่งมาในรถเริ่มเบาลง แต่ละคนคงคิดว่าเขาจะเอาเราไปไหนกันนี่ เปรียบเหมือนรถบันทุกวัวควายที่สัตว์เหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาจะพาตัวเองไปไหน  ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก อากาศยิ่งใกล้ค่ำมากขึ้นบรรยากาศยิ่งอึดอัดใจเป็นยิ่งนัก รถวิ่งเข้าไปเรื่อยๆ ระยะทางจากปากทางเข้าค่ายน่าจะหลายกิโลเมตร จึงเริ่มมองเห็นอาคารต่างๆโรงเรือนทหาร สนามอันกว้างใหญ่ ตั้งกันอยู่เป็นแถวๆ มีทหารเดินกันอยู่ประปราย ที่สนามหน้าเรือนแถวนั้นๆ

    พวกเรามาถึงก็เย็นมากแล้ว จึงไม่เห็นมีทหารฝึกอะไรที่สนามนั้นเลย อีกอย่างหนึ่งเห็นจะเป็นเพราะว่า วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด บางกองร้อยของทหารใหม่ที่มาฝึกกันนานหลายเดือนแล้ว จะมีการปล่อยทหารเหล่านั้นกลับบ้านบ้าง จึงมองไม่เห็นว่ามีทหารพลุกพล่านเท่าไรนัก

   ค่ายธนะรัชต์ เป็นค่ายฝึกของทหารใหม่ทั่วประเทศ ทุกจังหวัดต้องถูกส่งมาฝึกมาอบรมวิชาการ ของทางทหารเบื้องต้นที่นี่ทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้ไม่มีทหารในจังหวัดต่างๆมาฝึกที่นี่แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นค่ายทหารของกองพลทหารราบที่ ๒ และมีโรงเรียนนายสิบทหารบกที่นี่ด้วย  
   จะมีอะไรอีกมากมายหลายอย่างนั้นผมก็ไม่ทราบแล้ว เพราะว่าตั้งแต่ผมออกมาจากค่าย ธนะรัชต์ แห่งนี้ไปแล้ว ก็ไม่ได้หวนกลับไปอีกเลย เพราะฉะนั้นเอาเท่าที่ผมเห็นมาและนึกได้ในสมัยนั้นก็แล้วกัน ปัจจุบันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ช่างมันนะครับ

   ขบวนรถ ยีเอ็มซี ของทหารที่รับพวกผมมาจากสถานีรถไฟปราณบุรี เข้ามาถึงภายในค่ายทหารแห่งนี้ แล้ววิ่งผ่านอาคารโรงเรือนต่างๆที่มีทหารอยู่ประปราย บ้างก็ยืนมองดูรถของพวกเราที่วิ่งผ่าน โบกไม้โบกมือให้ด้วยความเป็นมิตร ไม่นานนักรถก็มาจอดกึกที่โรงเรือนหลังหนึ่งซึ่งกว้างใหญ่ มีลักษณะเป็นโรงเรือน ๒ ชั้น ก็เกือบ ๖ โมงเย็นแล้ว

   พวกทหารนายจ่านายสิบที่ควบคุมพวกผม ตั้งแต่ลงจากรถไฟ ก็ต้อนพวกผมลงจากรถบรรทุกทหารลงมาแล้วเข้าแถว ผมมารู้ในวันต่อมาว่า ที่โรงเรือนกว้างใหญ่ ๒ ชั้นนี้เป็นเพียงโรงหนึ่งในสี่โรงที่อยู่ในบริเวณนี้
    มีชื่อว่ากรมฝึกเบื้องต้นที่ ๑ (กรม บ.๑) ในบริเวณที่กว้างขวางนี้มี ๔ เรือนแถว ซึ่งปลูกอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ลักษณะของเรือนนี้เป็นเรือนไม้สูง ๒ ชั้น แต่ละโรงมีที่นอนของทหารใหม่ ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีห้องน้ำห้องส้วมเป็นแถวยาวหลายสิบห้องอยู่ติดกับเรือนโรง

   แม้ว่าบริเวณหนึ่งจะมีถึง ๔ โรงเรือน แต่ก็มีบริเวณชัดเจนว่าเขตใครเขตมัน เรียกว่า กองร้อยที่ ๑ – ๔  พวกผมซึ่งมาจาก อ.โพธารามทั้งหมด เขาให้เข้าอยู่ที่กองร้อยที่ ๔ ซึ่งเขาได้ให้พวกเรามาลงตรงนี้นั่นเอง ทหารใหม่ที่เข้ามาอยู่คือรุ่นของผมนี้จะมาอยู่ที่นี่เพื่อการฝึกเบื้องต้นของทหารเพียง ๒ เดือนเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะแยกย้ายกันไปตามแต่ผู้บังคับบัญชาจะให้ไปอยู่ที่หน่วยไหน เพื่อไปฝึกเป็นทหารเฉพาะทางต่อไป.
    
    ทุกคนลงจากรถอย่างกระปรกกระเปลี้ย เพราะว่าเพลียที่เดินทางมาไกล มาเข้าแถวแล้วเช็คชื่อปรากฏว่ายังอยู่กันครบ ไม่มีใครหายไประหว่างทาง แล้วเขาก็แยกพวกผมเป็น ๔ หมวด (หนึ่งกองร้อยมี ๔ หมวด  หนึ่งหมวดมีนายสิบคุมอยู่หนึ่งคน เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม ) แล้วนายสิบนั้นก็ออกคำสั่งให้พวกผมทั้งหมดเดินแถวเข้าไปไต้ถุนของเรือนนั้น ให้นั่งลงเอาสัมภาระ และเป้ของทหารซึ่งเขาแจกตั้งแต่แรก ที่หน้าอำเภอเมื่อเช้านี้วางลงข้างๆตัว นั่งกับพื้นปูนขัดสมาธิเพื่อรอนายทหารคนหนึ่งมาอบรมต่อไป

   ในตอนนี้เป็นเวลา ๑ ทุ่มเห็นจะได้ (ยังไม่ได้กินข้าวเย็น) อากาศในกลางเดือน พฤศจิกายน เริ่มต้นหน้าหนาวอย่างนี้ มันมืดเร็วและเริ่มมืดมากๆแล้ว อากาศในค่ายนี้เย็นกว่าปกติเพราะว่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขาและป่าไม้ทึบไปหมด มีตรงที่เขาสร้างเรือนพัก และบ้านพักนายทหารเท่านั้นที่ เป็นพื้นที่โล่งหน่อย ค่ายทหารแห่งนี้ ในข้อมูลที่ต่างๆไม่ค่อยตรงกัน บางข้อมูลบอกว่า มีพื้นที่ ประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ ไร่ บางที่บอกว่า มีพื้นที่ ประมาณ ๕๗,๐๐๐ ไร่ และบางที่บอกว่า มีพื้นที่ประมาณ ๖๐,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่ามีพื้นที่กว้างขวางมากมายนักก็แล้วกัน

   มืดแล้วพวกเรานั่งขัดสมาธิในไต้ถุนนั้น เป็นแถวเป็นระเบียบ สักครู่หนึ่งมีนายทหารคนหนึ่งมียศเป็นนายร้อยเอก อายุของท่านนั้นน่าจะกว่า ๕๐ ปี (เข้าใจว่าไม่ได้มาจากนักเรียนนายร้อย) ถีบจักรยานมาจอดไว้หน้าอาคาร แล้วเดินอาด อาด เข้ามาในอาคารที่พวกเรานั่งกันอยู่

   ร้อยเอกท่านนี้เป็นผู้กล่าวประชุมพวกเรา บอกพวกเราว่าเขาเป็นผู้บังคับกองร้อยฝึกเบื้องต้นที่ ๔ นี้ ท่านบอกคร่าวๆว่าอะไรเป็นอะไร และพวกเราต้องทำอย่างไร มีตอนหนึ่งท่านบอกว่า ไม่ว่าใครจะใหญ่ใครจะดังใครจะมีอิทธิพลสักแค่ไหน เมื่อมาอยู่รวมกันในค่ายมาฝึกเป็นทหารใหม่อย่างนี้ สิ่งเหล่านั้นก็ต้องถอดกองกันไว้ที่หน้าค่ายให้หมด อย่าเอามาแสดงในนี้เด็ดขาด ทุกคนที่มาอยู่ ณ ที่นี้จะมีฐานะเท่าเทียมกันหมด มีสิทธิต่างๆเท่ากัน เพราะฉะนั้นที่พูดมานี่ขอให้จำกันไว้ ในวันพรุ่งนี้พวกเราก็จะเริ่มทำการฝึกทหารใหม่ เบื้องต้นกันเลยทีเดียว

    แล้วนายร้อยเอกที่มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองร้อยคนนี้ ก็พูดอะไรอีกมากมาย  ในตอนสุดท้ายท่านก็แนะนำทหารอีกหลายคน ซึ่งเป็นผู้ที่ประจำกองร้อยของเรานี้ เรียงตัวทีละคน จำได้ว่ามียศจ่าสิบเอกสามคน และเป็นนายสิบเอกอีกหลายคน ซึ่งทหารเหล่านี้ก็จะผลัดเวรเปลี่ยนกันมาเป็นผู้ควบคุมพวกเรานั่นเอง

    ประชุมกันในตอนหัวค่ำเสร็จจึงให้เราเดินแถว ไปกินข้าวมื้อเย็นกันที่โรงอาหาร ซึ่งเป็นโรงอาหารของส่วนกลางมีทหารหลายกองร้อยต้องมาใช้โรงอาหารที่นี่
    อาหารในมื้อนั้นอาจจะเป็นมื้อที่โหดกับทหารใหม่บางคนก็ได้ เพราะบางคนได้รับแจกอาหารลงในถาดหลุม ซึ่งพวกเราเดินเข้าแถวมารับแล้วก็เดินไปที่นั่ง ซึ่งเขาทำเป็นแถวๆไว้ ในวันแรกนี้เขายังไม่เข้มงวดและไม่มีพิธีอะไรมากนัก บางคนได้รับอาหารแล้ว ก็นั่งมองดูอาหารอย่างนั้นโดยไม่ได้แตะต้องเลย ข้าวสวยที่มีสีแดงเรื่อๆที่อยู่ในถาดหลุมนั้นส่งควันกรุ่นดูน่ากินดีนัก แต่บางคนก็นั่งดูข้าวนั่งดูกับข้าว ดังที่ได้บอกมาแล้ว

   ที่เป็นดังนี้เพราะว่าข้าวนั้นมันเป็นข้าวที่เขาเรียกว่าข้าวแดง ที่จริงไม่มีปัญหาอะไร ส่วนกับข้าวนั้น ในมื้อแรกของผมพอจะจำได้ว่า มีแกงส้มมะละกอกับปลาทะเล แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีผัดถั่วฝักยาวกับหมู แล้วอะไรอีกผมก็จำไม่ได้แล้ว ใครจะกินหรือไม่กินผู้หมู่ที่ควบคุมอยู่เขาก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่อธิบายให้ฟังเรื่อยๆว่า ข้าวชนิดนี้กินเข้าไปเถอะ มันมีแร่ธาตุ วิตามินสูงมาก จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และต่อสู้กับการฝึกที่หนักๆ ประมาณ ๔ เดือนได้ (คือฝึกที่กรมฝึกเบื้องต้นนี้ ๒ เดือน และแยกไปฝึกเฉพาะเหล่า อีก ๒ เดือน )

   กินข้าวเย็นเมื่อเกือบ ๒ ทุ่มกันแล้ว จึงได้เดินเป็นแถวอย่างไม่มีระเบียบ (เพราะว่ายังไม่ได้เป็นทหาร) กลับกองร้อยกัน แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าไปอาบน้ำแล้วก็เข้าที่นอน ที่ซึ่งนายสิบเวรนั้นได้ชี้ให้ดู และต่างคนก็ต่างเอาของไว้ในช่องซึ่งเป็น ล๊อกเกอร์ และมีที่ล๊อกกุญแจ  (กุญแจนั้นต้องไปซื้อเอาเอง) อยู่ที่หัวนอนนั้นเอาไว้แล้ว  อาบน้ำกันเสร็จแล้ว ในฐานะที่เป็นวันแรกสิบเวรก็ให้โอกาส พักผ่อนกันตามสบายไม่ต้องปฏิบัติตัวแบบทหารแต่อย่างใด เพื่อนใครพวกใครที่มาด้วยกันก็ไปหากัน คุยกันไป

   ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้วผมก็เดินลงมาชั้นล่างเพื่อมาหาบุญมา ตั้งแต่ลงจากรถบรรทุกทหารที่หน้ากองร้อยแล้ว เขาแบ่งทหารใหม่เป็น หมวด หมู่นั้นผมยังไม่ได้คุยกับบุญมาเลย เพราะเหตุว่าผมกับบุญมานั้น ถูกแยกกันไปอยู่กันคนละหมวด ผมถูกจัดให้ไปอยู่หมวดที่ ๑ ซึ่งอยู่ชั้นบนของกองร้อยที่ ๔ นี้ ส่วนบุญมานั้นถูกจัดให้ อยู่หมวดที่ ๔ ซึ่งต้องนอนอยู่ชั้นล่าง

   ๒ ทุ่มกว่าจวน ๓ ทุ่มแล้วอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ผมเดินลงมาชั้นล่างเมื่อพบบุญมา แล้วก็ถามถึงเรื่องการเดินทางมานี้เป็นอย่างไรบ้าง บุญมาเห็นผมมาหาก็แสดงอาการดีใจ บอกผมว่า “ เหนื่อยเหมือนกัน และในขณะที่เดินทางมานั้น มีอาการปวดหัวเล็กน้อย คลื่นไส้ ปั่นป่วนในท้อง อยากจะอาเจียน แต่ก็ยังไม่ถึงกับอาเจียนออกมาหรอก “ บุญมาว่า  ผมบอกว่า “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างกินข้าวมาแล้วกินยาที่ติดมาด้วยหรือยัง หรือว่าเราจะไปบอกนายสิบเวร ที่อยู่เวรคืนนี้ให้พาไปโรงพยาบาลเอาไหม “ (ที่ค่ายนี้ มีหน่วยเสนารักษ์ และมีโรงพยาบาลอยู่ด้วย )

    บุญมาบอกว่า “ ไม่ต้องหรอกคิดว่านอนพักผ่อนเสียคืนนี้ พรุ่งนี้ก็คงจะดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นจึงจะไปโรงพยาบาลกันอีกที “ ผมก็บอกว่า “ ก็ตามใจ พักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ เราจะไม่รบกวนแล้ว มีอะไรดึกดื่นก็ให้เพื่อนที่นอนข้างๆไปเรียกเราก็ได้นะ เราจะลงมาหา “

   ผมคิดว่าที่บุญมาเป็นอย่างนี้ เพราะการเปลี่ยนอากาศกะทันหันนั่นเอง  จากร้อนในตอนกลางวัน แล้วก็มาเย็นทันทีที่ค่ายทหารแห่งนี้ และบุญมาก็มีอาการไข้เป็นเชื้ออยู่แล้ว ก็เลยเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมาอีกจนได้ 
   ผมสั่งบุญมาไว้อย่างนั้นเพราะไม่แน่ใจว่า บุญมาจะมีอาการเป็นอย่างไรอีก อีกอย่างหนึ่งอยากให้บุญมาสบายใจเมื่อรู้ว่ายังมีคนคอยเป็นห่วงอีกคนหนึ่ง ยังไม่สิ้นญาติมิตรเสียทีเดียว

  ผมออกจากที่นอนของบุญมา มาแล้ว ผมเดินไปหานายสิบเวรที่เข้าเวรในคืนนี้ ชื่อว่าสิบเอกมงคล ผมบอกแกว่า “ หมู่ครับ มีทหารใหม่ที่มาด้วยกันกับผมนี้ไม่ค่อยสบายอยู่คนหนึ่งอยู่หมวด ๔ ซึ่งที่นอนอยู่ชั้นล่าง เขาเป็นเพื่อนผมเองมาด้วยกันอยู่ตำบลเดียวกันครับ“
    แล้วผมก็เล่าอาการของบุญมาให้หมู่มงคลฟัง  ผู้หมู่ฟังแล้วก็หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า

 
  “ มันคงไม่เป็นไรหรอกน่า อั๊วเคยเห็นมีมาทุกรุ่นก็เป็นอย่างนี้ พอมาถึงก็มาทำสำออย หลีกๆ เลี่ยงๆในการฝึก แต่ไม่เป็นไรหรอกลื้อไม่ต้องเป็นห่วงอั๊วดูแลให้เองลื้อไปนอนได้แล้ว ”  ผู้หมู่มงคลซึ่งเป็นสิบเวรในคืนนั้นบอกผม แล้วแกก็ไล่ให้ผมไปนอน...!


นายแก้ว ผู้เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๓

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้65
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2039
เดือนนี้8206
ทั้งหมด1338090

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online