บุญมา ทรัพย์สิน ๔ (ป่วยครั้งแรก)

นายแก้วอยู่ในชุดฝึกเมื่อเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่ค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรี.

     ตกดึกคืนนั้นอากาศหนาวเย็นขึ้นเป็นลำดับ ในกลางเดือนพฤศจิกายนอย่างนี้ อากาศในค่ายมันหนาวจับใจ ประมาณตี ๒ เห็นจะได้มีทหารใหม่คนหนึ่ง ขึ้นมาหานายสิบเวรที่ชั้นบนแล้วพากันเดินเข้ามาปลุกผม

    พร้อมกับนายสิบเวรสิบเอกมงคลคนนั้นบอกผมว่า เพื่อนของผมที่นอนข้างๆเขานั้น ไข้ขึ้นตัวร้อนจัดนอนเพ้อเรียกหาพ่อแม่ บางทีก็เรียกชื่อผม ผมรีบผลุดลุกขึ้นรีบเดินลงบันไดไปชั้นล่างโดยไม่รอใคร มุ่งตรงเข้าไปที่ที่นอนของบุญมาทันที ในที่นอนนั้นเมื่อผมแนบกับมุ้งมองลอดตามุ้งเข้าไป เห็นบุญมาเกิดอาการเพ้อลักษณะเหมือนไข้ขึ้นสูง ผมได้ยินสิบเอกมงคล ที่เดินตามผมติดๆแล้วมายืนดูอยู่นั้น พูดขึ้นเบาๆว่า

  “มันเป็นอะไรของมันนักหนาคงไม่เป็นอะไรมั๊ง พรุ่งนี้ก็คงหาย อั๊วเห็นอย่างนี้มาหลายรายแล้ว “ ผู้หมู่พูดพลางหาวอาการเหมือนคนงาวงนอนเต็มที่
    ผมบอกหมู่มงคลว่า “ เขาไม่ได้เพิ่งมาเป็นในตอนนี้หรอกหมู่ เขาเป็นๆหายๆมานานแล้ว และเมื่อมันมาโดนอากาศหนาวอย่างนี้ บวกกับความเครียดและอ่อนเพลียจากการเดินทางไข้ก็เลยกลับมาอีก ผมอยากจะให้หมู่รีบส่งไปโรงพยาบาล ในคืนนี้เลยจะได้ไหมครับ “ ผมขอร้องหมู่มงคลพลางมองไปที่บุญมาที่กำลังกระสับกระส่ายอยู่ ในขณะนั้นผมคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร

   ผู้หมู่หมู่มองหน้าผมสักครู่เหมือนกับใช้ความคิด แล้วบอกว่า “ เอาไว้ตอนเช้าไม่ดีหรือ ไปกลางคืนดึกๆอย่างนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หมอที่เข้าเวรในคืนนี้นั้นคงกลับไปนอนบ้านแล้ว ถ้าเป็นตอนเช้าๆก็จะมีหมอมาหลายคน และอีกอย่างคงไม่เป็นไรหรอกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ทนเอาหน่อยมาเป็นทหารแล้วต้องอดทนซีวะ  ....! “

   เพื่อนๆที่มาด้วยกันในผลัดนี้ กำลังนอนหลับสบายอยู่ในเตียงข้างๆและถัดๆไป ต่างพากันตื่นขึ้นออกจากมุ้งมามุงดูกัน และพูดวิจารณ์กันเสียงเซ็งแซ่ ผู้หมู่มงคลนั่งลงข้างๆที่นอนของบุญมาแล้วเขย่าตัวเบาๆเพื่อจะให้บุญมาได้สติ แกคงไม่สบายใจที่ทหารใหม่เข้ามาในวันแรกก็มีเรื่องยุ่งๆให้แกเสียแล้ว โดยเฉพาะแกเป็นเวรประจำกองร้อยในวันนี้เสียด้วย

   “ตัวมันร้อนจัดจริงๆแหละ มึงหาผ้าอะไรไปชุบน้ำมาเช็ดตัวมันก่อน ประเดี๋ยวมันชักขึ้นมาแล้วก็จะลำบากกันใหญ่ ” หมู่มงคลหันมาบอกผม
   ผมรีบค้นได้ผ้าขาวม้าของบุญมาขึ้นมา แล้วรีบวิ่งเอาไปชุบน้ำที่ห้องน้ำดีหน่อยที่ห้องน้ำอยู่ไม่ไกล เพราะที่นอนของบุญมานั้นอยู่ชั้นล่างถัดไปนิดเดียวก็ถึงห้องน้ำ ผมเอาผ้านั้นชุบน้ำแล้วบิดให้พอหมาดๆ เมื่อเห็นว่าใช้ได้แล้วก็รีบวิ่งเอามาเช็ดตัวเช็ดหน้าของบุญมา ไอร้อนจากตัวของบุญมาระบายมาที่ผ้าขาวม้าผืนนั้น แล้วความร้อนจากตัวบุญมาค่อยบรรเทาไปบ้าง ในคืนนั้นการดูแลบุญมา ทรัพย์สิน คนบ้านเดียวกับผมซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กของผมทุลักทุเลจริงๆ นี่มันเพิ่งเป็นคืนแรกที่ผมได้มานอนอยู่ที่นี่

   ถึงจะอย่างไรก็แล้วแต่ ในคืนนี้ผมต้องดูแลบุญมาให้รอดไปก่อน ไม่มีใครคิดที่จะมาช่วยผมเลยมีแต่คนยืนดูรุมล้อมเต็มไปหมด แม้แต่นายสิบเวรชื่อสิบเอกมงคลนั้น ผมเอายาแก้ปวดแก้ไข้ของบุญมาที่ติดตัวมาจากบ้านด้วย เอามาให้บุญมากินตามที่หมอเขียนไว้ที่ซองยา หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าความร้อนจากตัวลดลงไปมาก ไม่เหมือนตอนที่ผมมาพบใหม่ๆ ในขณะที่ผมเช็ดตัวเขานั้น บุญมาคลายจากอาการกระวนกระวายแล้ว ได้สติลืมตามองดูผม แล้วก็หลับตาลงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ผมร้องเรียกบุญมา บุญมา สองสามหนบุญมาไม่ตอบแต่พยายามลืมตามองดูผมแล้วก็หลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย

  เรื่องโรคของบุญมาที่เป็นๆหายๆนี้ ผมเคยถามเขาแล้วแต่บุญมายังไม่เคยได้บอกผม เพราะว่าเมื่อผมถามแล้วเราก็ไพล่ไปคุยกันเรื่องอื่นๆอีก จนกระทั่งในวันนี้เมื่อตอนกลางวันตอนที่เรานั่งรถไฟคุยกันมา บุญมายังไม่เห็นมีอาการอะไร และเราก็คุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่ผมก็จะเป็นคนคุยให้บุญมาฟัง ถึงเรื่องที่ผมไปอยู่ที่กรุงเทพฯ บุญมานั่งฟังผมด้วยความสนใจ ถึงตอนไหนที่เป็นเรื่องที่เขาชอบใจจะหัวเราะออกมา เห็นเหงือกเห็นฟันหมดทั้งปาก บุญมายังคงเหมือนเดิมเมื่อครั้งแต่ก่อนๆนั้น
         บุญมาบอกผมว่า

   “ ที่แรกพ่อบอกว่าจะให้บวชเสียก่อนที่จะมาเป็นทหาร เหมือนลูกชาวบ้านทั่วๆไป แต่ไม่ทราบว่ามีเหตุขัดข้องอะไร พ่อจึงบอกว่าให้เกณฑ์ทหารเสียก่อน ถ้าไม่ถูกก็จะบวชที่วัดใหม่เลย แต่ถ้าถูกทหารแล้วก็ให้ไปเป็นทหารเสียก่อนแล้วจึงกลับมาบวชก็ไม่เป็นไร “  บุญมาบอกผมอย่างนี้ ผมก็ว่า

   “ ก็ดีเหมือนกันเป็นทหารเสียก่อนให้มันแล้วเรื่องไป แล้วต่อไปจะบวชไม่สึกเลยก็ยังได้ ” บุญมาชอบใจยิ้มให้ผมเห็นฟันเต็มปาก    

    แล้วผมก็หวนย้อนคิดถึงเมื่อตอนกลางวัน วันนี้แท้ๆยังไม่มีอาการอะไรเลย  พอมาถึงบัดนี้อาการไม่ค่อยจะดีเสียแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ผมคิดไปว่าบุญมาอาจจะมีอาการเป็นมาก่อนที่จะมาทหารกันในวันนี้ก็เป็นได้  แต่บุญมาไม่ค่อยช่างพูด และขี้เกรงใจคนเป็นอย่างมากจึงไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร

   ผมบอกบุญมาว่า “ กินยาแก้ไข้ที่หมดสั่งเข้าไปแล้วสักประเดี๋ยวอาการคงดีขึ้น และในวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องออกไปฝึกกับเขาหรอกนะ เราจะบอกครูฝึกเขาเอง สายๆผู้กองมาครูฝึกเขาจะบอกผู้กองอีกทีหนึ่ง “ บุญมาจะได้ยินผมพูดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมเห็นว่าบุญมาน่าจะหลับไปแล้ว อากาศในตี ๓ ตี ๔ ในค่ายธนะรัชต์ ปีนั้นหนาวมาก ผมขยับผ้าห่มให้เข้าที่คลุมตัวบุญมาไว้อย่างดีคาดว่าไม่หลุดไปจากร่างกายแล้ว ผมดึงเอาชายมุ้งที่ตลบขึ้นไปลงมากันตรงขอบให้เรียบร้อย

   บุญมาดีขึ้นแต่ตัวยังร้อนกรุ่นๆอยู่ ได้เท่านี้ผมเบาใจขึ้นมามาก และคิดว่าจะให้สิบเอกมงคลรายงานผู้บังคับกองร้อยในเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้า ท่านรู้เรื่องแล้วก็คงจะรีบทำเรื่องส่งโรงพยาบาลทันที ผมคิดพลางลุกขึ้นเดินกลับชั้นบนไปยังที่ๆผมนอน จะได้เอนหลังอีกสักประเดี๋ยว นี่ก็ตี ๔ เข้าไปแล้ว แม้ว่าผมจะง่วงเพลียอดนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ คิดทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านมา คิดถึงญาติพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน คิดถึงเพื่อนๆและคนที่ชอบพอกันที่อยู่กรุงเทพฯ คิดอะไรไปต่างๆนานาท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ายทหารแห่งนี้

   คิดถึงน้องที่อยู่ทางบ้าน ซึ่งผมมีเพียง ๔ พี่น้องเท่านั้นผมเป็นคนโต (ภาพถ่ายเมื่อยังอยู่ที่เจ็ดเสมียน)


     ตี ๕ ครึ่งได้ยินเสียงแตรปลุกดังก้องกังวานไปทั่วค่าย เป็นเสียงแตรที่ดังมาจากลำโพงดอกใหญ่ที่ติดไว้ทั่วๆค่ายที่เป็นเหมือนเสียงตามสายประจำหมู่บ้านในสมัยนี้นั่นเอง ตัวผมเองและเพื่อนๆที่มารุ่นเดียวกันนี้ ยังไม่รู้หรอกครับว่าจะทำอะไรกันเมื่อได้ยินเสียงแตรปลุกเช่นนี้
    เพียงแต่เคยรู้จากทหารรุ่นพี่ๆว่า เสียงแตรปลุกนี้เป็นสัญญาณให้ทหารทุกคนทั้งใหม่และเก่าที่มาฝึกในค่ายลุกขึ้น เก็บที่นอนหมอน มุ้ง แล้วลงไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ให้แต่งชุดฝึกให้เสร็จแล้วลงไปรวมกันที่หน้ากองร้อยภายใน ๑๕ นาที ถ้าใครไม่เสร็จตามนี้ก็จะถูกทำโทษ ในชั้นแรกๆนี้ โทษเหล่านี้ก็ยังเบาๆ สำหรับผู้ที่เป็นทหารใหม่ แต่ต่อไปเมื่อปรับสภาพกันได้แล้ว ถ้าผิดอะไรครูฝึกก็จะสั่งลงโทษแต่ละครั้งก็หนักๆทั้งนั้น ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าครูฝึกจะทำโทษอย่างไรบ้าง นั่นเป็นเรื่องที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังมานานแล้ว

    เมื่อวานนี้พวกผมมาถึงค่ายกันเย็นเกินไป ในขณะที่ผู้บังคับกองร้อย อบรมเสร็จแล้วนั้นก็มีการแจกของต่างๆจากจ่าสิบเอกคนหนึ่งที่ผู้กองแนะนำว่าเป็นจ่ากองร้อยของเรานี้ ให้กับทหารใหม่ทุกคน ที่สำคัญก็มีเสื้อผ้าชุดสำหรับฝึก มีกางเกงขายาวเสื้อแขนยาว ๒ ชุด มีชุดสำหรับใส่ปรกติอยู่กับกองร้อย ที่เป็นกางเกงขาสั้นเสือคอกลมผ้าดิบสีขาว ๒ ชุด เสื้อยืดสีเขียวกรมท่าอีก ๒ ตัว นอกนั้นก็มีหมวกแก๊ป เข็มขัด ถุงเท้า รองเท้าคอมแบทสำหรับฝึก (จะมีอะไรอีกนั้นผู้เขียนจำไม่ได้เพราะนานมากแล้ว โดยเฉพาะรองเท้าต้องแลกเปลี่ยนกันในระหว่างเพื่อนๆกันวุ่นวาย ด้วยเหตุที่ว่าใส่ไม่ได้ใหญ่ไปเล็กไป )

    ผมและเพื่อนทหารใหม่ทุกคนนอกจากจะได้ยินเสียงแตรปลุกแล้ว ยังได้ยินเสียงนกหวีดจากสิบเอกมงคล ที่เป็นสิบเวรในวันนั้นเป่านกหวีดเสียงลากยาว พร้อมทั้งมีนายสิบและนายจ่าอีกหลายคนเดินกันตึงตังไปตามเตียง พร้อมกับพูดเหมือนตะโกนว่า “ตื่น ๆๆๆๆ ได้แล้วพวกเรา เก็บเครื่องนอนวางไว้ให้เป็นระเบียบ ล้างหน้า อาบน้ำ เร็วปฏิบัติ ”  และยังบอกอีกด้วยว่า “สำหรับเช้าวันนี้ ให้แต่งชุดตามปรกตินะ คือเสื้อคอกลมกางเกงขาสั้น คาดเข็มขัด สวมหมวก สวมรองเท้าให้เรียบร้อย เสร็จแล้วให้ไปรวมกันอยู่ที่หน้ากองร้อย ”

    เสียงตึงตังโครมครามจากทหารทุกเตียงที่กำลังนอนหลับสบายๆ แล้วก็ต้องมาตื่นกะทันหัน เก็บมุ้งเก็บที่นอนพับแล้ววางบนหัวนอนให้เสมอกันทุกๆเตียง บางคนจะอาบน้ำก่อนก็นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวหนาวจนคางสั่น กรูไปอาบน้ำกันเป็นกลุ่ม บางคนอิดออดไม่อยากลุกก็มี คงลืมไปว่านอนอยู่ที่บ้านจนสิบเวรต้องมาดึงแขนให้ลุกขึ้น บางคนไม่อาบน้ำรวบลัดแต่งตัวเลยเพราะความหนาวเย็น (ผู้เขียนด้วย)
    คนเรานั้นความเป็นอยู่ในแต่ละวันเมื่อตอนอยู่บ้านจะไม่เหมือนกัน เช่นบางคนก็นอนเสียจนตะวันโด่งทำเสียจนเคยชินเมื่อตอนอยู่บ้าน แต่บางคนก็ทำงานเหนื่อยยากลำบากมาก่อนแล้ว ความอดทนต่างๆจึงไม่เหมือนกัน พอมาเป็นทหารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอย่างนี้ จึงลำบากกับคนที่เคยสบาย เป็นเพราะเหตุนี้เองมีคนเป็นจำนวนมากที่กลัวความลำบากจึงวิ่งเต้นเพื่อไม่ต้องเป็นทหาร

    ในเช้าวันแรกพวกเราทำได้ไม่ดีเท่าไรหรอกครับ ผู้หมู่ ครูฝึก หรือนายทหารผู้ควบคุมการฝึกก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ทำโทษอะไร คงคิดว่าก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่ ผู้บังคับกองร้อยพูดว่า
   “ เป็นทหารต้องมีระเบียบวินัย ต่อไปการตื่นนอนการแต่งตัวต้องให้เร็วกว่านี้ แล้วจะชินไปเอง” แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
    ทหารใหม่ส่วนใหญ่ลงมารวมกันที่หน้ากองร้อยแล้ว เสียงคุยกันดังลั่น ยังมีเวลาเหลือครูฝึกยังไม่ได้เป่านกหวีดเรียกให้มารวมตัวกัน ผมรีบเดินไปที่เตียงของ บุญมาทันที เพื่อจะดูว่าบุญมาเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไปถึงเห็นบุญมายังนอนซมลุกไม่ขึ้น แต่ลืมมองคนนั้นคนนี้ได้แล้ว

     มีนายสิบและจ่าที่กองร้อยของเราหลายคนมายืนดูอยู่ก่อนแล้ว ผมคิดว่าบุญมาคงดีขึ้นแต่คงยังไม่มีเรี่ยวแรงอะไร เพราะเมื่อคืนจับไข้ๆสูงมากเพิ่งจะมาสร่างไข้ ในตอนใกล้สว่างนี้เอง ก่อนที่ผมจะถามอะไรบุญมาอีก ก็ได้ยินครูฝึกเป่านกหวีด เข้าแถว ผมจึงต้องปล่อยบุญมาให้เป็นหน้าที่ของจ่ากองร้อย ว่าจะส่งโรงพยาบาล หรือจะทำอย่างไรต่อไป แล้วผมก็วิ่งไปเข้าแถวในหมวดของผม
    ครูฝึกสั่งให้นับแล้วขานชื่อ กองร้อยของเรานี้มี ๔ หมวด แต่ละหมวดมีครูฝึกหลายคนช่วยกันในตอนแรกนี้ เป็นการฝึกเบื้องต้นในการเข้าแถว ชิดแถว วันทยหัตถ์ ซ้ายหันขวาหัน ในหนึ่งชั่วโมงจะหยุด ๑๐ นาทีแล้วจึงฝึกกันต่อไป การฝึกทหารใหม่นี้ครูผู้ฝึกจะฝึกตามตารางฝึกที่กำหนดมาแล้วเป็นการตายตัว เหมือนกับตารางสอนของนักเรียนนั่นเอง

    เมื่อเลิกการฝึกในตอนเย็นวันนั้นแล้ว ครูฝึกก็สั่งให้เดินเป็นแถว ตบเท้าไปที่กองร้อยถึงแล้วก็สั่งให้พักได้ จนถึงเวลากินข้าวเย็นนั่นแหละจึงต้องมาเข้าแถวกันอีกทีแล้วเดินไปเป็นหมวดหมู่ไปที่โรงอาหาร
    พักแล้วผมรีบเดินไปที่เตียงของบุญมา พอไปถึงก็ไม่เห็นบุญมาเสียแล้ว เดินไปถามจ่ากองร้อยดู จ่าสมบอกว่า “ อั๊วส่งพลทหาร บุญมา เข้าไปอยู่โรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่าให้อยู่โรงพยาลบาลสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อเฝ้าดูอาการ และจะตรวจอย่างละเอียดต่อไป “
   ได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็เบาใจ เมื่อรอดจากเมื่อคืนนี้แล้วจนได้ไปอยู่ในมือหมอ ที่เป็นนายแพทย์ ผมก็สบายใจขึ้นมาก

   ตอนกลางคืนนายทหารคนหนึ่งมียศพันโท มาอบรมเรื่องวินัยของทหาร ท่านบอกว่า " เป็นทหารต้องมีวินัยไม่มีไม่ได้ " แล้วท่านก็อธิบายว่าวินัยคืออะไรอย่างละเอียด ท่านบอกอีกว่า " อย่าว่าแต่ทหารเลย จริงๆแล้วคนเราที่เกิดมานั้น ต้องมีวินัยกันทุกคน แต่จะปฏิบัติหรือไม่เท่านั้น "  ท่านคุยกันแบบเป็นกันเอง จนกระทั่งได้เวลาเลิกเมื่อเกือบสองทุ่ม.

  นายแก้ว ผู้เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๔

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้31
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้1881
เดือนนี้11128
ทั้งหมด1341012

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online