เมื่อข้าพเจ้าป่วย (เริ่มป่วยหนัก)

 

002

นายหิรัญ สุวรรณมัจฉา ผู้เขียนเรื่องนี้

เรื่อง "เมื่อข้าพเจ้าป่วย " นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อ ๕๖ ปีที่ผ่านมา จากบันทึกของนายหิรัญ ซึ่งมีอาชีพเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ต่อมาเกิดเบื่ออาชีพเป็นครูได้ลาออก แล้วไปทำงานเป็นเสมียนโรงเลื่อยที่หัวหินระยะหนึ่ง ต่อมาได้ลาออกจากโรงเลื่อยแต่ก็ยังอยู่ที่หัวหินโดยตั้งโรงงานรับตีมีดและขายมีด เรื่อง "เมื่อข้าพเจ้าป่วย " เกิดขึ้นตรงนี้เอง ขอให้ท่านติดตามต่อไป

นางสละ ภรรยานายหิรัญ พาลูกเล็กๆสามคนมาเที่ยวที่หัวหินก่อนที่นายหิรัญจะป่วย สถานที่ของโรงเลื่อยนั้นในปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งเทศบาลหัวหิน ตรงหัวมุมสี่แยกพอดี

     ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๙๖ เป็นต้นมาฉันรู้สึกสุขภาพเสื่อมโทรมมาก ผอม กินไม่ใคร่ลงและมีอาการปวดท้อง คล้ายกับเป็นกษัยต่อไปอีกสักสองสามวัน ก็ยิ่งปวดในท้องมากขึ้น ฉันคิดว่าต้องเป็นโรคกษัยอย่างแน่ๆ ที่หัวหินก็หาหมอยาก จึงคิดจะกลับไปเจ็ดเสมียนหายากิน และหาหมอนวดด้วย

     จึงบอกนายเทา (พี่ชายนายโหงวไปตั้งโรงงานตีมีดกันที่หัวหิน) ว่าขอกลับไปเจ็ดเสมียนก่อน ในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๙๖
     ถึงเจ็ดเสมียนแล้วก็หาซื้อยาแก้กษัยกิน กับให้ตาทองนวดในโรงยาด้วย ราวๆอาทิตย์หนึ่ง อาการก็ยังเฉยๆอยู่ไม่ป่วยมากขึ้นแต่อย่างใด จึงคิดว่าพรุ่งนี้จะกลับหัวหิน พอตกกลางคืนตอนหัวค่ำอยู่ๆก็หน้ามืดเป็นลม ซึ่งฉันไม่เคยเป็นลมเลยแต่เดี๋ยวเดียวก็หาย ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๙๖ จึงก็ลงไปหัวหินอีก

     คุณสุดใจ (เจ้าของโรงเลื่อยหัวหินที่นายหิรัญเคยทำงานอยู่ ในตอนที่บันทึกนี้นายหิรัญได้ลาออกแล้ว ๆไปตั้งโรงงานตีมีดฝั่งตรงกันข้ามกับโรงเลื่อย ) กับคุณปลัดวิบูลย์ว่าจะไปเที่ยวกระเหรี่ยงกัน ฉันก็ว่าจะไปเที่ยวกับเขาด้วย คืนวันที่ ๒๑ จึงไปตลาดหัวหินซื้อเครื่องยาหลายอย่าง รองเท้าผ้าใบหุ้มตาตุ่มหนึ่งคู่ หมวกจ๊อกกี้หนึ่งลูก และซื้อขนมหม้อแกงมากินด้วยคืนนี้จ่ายไป ๙๖ บาทพอดี

     ๒๒ มิถุนายน ๒๔๙๖ ฉันไปอำเภอเพื่อยื่นภาษีการค้าโรงเหล็ก แต่ไม่ต้องเสียเงินเพราะขายเดือนหนึ่งไม่ถึง ๖๐๐ บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แล้วฉันเลยไปตลาดซื้ออากรแสตมป์และสมุด ๒ เล่มกับใบรับเงิน ขากลับเดินมาตามทางก็เป็นลมอีกเกือบจะเดินไม่ถึงบ้าน ต้องแข็งอกแข็งใจแทบแย่จึงถึง

     เมื่อถึงบ้านแล้วก็ต้องนอนอีกพักใหญ่ พอลุกขึ้นได้สักครู่ก็เป็นลมอีกวันนี้เป็นลมตั้งสามสี่ครั้ง แต่อาการปวดท้องหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง ฉันนึกของฉันเองว่าอยู่บ้านเจ็ดเสมียนละก็ไม่หาย มาหัวหินละหายทีเดียวแปลกเหมือนกัน

    หมู่นี้ขี้ดำมากดำเป็นหมึกจีนฉันยังนึกหัวเราะในใจว่า ขี้ดำจนหมูจำไม่ได้ว่าเป็นขี้และดำจริงๆเสียด้วย ตีนหมูปากหมูถูกเข้าที่ไหนดำทั้งนั้น

    ที่หัวหินฉันไม่ได้ขี้ที่ส้วมซึม เพราะไม่มี ที่โรงเลื่อยมีส้วมซึมก็เฉพาะจ้าวนายเขาขี้กันเท่านั้น ส่วนลูกกะจ๊อกอย่างเราก็ขี้บนเรือนสูง คือตั้งหลักสูงเอาไม้พาดมีประตูปิดเวลาขี้ลงดินมีหมูหมากินหมด

    เช้ามืดวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๙๖ ฉันตื่นแต่เช้าเพราะรู้สึกว่าอาการป่วยเริ่มแล้ว ยังไม่ได้ลุกจากที่นอนก็นึกอยากจะอาเจียน พลิกมาข้างๆแคร่อาเจียนลงไปข้างล่าง เห็นจะสักกระโถนย่อมๆได้มีแต่น้ำไม่รู้ว่ามีอะไร ยังไม่ทันจะดูก็รู้สึกปวดท้องขี้อีก จึงหันมาทางนี้นายเทามันเห็นมันจึงเอาผ้าผวยบังให้

    พอก้นจ่อก็พรวดออกมาเป็นน้ำดำๆออกมาขี้เป็นน้ำออกมาทั้งนั้น พอขี้แล้วก็เป็นลมไปอีกต้องนอนประเดี๋ยวจึงรู้สึกตัวขึ้นมา ฉันหันไปดูที่อาเจียนไว้มีหยดอยู่ที่บนแคร่หนึ่งหยด เป็นน้ำสีแดงๆแถมดำ พอฉันคิดว่าเป็นเลือดเท่านั้นแหละใจเสียหมด

    แต่คิดไปว่าทำไมมันไม่แดงถ้าเป็นเลือดจริงก็คงเป็นเลือดเสีย และมากเสียด้วยส่วนขี้ก็สีพรรณเดียวกัน หันมาดูตามแขนขาก็ซีดเซียวเป็นคนไม่มีเลือดไปเลย กำลังวังชาหายไปหมดสิ้นจะผงกหัวก็ไม่ไหวแต่กำลังใจยังดีและมีสติ

     นอนอยู่จนสายเขาเรียกกินข้าวก็ไม่อยากกิน นายสุน (มีศักดิ์เป็นน้องเขยของนางสละ ภรรยานายหิรัญ มาช่วยตีมีดที่หัวหิน ) รีบไปซื้อโจ๊กมาชามหนึ่ง พอซดน้ำเข้าปากไปก็ขมยังกับยาหม้อแก้ไข้ต้องบ้วนทิ้ง ตกลงกินอะไรไม่ได้เลยจึงนอนต่อไปสัก ๙.๐๐ น. เห็นจะได้ปวดท้องขี้อีก

     จะขี้ที่ร้านก็เกรงใจคนอื่นเขา จึงลองลุกขึ้นมาก็รู้สึกว่าจะมีกำลังไปขี้ที่ส้วมที่ป่าหลังร้านได้ จึงค่อยๆเดินไปพอเลยครึ่งทางเท่านั้น หน้ามืดเป็นลมจะล้มเสียให้ได้ ต้องยืนเกาะท้ายรถยนต์อยู่สัก ๑ นาที

     เลยตัดสินใจจะไปนอนบ้านคุณแม่ (แม่ของคุณสุดใจเจ้าของโรงเลื่อย ซึ่งนายหิรัญเรียกว่าคุณแม่ ) ซึ่งอยู่ห่างอีกสักหนึ่งเส้นก็ค่อยๆเดินไป คุณสุดใจอยู่บนบ้านด้วยแกเห็นแล้วว่าฉันไม่สบายมาก จึงเรียกให้คนช่วยกันพยุงฉันเข้าไปในบ้าน เอาเสื่อมาปูแล้วก็ให้ฉันนอนอยู่ก่อน

     สักประเดี๋ยวปวดขี้อีกฉันก็ไปถ่ายที่ส้วมซึมที่บ้านคุณแม่ ขี้ออกมาเป็นน้ำดำปี๋ พอกลับมานอนก็หมดแรงไปอีกฉันจึงนอนหลับตาแต่สติก็ยังดีอยู่ คุณสุดใจให้พี่พวงไปตามหมอที่อนามัย หมอก็หยุดเพราะเป็นวันหยุดงานวันชาติ ที่สถานีอนามัยเขาหยุด

     พวกหมอเขาไปเที่ยวพักผ่อนกันหมด สักประเดี๋ยวคุณปลัดวิบูลย์จึงมากับหมอผู้หญิงคนหนึ่ง มาตรวจดูจับมือมองหน้าถามว่าปวดท้องก่อนแล้วขี้ดำใช่ไหม หมอว่าถ้าจะกระเพาะอาหารพิการแล้วหมอก็กลับไปเอายามาให้กิน

     ฉันก็กินยานั้นพอตกบ่ายก็ถ่ายและอาเจียนอีก เป็นแต่น้ำดำๆทั้งนั้นพอถ่ายและอาเจียนออกแล้วทีไร ก็หมดแรงลงไปทุกทีแถมเป็นลมบ่อยๆด้วย

     ตกเย็นลงคุณสุดใจให้คนไปตามหมอไมตรีมาฉีดยา หมอไมตรีแกบอกว่าฉันเป็นโรคเกี่ยวแก่กระเพาะอาหาร แกฉีดยาให้และให้ยาเม็ดมากิน ในตอนหัวค่ำฉันอาเจียนออกมาอีกหลายครั้งๆละครึ่งกระโถนเห็นจะได้ เป็นเลือดดำๆทั้งนั้นเวลานี้ในท้องมันกระวนกระวายอย่างที่สุด

     บางทีก็เป็นลมคุณแม่แกให้กิน ยาหอมตราปราสาททองก็พอทุเลาลง พอถึงตอนดึกก็ยังอาเจียนอีก คืนนี้นอนไม่หลับทั้งคืนพลิกกระสับกระส่าย จวนสว่างยังอาเจียนอีกจนหมดแรงลุกไม่ขึ้นเลย แต่ยังโงหัวขึ้นมาได้นิดหน่อยก็มืดหน้ากินอะไรไม่ได้ ได้แต่กินน้ำร้อนอาการหนักกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก

     เช้ามืดวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๖ คุณแม่ ซิ้มม้วน (เป็นหุ้นส่วนของคุณสุดใจ ในเรื่องการทำโรงเลื่อย) นายเทา คุณสุดใจ เจ้นวล (ภรรยาคุณสุดใจ) และยังมีอีกหลายคน ฉันจำไม่ได้เพราะเวลานั้นตาฝ้าฟางไปหมด ได้ยินแต่เสียงเขาพูดกันยังไงก็รู้สติดี

     แต่ลุกขึ้นไม่ได้ตามตัวมือตีนซีดไม่มีสีเลือด คล้ายกับคนไปแช่น้ำมาตั้งชั่วโมงอย่างนั้นแหละ ฉันนอนนึกไปคนเดียวคล้ายฝันว่า ถ้าตายไปแล้วจะฝากลูกทุกๆคนให้อยู่ในความอุปการะของคุณสุดใจ

     คิดว่าจะเรียกคุณสุดใจมาพูดฝากฝัง แต่ก็ยังไม่กล้าเวลานี้คิดแต่จะไม่รอดท่าเดียว มันกระวนกระวายในหัวใจตามตัวตามแขนขาไม่มีสีเลือด ยังนึกว่าเราป่วยเพียงวันเดียวทำไมหนักมากอย่างนี้

     พอดีได้ยินใครมาเรียกชื่อก็ไม่รู้ จึง พลิกตัวลืมตาดูเห็นคุณแม่พูดว่า จะมาปล่อยอย่างนี้เห็นจะไม่ได้การหมอที่หัวหินนี้ก็ไม่มีหมอที่เก่ง ต้องเอาไปให้หมอเก่งๆเขารักษาจึงจะได้

     แล้วมีคนพูดว่าที่โรงพยาบาลเพชรบุรีเขาก็เปิดแล้ว ไปเพชรก็ได้ใกล้หน่อย คุณสุดใจยืนอยู่ใกล้ๆพูดว่า ถ้าจะไปก็จะเอารถยนต์ไปส่งแต่เกรงว่ารถยนต์จะกระแทกมาก ฉันยังสติดีก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้นไปโรงพยาบาลโพธารามดีกว่าใกล้บ้าน และยังให้สละไปพยาบาลได้ ถ้ายังไม่ตายเสียก่อน

     ฉันลืมตาดูเห็นใครต่อใครหน้าซีดกันไปหมด ที่เห็นฉันป่วยมากอย่างนี้ พอฉันพูดว่าไปโรงพยาบาลโพธารามดีกว่า ซิ้มม้วนแกก็ว่าดีเหมือนกัน และอีกหลายคนก็มีมติว่าดีเพราะโรงพยาบาลโพธารามเดี๋ยวนี้เจริญมาก มีเครื่องมือทันสมัยคนไกลๆก็ยังมาให้รักษา เมื่อมีมติกันแล้วว่าจะไปโรงพยาบาลโพธาราม ก็ให้นายสุนแต่งตัวแล้วโดยสารรถยนต์เมล์ กรุงเทพฯ - หัวหินไปลงที่หนองบางงู

     เข้าตลาดเจ็ดเสมียนไปบอกสละ (ภรรยานายหิรัญ ซึ่งอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน) ให้ไปที่โรงพยาบาลโพธารามหาห้องไว้ เขาจะให้ฉันไปโพธารามโดยรถไฟขบวนรถเร็ว ประจวบ-ธนบุรี ซึ่งจะมาถึงสถานีหัวหิน เวลา ๑๑.๐๐ น.ตรง

     เช้านี้ฉันยังอาเจียนเป็นโลหิตดำๆออกมาอีก ก่อนจะอาเจียนก็มีอาการกระวนกระวายป่วนในท้อง พอป่วนมากเข้าก็อาเจียนออกมา เป็นโลหิตสีดำๆบางทีก็เป็นลิ่มออกมา คล้ายกับเลือดหมูสดที่พวกเราซื้อมาย้อมแหไม่ผิดเลย

     อาเจียนคราวนี้เกือบค่อนกระโถนเล็ก เห็นจะมากกว่าชามก๋วยเตี๋ยวตราไก่ชามหนึ่งเสียอีก เมื่ออาเจียนแล้วท้องก็หายปวดมวนแต่กำลังยิ่งหมดไป ยิ่งอ่อนเพลียมากขึ้น มือตีนไม่อยากกระดุกกระดิกได้แต่นอนฟังเขาคุยกัน

     เขาจะให้ฉันกินข้าวต้มปากก็ขมไปหมดกินไม่ลง กินน้ำมากก็อาเจียนออกมาเลยกินอะไรไม่ได้เลย มีคนมาคุยกันหลายคนได้ยินเสียงดูเหมือนเป็นพี่หยัด พี่สาวคุณสุดใจพูดว่า เป็นอย่างนี้ไม่เป็นไรหรอก

     อาการดูเหมือนมากแต่ก็ไม่ถึงกับตาย เขาเคยเห็นมาแล้วเลือดช้ำเลือดเน่า ค้างอยู่ในกระเพาะมากมันจึงอาเจียนออกมา ถ้าอาเจียนเป็นเลือดแดงๆออกมาแล้วละก็เป็นตายแน่ แต่นี่เลือดดำไม่เป็นไร

     ซิ้มม้วนและคุณแม่ว่า แกไม่ได้ไปบอบช้ำมาแต่ไหนนี่นาทำไมจึงเป็นได้ นายเทาว่าแกไม่ได้ทำงานหนักอะไรหรอก เหล็กก็ไม่ได้ตีไม่ได้แบกหามอะไร แปลกนะมีหลายคนอีกที่พูดวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ ฉันยังมีสติดีอยู่นอนฟังเขาพูดกันเฉยๆรู้เรื่องทั้งนั้น แต่อ่อนเพลียอย่างที่สุดไม่อยากจะขยับตัวเลย

     ขณะนี้คนที่จะส่งฉันไปโพธารามก็เตรียมของกันให้วุ่นไปหมด เจ้นวลไปยืมเตียงนอนแบบโยกมีที่วางขา ที่พี่ฉลวยมาเตรียมไว้เพราะต้องหามฉันไป และเอาไว้นอนบนรถไฟ นายเทาไปเอาเสื้อผ้าของฉันที่โรงเหล็ก และเสื้อผ้าของนายเทาเองเพราะนายเทากับซิ้มม้วน จะเป็นผู้พยาบาลฉันไปบนรถไฟให้คนไปเรียกสามล้อหนึ่งคันให้คนไปซื้อตั๋วไว้ก่อน เตรียมการพร้อมแล้วก็รอเวลาที่จะไปขึ้นรถที่สถานี

     อีกประมาณ ๑๐ นาที รถจะมา นายเทาก็มาเรียกฉันว่า จวนแล้วให้ลุกขึ้นเถอะจะได้ไปขึ้นรถกัน ฉันลุกขึ้นนั่งแต่ทันทีที่ลุกขึ้นก็หน้ามืดลงไปนอนอีก พยายามลุกขึ้นมาอีกทีก็พิงฝาห้องแล้วก็หลับตาเสีย

     พอเห็นว่าไม่มืดหน้าแล้วก็ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นยืนจะเกาะขอบประตู พอมือถูกขอบประตูเท่านั้นก็หน้ามืดเป็นลมล้มฟาดลงทันที....!

ติดตามไปดูกันซิว่านายหิรัญจะเป็นอย่างไรต่อไป คลิ๊ก ได้เลย

ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นใคร

    นายโห้ลิว เข่งมัจฉา นั้น เป็นชาวโพธารามโดยกำเนิด แต่ได้ไปเป็นครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน เมื่อ วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยถีบรถจักรยานมาทำงานที่เจ็ดเสมียน ไปกลับโพธาราม เจ็ดเสมียนทุกวัน และเมื่อ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๕ จึงได้ตกลงใจย้ายมาอยู่ที่เจ็ดเสมียน ตั้งแต่นั้นมา

ในภายหลังนั้น ได้เปลี่ยนชื่อ ไปตามสมัยนิยมเป็น นายหิรัญ สุวรรณมัจฉา และได้ลาออกจากการเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๙ อายุได้ ๘๓ ปี

ด้านหลังของภาพนี้ นายโห้ลิวเขียนไว้ว่า ขอมอบภาพนี้ให้กับ เจ๊เอ็ง (คุณแม่ของคุณอาภรณ์ ลักษิตานนท์)ไว้ด้วยความนับถือ

จะเห็นได้ว่า ครอบครัวของนายโห้ลิว และนายเบี้ยว(คุณพ่อของคุณ อาภรณ์) นี้ มีความผูกพันกันเสมือนเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว จนกระทั่งถึงรุ่นลูก รุ่นหลานก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ

www.chetsamian.org ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อมูลและรูปภาพบนเว็บไซต์ทั้งหมด โดยไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ทำซ้ำ แก้ไข หรือ ดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด หากท่านใดต้องการข้อมูลบนเว็บไซต์ www.chetsamian.org กรุณาติดต่อ นายแก้ว โดยส่ง email ไปที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เพื่อขออนุญาติเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลและรูปภาพบางเรื่องและบางชิ้น เป็นของท่านผู้เขียนและท่านสมาชิกที่ได้เขียนเรื่องต่างๆ และให้ขอยืมภาพต่างๆมาลงไว้ ซึ่งทางผู้จัดทำเว็บไซต์จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากทางเจ้าของผลงานก่อนทุกครั้ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้663
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2637
เดือนนี้8804
ทั้งหมด1338688

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online