บุญมา ทรัพย์สิน ๕ ( โทน สองเมือง )

 

  ชุดฝึกทหารของผู้เขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗

    หนึ่งวันที่ได้รับการฝึกเบื้องต้นในค่ายทหารผ่านพ้นไป หลังจากกินข้าวเย็นมาแล้วทหารทุกคนก็จะได้พักผ่อนเป็นตัวของตัวเอง คนที่ต้องการซื้อเข้าของอะไรที่ยังไม่มีใช้ไม่ได้เตรียมเอามาจากบ้าน

   ก็ชวนกันเดินเป็นกลุ่มๆไปซื้อที่ร้านค้า ที่อยู่ด้านนอกแถวๆบ้านพักของนายสิบและนายร้อย บางคนพักแล้วก็จับกลุ่มคุยกันที่ไต้ถุนกองร้อยเสียงเอะอะไปหมด แต่บางคนก็นั่งซึมสูบบุหรี่ปุ๋ยๆไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ
  ผมนั่งอยู่ที่เตียงของผมซึ่งอยู่ที่ชั้นบนของเรือนโรงที่พักของทหารใหม่ เพื่อรอเสียงนกหวีดในตอนหนึ่งทุ่มตรง ที่จะมีการอบรมที่ไต้ถุนเรือนพักนี้เป็นประจำในทุกๆคืน ผมกำลังคิดว่าเมื่อไรเราจะมีเวลาไปเยี่ยมบุญมามันบ้าง ถ้าไม่ได้ไปเยี่ยมมันเลยก็จะเป็นการไม่ดี จะเป็นเหมือนคนไม่มีน้ำใจ ปล่อยปะละเลยเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมคิดว่าอย่างนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน ผมจะต้องหาโอกาสไปเยี่ยมบุญมาที่โรงพยาบาลให้ได้

   เมื่อคิดถึงบุญมาที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่พร้อมกันกับผมได้ไม่กี่วัน ผมต้องมาขาดเพื่อนไปเสียคนหนึ่งที่พอจะสนิทกันที่จะคุยกันได้ ตอนนี้ผมยังไม่รู้จักใครเลยเพราะว่าต่างคนต่างมาจากคนละแห่ง ผมจึงยังไม่ได้พูดคุยกับใคร แต่ถึงกระนั้นสำหรับผมไม่เหงาเท่าไรหรอกครับเพราะว่าเคยเสียแล้ว ถึงอย่างไรต่อๆไปก็ต้องรู้จักกับเพื่อนทหารที่มารุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน

   ตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ เป็นต้นมาผมได้เข้ากรุงเทพฯ ไปผจญชีวิตของผมคนเดียวไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้ช่วยหรือคนจากบ้านเจ็ดเสมียนไปด้วยกันเลย ผมก็หาเพื่อนใหม่ของผมไปเรื่อยๆ เอาตัวรอดมาจนมาถึงปลายปีที่เข้ามาเป็นทหารใน พ.ศ.นี้ (๒๕๐๗) เกือบจะถึงพ.ศ.หน้าอยู่แล้ว ผมก็ยังเป็นผมอยู่อย่างนี้

  เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๗ ผู้เขียนที่สองจากซ้าย (บริจาคโลหิตเกิน ๗ ครั้ง) และเพื่อนที่ทำงานด้วยกันในกรุงเทพฯ เข้ารับพระราชทานเข็มผู้บริจาคโลหิตของสภากาชาด จากพระบรมราชินีนาถ ที่สวนอัมพรก่อนจะมาเป็นทหารไม่กี่เดือน

 
  เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในค่ายทหารแบบนี้ผมจึงไม่เหงา ไม่รู้สึกว่าจะต้องเศร้าอะไร ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แต่ตามความเป็นจริงในชีวิตของคนๆหนึ่งนั้น ทุกคนต้องมีเรื่องผ่านเข้ามาในชีวิตมากมายเหมือนๆกันทุกคน แต่ละคนจึงต้องคิดถึงเรื่องเหล่านั้นบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นผมก็มีเรื่องคิดของผมเหมือนกัน

   ผมกำลังคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาของผมเมื่อตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดีและสนิทกันหลายคน เพื่อนเหล่านี้สนิทกันถึงขนาดผมเคยชวนมาเที่ยว ที่บ้านผมที่ตลาดเจ็ดเสมียนมาแล้ว นี่เป็นเพื่อนผู้ชาย ส่วนเพื่อนหญิงที่ถูกใจกันก็มี แต่เมื่อได้จากมาเป็นทหารแล้วนี้ผมก็ไม่ได้คิดถึงหรืออาลัยอาวรณ์มากมายอะไรเลย คิดแต่ว่าอีกไม่นานก็คงได้พบกันอีก

  เพื่อนสนิทที่ทำงานด้วยกัน ผู้เขียน (ถอดเสื้อ)ได้ชวนไปเที่ยวบ้านที่เจ็ดเสมียนหลายครั้ง

ผู้เขียน (สวมหมวก) ในขณะนั้นมีอายุ ๒๑ ปีแล้วก็ต้องย่อมจะมีเพื่อนหญิงที่ถูกใจกัน(คุณนิตยา อมาตยกุล) คบหาสมาคมกันเรื่อยมา ภาพนี้เมื่อวันที่ใกล้จะเข้าค่ายทหารแล้ว (ต้นปี ๒๕๐๗) จึงได้ชวนเพื่อนๆไปเที่ยวกันที่ประสาทหินพิมาย และแวะถ่ายรูปกันที่ไทรงาม  

  ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงชีวิตของตัวผมเองเพลินๆ ก็มีเสียงทักทายมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งและหันไปดู
   ” มานั่งคิดอะไรอยู่หรือเงียบเชียว เหงาหรือไงหรือว่าคิดถึงแฟนที่อยู่ทางบ้าน ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกน่าเดี๋ยวเดียวเองก็ได้กลับบ้านแล้ว ปีหกเดือนหรือสองปีไม่มากเท่าไรหรอก “

    ผมเห็นเขาแล้วก็จำได้ว่าเขาเป็นชายร่างคล้ำ ถ้ายืนขึ้นเต็มที่แล้วก็จะเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย เมื่อตอนที่นั่งรถ ยีเอ็มซี จากสถานีรถไฟปราณบุรีเข้าค่ายมานั้น คนที่ทักผมนี้ก็นั่งติดอยู่กับผมนั่นเองแต่ไม่ได้ทักทายกัน เพราะว่าในขณะนั้นต่างคนต่างก็ไม่ได้สนใจใครๆทั้งนั้น สายตาทุกคนจ้องมองดูแต่ในสถานที่ใหม่ๆ และอะไรต่างๆที่อยู่รอบๆที่รถวิ่งผ่าน ใครและใครจึงไม่ได้คุยกันเลย มาคืนนี้นี่แหละใครต่อใครจึงได้คุยกัน

   ผมยิ้มให้เขาแล้วจึงบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกนั่งพักผ่อนก็เลยคิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้นั่งเศร้านะ” ผมบอกเขาติดตลกนิดหน่อย เขาได้ยินแล้วก็หัวเราะผมมองเขาแล้วคิดว่า คนนี้หน้าตารูปร่างท่าทางดียิ้มแย้มแจ่มใสท่าทางเป็นมิตร ถ้าเราจะรู้จักเป็นพรรคพวกเป็นเพื่อนไว้บ้างก็คงไม่เสียหายอะไร

   และคิดไว้ว่าถ้าหากว่าคบกันไปนานๆ ในภายหลังได้รู้ว่านิสัยเข้ากันไม่ได้ เช่นเล่นการพนัน ติดยาเสพติด ลักขโมย เราก็จะถอนตัวในภายหลังก็ได้ คิดได้ดังนี้แล้วผมก็บอกเขาให้เขานั่งคุยกันก่อน เราถามเรื่องของกันและกันเหมือนกับว่ารู้จักกันมานาน
   จนในภายหลังจึงได้รู้ว่าเขามีชื่อและนามสกุลว่า โทน สองเมือง บ้านอยู่ที่ตำบลบ้านฆ้องซึ่งเป็นชื่อตำบลๆหนึ่งในอำเภอโพธาราม อาชีพของเขาเป็นลูกมือช่างรับเหมาก่อสร้าง ปลูกบ้านสร้างตึกทำรั้วขุดบ่อ อะไรเรื่อยไปแล้วแต่ลูกพี่ผู้รับเหมาจะได้งานมา และที่ถูกใจผมที่สุดก็คือเขาบอกว่า เขาไม่ใช่คนเกเรเขาเป็นคนทำมาหากิน

   ตอนหนึ่งเขาถามผมว่า “มีคนบอกว่าแกเป็นนักมวยด้วยไม่ใช่หรือ” ผมถามว่า  “ใครบอก” เขาบอกว่า “ไอ้เส็งที่แม่มันทอดกล้วยทอดขาย ที่ตลาดเจ็ดเสมียนน่ะมันบอก”    ไอ้เส็ง น้ำทิพย์นี่ไงที่มันถูกทหารพร้อมผม ในตำบลเจ็ดเสมียนมีถูกกันแค่ สามคนเท่านั้นดังที่ได้บอกมาแล้ว จนป่านนี้ผมยังไม่เห็นไอ้เส็งเลยว่ามันอยู่หมวดไหน จึงยังไม่ได้คุยกัน

   ไอ้เส็งนี้แม่มันขายกล้วยทอดที่ไต้ต้นจามจุรีหน้าบ้านกำนันโกวิท เมื่อตอนเด็กๆนั้นผมก็รู้จักกับมันดีบ้านมันอยู่หมู่ ๒ เกือบถึงบ้านครูตลับ มันตามแม่มันมาที่ตลาดมาเล่นกับพวกผมบ่อยๆ เมื่อโตๆกันขึ้นมาแล้วได้ข่าวว่ามันไม่ได้เรียนต่ออะไร มันตามพวกเพื่อนๆรุ่นพี่ของมันเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ไม่รู้ว่าทำงานอะไร ก่อนที่จะมาเป็นทหารนั้นผมเจอมันครั้งหนึ่งที่สถานีรถไฟ ไอ้เส็งไว้ผมทรง Elvis ใส่น้ำมันเป็นแท่งยี่ห้อตันโจหอมฉุย ผมเรียบแปร้

    วันนั้นผมพูดคุยกับไอ้เส็งไม่นานนักรถไฟเที่ยวเช้าเข้ากรุงเทพฯก็มา ผมบอกมันว่าผมอยากชกมวยและขณะนี้ไปหัดอยู่แล้วที่ ค่ายพยัคโสภณหลังตลาดประตูน้ำ ไอ้เส็งพยักหน้าแปลว่ามันก็รู้จักและได้ยินชื่อเสียงค่ายมวยนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เองไอ้เส็งมันจึงไปเล่าให้ไอ้โทนฟังว่าผมเป็นนักมวย
   ผมบอกไอ้โทนว่า “ผมก็เคยฝึกหัดชกมวยบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้มีโอกาสขึ้นชกหรอกเพราะว่าเราหัดมวยสากลมีคนหัดกันน้อย"

   เมื่อคุยเรื่องนี้ขึ้นมาผมก็หวนคิดถึงวันแรก ที่ผมไปสมัครฝึกหัดต่อยมวยเพราะว่าอยากเป็นนักมวยโดยมีคนพาไป ครูบุญยงค์ ยุทธนากรซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวย "พยัคโสภณ" เมื่อได้พบและเห็นรูปร่างของผมแกบอกว่า "ลื้อรูปร่างสูงโปร่ง หุ่นเหมาะสำหรับชกสากลโว้ย หุ่นคล้าย โผน กิ่งเพชร อั๊วชอบ " แล้วแกก็หันไปทางลานฝึกหัดชกมวยซึ่งมีนักมวยหลายคนกำลังเต้นหยองแหยงอยู่ "โรจน์ โรจน์โว้ยมานี้หน่อย " ครูบุญยงค์ตะโกนเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังกระโดดเชือกอยู่ด้วยความชำนาญ ด้วยเสียงอันดัง นักมวยคนชื่อโรจน์ได้ยินแล้วก็รีบวิ่งมาหาครู

    "ไอ้คนนี้มันชื่อแก้ว มันอยากเป็นนักมวย มันจะมาเริ่มฝึกตั้งแต่วันพรุ่งนี้ อั๊วมอบให้ลื้อคอยดูแลมันด้วยนะ แล้วครูจะมาดูมันอีกที " ครูบุญยงสั่งแล้วรวบรวมหนังสือมวยหลายฉบับรวมทั้งนิตยสาร "เดอะริงก์" หนังสือมวยชื่อดังออกจากค่ายไป

    นักมวยคนชื่อโรจน์ที่ครูบุญยงค์บอกให้ดูแลผมนี้ ที่จริงคือไพโรจน์ พยัคโสภณ แชมเปี้ยนมวยไทยรุ่นฟลายเวท (๕๒ กิโลกรัม ) ของสนามมวยราชดำเนินในขณะนั้น ผมและไพโรจน์ทำความรู้จักกัน นับจากวันนั้นผมก็มาฝึกหัดชกมวย ซ้อมมวยในเชิงสากล นานๆเข้าครูก็สั่งให้เริ่มลงนวมกับนักชกในค่าย ไพโรจน์ก็เคยมาช่วยลงนวมกับผมในเชิงสากล เพราะว่าน้ำหนักอยู่ในรุ่นฟลายเวท (๕๒ กก.) เท่ากัน โดยบางครั้งครูบุญยงค์ก็มาสอนผมด้วยตัวเอง จนกระทั่งครูบอกว่าจะหาคู่ชกให้แต่ก็ไม่ได้สักที เพราะว่าในสมัยนั้นเด็กหนุ่มจะหัดชกมวยไทยกันเสียหมด

     “ เราฝึกซ้อมกำลังจะได้ที่ครูมวยของเรากำลังหาคู่ชกให้ แต่ต้องมาหยุดชะงักอีตอนต้องมาเป็นทหารนี่แหละ โน่นออกทหารแล้วก็จะต้องเริ่มต้นเอาจริงเอาจังกันอีกที "  ผมบอกไอ้โทนที่กำลังสนใจนั่งฟังผมอยู่
   ไอ้โทนมองหน้าผมเหมือนกับคิดในใจว่า กูจะเชื่อมึงดีหรือไม่ดีวะเนี่ย ไอ้หน้าขาวๆสะโอดสะองสูงโย่งโก๊ะอย่างนี้หรือจะเป็นนักมวย แต่มันก็ไม่ได้พูดอย่างที่มันคิด

    มันพูดกับผมอีกว่า “ ออกทหารแล้วพากูไปด้วยนะเบื่องานก่อสร้างชิบหายเลยให้ตายสิ “ ผมพยักหน้าให้มันดีใจแล้วเราก็คุยกันไปเรื่อยๆอีกแก้เหงา จนกระทั่งได้ยินเสียงนกหวีดเรียกให้ลงไปชั้นล่างเพื่อเข้าอบรม

  โทน สองเมือง คนนี้ในตอนหลังๆที่เป็นทหารอยู่ด้วยกัน มันเป็นคู่หูผมไปตลอดเผชิญเหตุการณ์ต่างๆร่วมกัน แม้กระทั่งพวกผม ๙ คนที่ฝึกในค่ายธนะรัชต์ครบ ๔ เดือน  แล้วถูกย้ายไปอยู่ มลฑลทหารบกที่ ๑ จังหวัดเพชรบุรี แต่ไปประจำอยู่ที่สวนสนประดิพัทธ์ ที่หัวหินนั้น ไอ้โทน ก็เป็นหนึ่งในอีก ๘ คนนั้นด้วย
 
   การฝึกดำเนินต่อไปเรื่อยๆตามตารางการฝึก แต่ผมก็ยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมบุญมาที่โรงพยาบาลเลย จนกระทั่งอาทิตย์แรกผ่านไป ในวันเสาร์และอาทิตย์นั้นเป็นวันหยุดฝึกของทหารใหม่ ทหารที่กองร้อยอื่นๆที่เขาอยู่กันมานานเกินเดือนแล้วนั้น เขาได้รับวันลากลับไปบ้านกันแล้วเพราะมารุ่นก่อนผม

   พวกผมยังเป็นทหารใหม่เพิ่งจะเข้ามาได้อาทิตย์เดียว จึงยังไม่มีสิทธิได้ลากลับไปบ้านกันเลย  แต่พวกที่ไม่ได้กลับบ้านกันนั้น รวมทั้งกองร้อยพวกผมด้วยก็ไม่เหงากันเท่าไร เพราะว่าที่สนามบินซึ่งทหารทุกคนที่นี่จะรู้จักและเรียกกันว่า “ลานบิน” นั้น จะมีการละเล่นต่างๆ ซึ่งทางการจัดหามากล่อมทหารที่อยู่ในนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว

   ในค่ายนี้มีทหารทุกกรมกองรวมแล้วน่าจะเกินกว่าหมื่นคน  ทหารทุกคนในค่ายนี้อยู่ภายไต้การบังคับบัญชาของ นายพลตรีเชาว์ สวัสดิ์สงคราม (ท่านนายพลท่านนี้ อีกไม่นานก็ได้ ยศเป็น พลโท แล้วก็ย้ายไป ตั้งแต่ผมยังไม่ได้ปลดจากทหาร จากนั้นก็ได้ยศเป็นพลเอก ท่านเป็นคนดังคนหนึ่งอยู่ในวงการทหาร)

   มีคนดังๆในวงการต่างๆที่โดนทหารแล้วมาฝึกที่ค่ายนี้ อยู่ตามกองร้อยต่างๆมากมาย  อย่างเช่น ชาย เมืองสิงห์ ก็อยู่กองร้อย ๒ กรมฝึกเบื้องต้นที่ ๑ ซึ่งกองร้อย ๒ กับกองร้อย ๔ ที่ผมอยู่นั้นติดกัน ชาย เมืองสิงห์มีอายุมากกว่าผมหลายปี แต่เข้ามารับการฝึกที่ค่ายนี้ก่อนรุ่นผมสัก ๒ เดือน เหตุที่ชาย เมืองสิงห์ เข้ามาเป็นทหารปีเดียวกับผมนั้น ก็เพราะว่าเขาเรียนหนังสือและได้ผลัดการคัดเลือกทหารไว้หลายปีนั่นเอง (เขาฝึกทหารใหม่เบื้องต้นในค่ายเพียง ๒ เดือนเท่านั้น แล้วเขาก็ย้ายไปอยู่กรมเสนารักษ์ที่กรุงเทพฯ เพราะว่าจะได้สะดวกกับงานอาชีพของเขา )

  ที่สนามบินนั้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำเป็นต้นไป จึงคลาคล่ำไปด้วยทหารที่ไม่ได้กลับบ้าน มาเดินเที่ยวดูการละเล่นกัน การละเล่นต่างๆก็ประชันขันแข่งกันเสียงลั่นไปหมด เท่าที่เห็นนั้นก็มี สนามมวย  รำวง หนังจอใหญ่ ๒ จอ ดนตรี และอื่นๆอีก พ่อค้าแม่ค้ามาขายของกินกันนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแม่บ้าน หรือญาติของพวกทหารทั้งนั้นที่มาขายของ คนนอกเข้ามาหากินในนี้ไม่ได้

   ผมกับไอ้โทนสองคนไปเดินดูการละเล่นที่ลานบิน ซื้อข้าวโพดต้มฝักใหญ่ๆคนละสองฝักเดินไปแทะไป สักประเดี๋ยวก็เมื่อยจึงคิดจะกลับไปคุยกันที่กองร้อย ไอ้โทนก็ตกลงจึงพากันมุ่งหน้ากลับ แต่ในระหว่างเดินกลับนั้นผมบอกกับไอ้โทนว่า "เราไปเยี่ยมบุญมาที่โรงพยาบาลกันดีกว่า ยังไม่ดึกมากนักยังพอมีเวลาเยี่ยมได้ " ไอ้โทนเห็นดีด้วยเพราะว่าตั้งแต่บุญมาป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลพวกเรายังไม่ได้ไปเยี่ยมเขาสักครั้งเดียว

   ๒ ทุ่มกว่าแล้วเราเดินลัดเลาะออกจากสนามบินตรงที่มีการละเล่น ตัดตรงไปโรงพยาบาลเลยทีเดียว จริงๆแล้วโรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกลจากกองร้อย ๔ ที่ผมอยู่เท่าไรนัก ประเดี๋ยวเดียวผมก็เข้าเขตโรงพยาบาล ค่ายธนะรัขต์ 
    ทหารยามรักษาการณ์ซึ่งเป็นพลทหารเหมือนกัน เขามาฝึกก่อนผมแต่ไม่ทราบว่ามาจากกองร้อยไหนส่งมาให้อยู่ยามที่นี่ พูดสำเนียงทางเพชรบุรีถามผมว่ามีธุระอะไรมาหาใคร จึงมามืดค่ำอย่างนี้ ผมบอกว่ามาขอเยี่ยมเพื่อน ซึ่งป่วยมานอนที่โรงพยาบาลนี้หลายวันแล้ว ทหารยามคนนั้นทราบจุดประสงค์ของผมแล้ว ก็ชี้มือให้ขึ้นไปถามบุรุษพยาบาลคนหนึ่งที่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ซึ่งมียศทางทหารน่าจะเป็นสักสิบเอก ที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี

    ผมถามแล้วสิบเอกบุรุษพยาบาลก็ชี้มือ ให้ผมกับไอ้โทนไปติดต่อที่เจ้าหน้าที่ หน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์อีกทีหนึ่ง ผมยกมือไหว้แล้วก็บอกชื่อคนป่วย แกชี้มือให้ผมขึ้นไปบนชั้น ๒ โรงพยาบาลค่ายในสมัยนั้นมีสองชั้นเท่านั้น ผมกับไอ้โทนเดินขึ้นบันใดไป แล้วเดินดูป้ายชื่อคนป่วยที่เขาติดไว้ที่หน้าห้อง ดูระเรื่อยๆไปสักสี่ห้องก็พบชื่อ พลฯบุญมา ทรัพย์สิน ผมเคาะประตูแล้วค่อยๆแง้มประตูเข้าไป.. (มีต่อ)

นายแก้ว ผู้เขียนบุญมา ทรัพย์สิน ตอนโทน สองเมือง

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้28
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้2389
เดือนนี้8647
ทั้งหมด1327981

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online