สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เจ็ดเสมียน ๑

alt
 สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เจ็ดเสมียนเกี่ยวข้องด้วย เมื่อ พศ. ๒๔๘๗
 
   ผมขอย้อนเหตุการณ์  เรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้นที่เจ็ดเสมียนแห่งนี้ ให้ขึ้นไปอยู่ใน ระหว่าง เดือน มกราคม พศ.๒๔๘๗  ถึงเดือน ตุลาคม พศ. ๒๔๘๘ สักตอนหนึ่งนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สงครามโลกครั้งที่ ๒  ที่เจ็ดเสมียนพลอยอยู่ในเหตุการณ์กับเขาด้วย

    จากบันทึกของ นายหิรัญ สุวรรณมัจฉา ซึ่งตอนนั้น เป็นครู อยู่ที่โรงเรียน วัดเจ็ดเสมียน นายหิรัญได้บันทึกไว้ อย่างละเอียดมาก  เหมือนกับว่าเราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ครับ เชิญ ติดตามต่อไปได้เลยครับ

alt
 
นายหิรัญ ในตอนที่มาเป็นครูอยู่ที่เจ็ดเสมียน ใหม่ๆ พศ.  ๒๔๗๘ 

     ๑๓  มกราคม  ๒๔๘๗เมื่อคืนนี้ราว ๓ ทุ่ม  ๕  นาที เสียงหวูดหลบภัยทางอากาศ ที่โพธารามและราชบุรีดังสนั่น  ฉันกำลังนอนคุยอยู่กับสละใจหายวาบ   นึกว่ามันคงมาเล่นงานเราที่ไหนอีกแล้ว แต่ยังไม่ได้ยินเสียงเรือบิน  

     อีกสักครู่เรือบินจึงดังขึ้นทางเหนือ ฉันก็ลุกขึ้นมาดูที่ทางรถไฟ เสียงเครื่องบินไปดังวนเวียนอยู่ทางทิศกรุงเทพฯ  พร้อมกันนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ซ้อนๆกันนับได้ตั้งหลายสิบลูก  เสียงระบิดก็ได้ยินเสียงเครื่องบินครางกระหึ่มอยู่ไม่ขาด

    แล้วก็มีเสียงระเบิดดังอีกเป็นระยะๆ เมื่อมันมาทิ้งระเบิดกรุงเทพฯคราวก่อนก็ดังแต่เสียงระเบิด ไม่ได้ยินเสียงเครื่องบินและเสียงระเบิดก็น้อยกว่าคราวนี้ คราวนี้เสียงระเบิดๆนับตั้งร้อยครั้ง เสียงเครื่องบินกระหึ่มคะเนว่าคงไม่ต่ำกว่า ๕๐-๖๐ เครื่อง  ตายแน่แล้วกรุงเทพฯเห็นจะราบเป็นหน้ากลองกันละอีคราวนี้ ที่ถนนรถมีคนที่ตลาดมาดูกันหลายสิบคน พระก็หลายองค์พูดกันเสียงลั่น

   พอเสียงระเบิดครึน ครึน ละก็เงียบกันเป็นเป่าสากทีเดียว พวกเขาคงใจหายเหมือนกันที่ได้ยินเสียงระเบิด นางหงส์ลูกยายผ่องที่อพยพมาหลบภัย อยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้เล่าว่า 

   “เมื่อคราวก่อนนั้นเวลามันมาละก็สั่นยิ่งกว่าเป็นไข้เสียอีก ที่วิ่งหนีก็วิ่งกันจนล้มลุกคลุกคลานไม่รู้จะทำอะไรถูก   ที่ไหนถูกตรงลูกระเบิดก็ละเอียดไป   ที่หลบอยู่ในหลุมหลบภัยก็เหมือนกับไม่ต้องลากลงฝัง    คราวก่อนตายกันเยอะแต่คราวนี้คงตายไม่เท่าไร    เพราะตกกลางคืนเขาออกไปอยู่นอกกรุงเทพฯกันหมด    กลางวันจึงกลับเข้ามาขายของ   อยู่กรุงเทพฯเวลานี้ละก็แย่   นี่ถ้ามันบินกลับมาทางนี้ เห็นพวกเรายืนเป็นกลุ่มอย่างนี้ละก็มันเอาปืนกลยิงกราดลงมาได้ตายห่ากันอีก  “  พูดแล้วนางหงษ์ก็อุ้มลูกกลับบ้าน

     เขาเคยอยู่กรุงเทพฯ  เคยเห็นพิษสงของลูกระเบิดมาแล้วก็กลัวมาก   ฉันยังไม่เคยรู้จึงไม่ใคร่กลัวเท่าไร  อย่ารู้แหละดีกลัวว่าโดนเข้าสักทีจะละเอียด   พวกที่ยืนดูอยู่บางคนก็ว่านี่ถ้าเดือนมืดๆละก็   ได้ดูไฟฉายจับเครื่องบินกันสนุก  พุทโธ่   เห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้  ไอ้พวกนั้นคงกลัวกันหัวหด ตดหายเหมือนกันละน่า    ไม่เป็นอันฉายไฟ  ไม่เป็นอันยิง  เพราะมันไม่ใช่มากันลำสองลำอย่างครั้งก่อนๆ   มันมาหึ่งๆอยู่บนหัวตูมๆ  ตามๆ  รอบๆข้าง  ใครจะมีใจไปยิงมัน  ไม่รู้หรอกว่าจะตายกันเมื่อไรหนีก็หนีไม่ทันอยู่แล้ว     .ยังจะมีใจไปสู้มันอีกหรือถ้าฉันอยู่กรุงเทพฯเวลานี้   แม้ไม่ถูกระเบิดตายก็คงเป็นบ้าตาย    กลัวจนดีฝ่อตาย   หรือไม่ก็เสียจริตไปจนตายเป็นแน่    น่ากลัว
         เสียงระเบิดเป็นระยะๆอยู่เรื่อยๆ  ประมาณ  1  ชั่วโมงก็เงียบเสียงระเบิด   แต่เสียงเครื่องบินยังครวญครางอยู่   เดือนหงายกระจ่างไม่มีเมฆแม้แต่น้อย   ลมหนาวพัดเอื่อยๆฉันรู้สึกหนาวเลยกลับบ้านนอน    กรุงเทพฯเห็นจะแหลกกระมัง   ทำไมคุณพระคุณเจ้า จึงไม่ช่วยหนอ  ฉันภาวนาจนหลับไป

4    กันยายน   2487   

      คืนนี้มีเรือ บินของข้าศึก  (  อังกฤษ   อเมริกา )  บินบื่อๆมาอีกจะทิ้งระเบิดที่ไหน  ยังไม่ทราบ  แต่ได้ยินเสียงปืน  ป.ต.อ.  หลายที  ฉันลุกออกมาดูเห็นลำเครื่องบิน  เพราะมันบินเตี้ยมาก  ฉันไม่ค่อยเอาใจใส่ตั้งตี  2  กว่าแล้ว   ง่วงเลยนอนหลับไป
การรบกันนี้ฉันไม่เอาเรื่อง  ใครจะแพ้จะชนะอย่างไรช่างมัน   หนังสือพิมพ์ข่าวฉันก็ไม่อยากอ่าน   รู้เรื่องอะไรๆแล้ว  มันจะพาใจให้รำคาญไปเปล่าๆ  คิดเสียว่าเราคนเดียว  คนอื่นเขาดีกว่าเรา  รวยกว่าเรามีเยอะแยะไป  เขายิ่งทุกข์มากยิ่งกว่าเราอีก  เราเป็นข้าแผ่นดิน  ใครชนะเราก็เป็นข้าคนนั้น   เราทำมาหากินเงียบๆดีกว่า  ระวังกระเป๋าเรามันจะแฟบก็พอแล้ว

     ตามข่าวเขาพูดๆกัน เขาว่าญี่ปุ่นจะแพ้   เพราะเดี๋ยวนี้แย่ลงไปทุกทีแล้ว   เกาะต่างๆที่ยึดไว้ได้ก็ถูกอังกฤษยึดกลับหมด   ทางซีกเหนือก็ต้องถอยร่นลงมาทุกที   ถ้าญี่ปุ่นแพ้  เมืองไทยจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้   เป็นมิตรกับญี่ปุ่นเสียด้วย   หรือไทยจะเล่นงานกับญี่ปุ่นก็ไม่รู้ได้   ต้องคอยดูต่อไปใจฉันเฉยๆ ใครจะแพ้จะชนะก็ช่าง  ทำงานของเราเถอะ  เวลาเป็นเงินเป็นทอง

   วันนี้นายสงวน (เป็นคนท่ามะขาม)  ผัวนางฮวยใฝ (ปัจจุบันนี้ ผลิตใชโป้วแม่กิมฮวย)  เขากินโต๊ะโกนผมไฟลูกชายเขา (สุรพงษ์ แววทอง (โห้)  กลางคืนมีการรำวงไทย  มีผู้หญิงบางแพมา  4  คน คนมาดูกันเยอะแยะคนรำฝ่ายหญิงมีน้อย  ฝ่ายชายมีมาก  เขารำกันเป็นคู่ๆเป็นจังหวะแเพต่างๆ บางคู่ที่แต่งตัวดีๆรำสวยๆก็น่าดูเหมือนกัน  เขารำแพสอดสร้อย ชักแป้งผัดหน้า เมฆขลาล่อแก้วและอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้ 

   บางคู่ที่รำไม่ดีตามแพที่ฉันตั้งชื่อเอาเองว่า  แพชักแบบกระตุก แบบทะลึ่ง แบบนกปีกหัก แต่ฉันยังไม่เคยรำเลยไม่รู้ว่าจะเข้าอีแพไหน  

   บางคนแต่งตัวดีๆก็น่าดูหญิงนุ่งกระโปรง ชายนุ่งกางเกงหรั่งใส่รองเท้า ที่ไม่ดีคือหญิงนุ่งผ้าถุงธรรมดาชายนุ่งกางเกงขาสั้น  และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ผู้หญิงกับผู้ชายมีผิวอันคล้ายกับนิโกรไปนั่งคู่กับคนผิวขาวเข้าดูมันขับกันงามพิลึกละ
         เป็นฉันถ้าแต่งตัวไม่ดีแล้ว ไม่อยากเข้าร่วม  เราเล่นแต่พวกเราที่ไม่ดีจะดีกว่า  แต่เขาสนุกกันนี่นะตามเรื่อง  ฉันสังเกตดูบางคนเหงื่อโทรมหน้า  โทรมตัว  มือก็เมื่อยในการรำ   คล้ายกับจะยกไม่ขึ้น   ปากก็จะต้องร้องเพลงไปจนเหนื่อย   แต่เขาทั้งนั้นก็ยังมีหน้ายิ้มแย้มดูแจ่มใสเหลือเกิน  
          ครูที่โรงเรียนฉันมี  5  คน ทั้ง  5 คนนั้นเป็นสมาชิกรำวงแทบทุกคราวนัด  มีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่รำไม่เป็นและไม่อยากจะรำ   แต่ไม่ใช่ว่าอายุฉันมากมายจนถึงกับรังเกียจก็เปล่าหรอก   เป็นเพราะฉันยังไม่เคยเลย  ถ้าเคยสักครั้ง  2  ครั้ง  ต่อไปก็เห็นจะจับไม่อยู่  อย่างครูลูกน้องของฉันเป็นต้น   นายกิมเส็งกับพวกก็นั่งดูอยู่ในวงเขาเหมือนกัน  แต่ไม่ยักขึ้นรำ มีผู้หญิงบางแพมาโค้งแกให้ออกรำ แกก็ไม่รำ  พุทโธ่  เซอะแท้  ไม่รำกับผู้หญิงแล้วจะไปรำกับใครกัน 
           บางคู่รำสวยๆฉันดูแล้วก็นึกชม   บางคนเมาแล้วรำแบบทะลึ่งหรือแบบชักกระตุก  มีคนหัวเราะกันรอบวงก็ขำดีเหมือนกัน  นายกิมเส็งละก็หัวเราะลงลูกคอลั่น  กำนันยังรำกับเขาเลย  ผู้หญิงที่หน้าใหม่ๆมารำดูสวยดูดี  ที่เคยเห็นแล้วก็ยังงั้นแหละ  ธรรมดา  แต่ผู้ชายรำไม่ใคร่สวยเลย
          ประมาณ  23.00  น.  มีคนว่าขโมยลักวัวฝั่งโน้น  มีบางคนวิ่งไปทางฝั่งแม่น้ำ  บางคนพูดว่าเรือบินมาที่ดับไฟก็มี   บอกตาอู๋ (แปะอู๋ เตี่ย แก่เล็ก) ขายกาแฟให้ดับไฟก็มี  เสียงตะโกนว่า  “  พวกที่ใส่ เสื้อขาวให้รีบวิ่งเข้าไปข้างในเสีย “  แล้วก็มี  เสียงพึบพับ เพราะดับไฟ เสียงวิ่งชนโต๊ะเก้าอี้ล้มดังโครม  เสียงปิดหน้าถังบ้านดังปัง   เสียงเกี๊ยะกระทบกับพื้นดัง โพ๊ะเพี๊ยะ  บางคนเข้าบ้านอุ้มลูกออกมาโผล่อยู่แค่คอดูคนอื่น   บางคนเรียกลูกเรียกหลาน  ลูกหลานเรียกพ่อ  แม่   ป้า  ลุง   โกลาหลกันยกใหญ่
           พร้อมกันนี้ก็มีเสียงครางกระหึ่ม ของเครื่องบินข้าศึก  บินเตี้ย  เดือนหงาย  มองเห็นลำเครื่องบินใหญ่  เสียงครางผ่านศรีษะเราไปอย่างรวดเร็ว  การรำวงที่บ้านนายหงวน นางฮวย หยุดชะงักลงในเวลากำลังสนุก  เครื่องบินผ่านไปแล้ว ต่างคนต่างก็ทยอยกันกลับบ้าน   ฉันจะต้องนอนอยู่กับนายกิมเส็ง (เป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดราชบุรี หลายสมัย) ที่ โรงเรียนด้วย   จึงไม่ได้กลับบ้าน  กับเพื่อน  2 – 3 คนไปนั่งดูเหตุการณ์อยู่ที่ทางรถไฟ   ใจนึกว่าไม่กรุงเทพฯก็หนองปลาดุกแล้ว คงได้โดนลูกระเบิดกันอีก
         สัก  2  นาทีเห็นจะได้  ทางทิศหนองปลาดุก  มีกระสุนปืนส่องวิถีของญี่ปุ่นยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า   เป็นระยะ ลูกปืนเป็นลูกๆ  เป็นทางส่องแสงแดงสว่างยิ่งกว่าตะเกียง  อิดด้า (เจ้าพายุ)   เมื่อลูกปืนขึ้นไปสุดฤทธิ์แล้วก็ระเบิดแวบหนึ่งแล้วก็ดับไป 
           แสงลูกปืนนี้ดูสวยมาก  และยิงตามลำดับองศาไปทีเดียว  เอนๆ   แล้วก็ค่อยๆเอนสูงหน่อยไปจนตั้งตรง  แล้วเอนไปอีกทางหนึ่ง คล้ายๆกับ ดูภาพยนต์   แล้วอีกสัก 1  นาทีต่อมา ก็ปรากฏเป็นเสียงตูมตาม   ปังๆ  นายหยุน   เฮียซุ่ย (เตี่ยเฮียงอก)  เขาว่าเป็นเสียงปืนไม่ใช่เสียงระเบิด   เสียงเครื่องบินก็ยังดังอยู่เสมอ  อีกสัก  2 – 3  นาทีก็มีเสียงปืนแสงแดงๆ เป็นทางๆคล้ายลูกโป่งที่มีแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ตั้งแต่เอน  เปลี่ยนเป็นตั้งแล้วเอนไปอีกทางหนึ่ง
และต่อมาก็มีเสียง  ตูม  ครืน  อะไรอย่างนี้แหละหลายหน  บางคนก็ว่าเสียงปืน  บางคนก็ว่าเสียงลูกระเบิด  คุยกันเสียงจ้อกแจ๊ก   ประมาณ  24.00  น.แล้ว     

           เครื่องบินก็ยังทยอยมาอีก  2 - 3  เครื่องบินเตี้ยๆทั้งนั้น   บินไปวนเวียนอยู่แถวบ้านโป่งหนองปลาดุกนั่นแหละ   ต่อจากนั้นก็มีกระสุนวิถี   แล้วเสียงตูมตามดังลั่นไปหมด   นึกๆก็สนุกดี   นึกไปอีกทีก็เป็นทุกข์แทนพวกที่โดนโจมตี   หัวใจเต้นเพราะความตระหนักสักเพียงไร   อกจะสั่นขวัญจะหายเพราะเคยโดนมาแล้ว   รู้ฤทธิ์ของลูกระเบิด   พวกฉันยังไม่เคยโดนไม่รู้รส   ก็ยังอกใจเต้นถึงเพียงนี้แล้ว
         สักครู่เห็นกระสุนเม็ดแดงๆ จากเรือบินลงมาข้างล่าง   มีคนเขาว่าที่เรือบินยิงลงมาบางทีเป็นเม็ดถี่ๆ   เป็นทางพุ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว   ผิดกับที่ญี่ปุ่นยิงขึ้นไปดูช้ามาก ที่เรือบินใช้ปืนกลยิงกราดลงมาเช่นนี้ทางล่างอาจจะแย่หน่อย   คืนนี้ได้ดูภาพยนต์จริงๆ  สนุกดี
ตั้งตีหนึ่งกว่าแล้วจึงสงบ   พวกนายกิมเส็งมานอนกัน   ฉันเลยไปนอนกับเขาบ้าง

2    พฤศจิกายน   2487  
          คืนนี้ประมาณ  22.00 น.   มีเครื่องบินข้าศึกทยอยกันเข้ามา   แล้วไปทิ้งระเบิดตามที่ต่างๆ  ประมาณ  30  เครื่องเห็นจะได้  ฉันตื่นขึ้นดู  เพราะไม่ใช่ที่ๆเป็นจุดยุทธ์ศาสตร์  จึงไม่ใคร่กลัว เครื่องหนึ่งบิน  ผ่านหัวไปจวนจะเงียบเสียง   อีกเครื่องหนึ่งก็ปรากฏเสียงขึ้นทางหนึ่ง  และเครื่องนี้จวนจะเงียบเสียง    เสียงอีกเครื่องหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีก  เป็นอย่างนี้ไม่ขาดระยะ   และต่อมาก็บินวนเวียนเสียงดังอยู่ไม่ขาดระยะ   ใจหนึ่งนึกกลัว   ถ้ามันทิ้งลงมาสักลูกหนึ่งคงตายกันหมด   แต่ใจหนึ่งก็นึกว่ามันคงไม่ทิ้ง  มันมามันต้องมีที่หมายเสมอ   จะทิ้งส่งเดชไม่ได้   ฉันได้ยินหวูดปลอดภัยราชบุรีดังเมื่อตี  4  กว่า

    มีคนทายกันหลายคนแล้วว่า  ภายในเดือน  ธันวาคม   มกราคม  ต่อไปนี้  จะมีการโจมตีกันหนักยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า   ตาย !  เราเป็นเมืองเล็กเท่านี้   คงละเอียดกันแหละวา !

                                         โปรดติดตามต่อไป ในตอน สงครามโลกครั้งที่   2  ที่นี่ เร็วๆนี้

alt

นายแก้ว   ผู้นำบันทึกของนายหิรัญมาให้ท่านได้อ่าน

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้187
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้683
เดือนนี้13601
ทั้งหมด1343485

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online