ตาโหงว บ้านตีมีด

 

 

alt

 ซ้อทองคำ ภรรยาของนายโหงว ปัจจุบันนี้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อมีอายุได้ ๗๕ ปี (ขออภัย ภาพของนายโหงวหาไม่ได้ครับ)    

        ย้อนกลับมาเรื่องการจุดประทัดอีกที พวกผมเด็กๆนั้น เกือบครบทุกๆคนในรุ่นของผม เมื่อได้ยิน ปัง ปัง ปัง มาจากทางไหน ก็จะวิ่งกรูกันไปทางนั้น

 เพื่อจะไปดูและที่สำคัญที่สุดก็คือ ไปแย่งกันเก็บประทัดดอกที่ยังไม่ระเบิด ในพวงหนึ่งๆที่จุดเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ก็จะมีลูกที่ไม่ระเบิดมากเหมือนกัน  พวกเราก็จะเก็บใส่ถุงที่เตรียมเอามาแล้ว เพื่อจะเก็บเอาไว้ไปจุดเล่นที่อื่นต่อไป

 

       ที่ห้องแถวริมสุดทางด้านริมน้ำแถวเดียวกับบ้านผมนั้น ติดกับต้นโพธิ์ใหญ่ (ต้นที่กล่าวถึงนี้โค่นไปนานแล้ว)  เป็นห้องของนายโหงว อารีย์   นายโหงวนี้มีภรรยาที่ใครๆในตลาดเจ็ดเสมียน เรียกแกว่า ซ้อทองคำ สามีและภรรยาคู่นี้มีลูกเล็กๆหลายคน มีอาชีพทำมีดขาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตีมีด

 

     (นายโหงวนั้นใครๆไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่อยู่ในตลาดเจ็ดเสมียน ต่างก็เรียกแกว่า  ตาโหงว หรือตาโหงวตีมีด ดังนั้นต่อจากนี้ไปผมก็จะเรียกแกว่า ตาโหงว จนจบเรื่องนะครับ) 

     ตาโหงวมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อนายเทาหรือบางคนก็เรียกแกว่านายเท้า และมีลูกน้องที่มาช่วยกันตีมีดอีกคนหนึ่งชื่อนายสุน มีคนหนึ่งที่อายุแก่กว่าผมสัก  ๓  - ๔  ปีเห็นจะได้ ชื่อ นายเซี้ยง เป็นหลานตาโหงว แกเอามาฝึกหัดให้ตีมีดกับแก  เฮียเซี้ยงคนนี้เคยชวนผมไปเก็บฝรั่งที่บ้านของแก ที่เรียกว่าบ้านเกาะ  (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็แถวโรงพยาบาลเจ็ดสมียนนั่นเองครับ)    บ่อยๆโดยถีบจักรยานไป

   ตาโหงวแกตั้งเตาถ่านที่มีเครื่องสูบลมด้วยไว้ข้างๆบ้านของแก ผมเคยไปยืนดูห่างๆกับเพื่อนบางคนตอนที่เขาตีมีด ที่ต้องยืนดูห่างๆก็เพราะว่ามันร้อนมากเลยครับ ลืมบอกไปว่านายสุนนั้นเป็นสามีของน้าเภา น้าของผมเองที่มาจากบ้านบางเค็มเพชรบุรีโน่น ซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่ผม  

     ผมยืนดูทีหนึ่งเป็นเวลานานๆ เห็นเขาเอาเหล็กท่อนยาวๆ เผาไฟเสียแดง พอได้ที่ดีแล้วก็เอาคีมปากยาวคีบเหล็กอันนั้นออกมา วางไว้บนทั่ง แล้วลูกน้องอีกสองคนที่ถือค้อนปอนด์เตรียมอยู่นั้น ก็คอยตีเหล็กเป็นจังหวะตามตาโหงวไป ตาโหงวแกก็จะพลิกเหล็กที่ร้อนอยู่นี้ พลิกไปพลิกมาค้อนก็ทุบลงไปเป็นจังหวะ

       จนความร้อนหมดแล้วเหล็กก็จะเริ่มแข็ง ตาโหงวแกก็จะเอาเข้าไปเผาไฟใหม่ ทำหลายรอบจนเป็นรูปร่างมีด บางวันผมเคยไปดูเขาทำขั้นตอนสุดท้ายสำเร็จเป็นมีด ชุบแข็งเสร็จแล้วประกอบด้ามอย่างสวยงาม แล้วก็จะได้เป็นมีดอันคมกริบแข็งแกร่งออกจำหน่ายต่อไป
 
  
     

alt

 

้านตาโหงว และซ้อทองคำ ซึ่งเป็นบ้านรับจ้างตีมีดและเป็นร้านขายมีด ร้านเดียวในตลาดเจ็ดเสมียน เดิมทีเป็นห้องริมสุด แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีการปลูกสร้างห้องแถวต่อออกมาเพิ่มขึ้นมาอีก ๒ ห้อง จริงๆแล้วก็จะอยู่ตรงที่มีรถจอดในภาพนั่นแหละครับ

     ตาโหงวนี้ผมต้องขอบอกเสียก่อนนะว่า แกเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบ   (ใครๆก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน)  เด็กๆที่มาทำความรำคาญให้เลย เช่นมาส่งเสียงดังใกล้ๆบ้านมาเล่นตี่จับ หรือมายิงนกตรงต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้ๆบ้านแก ถ้าทำเสียงดังละก้อมีปัญหาแน่ๆ แกก็จะด่าและไล่ตะเพิดเด็กพวกนี้เสียงดังลั่น จนกระทั่งเด็กๆทั้งหลายรู้กันดี และกลัวกันมาก

         แล้วเรื่องก็เกิดกับพวกผมจนได้ เมื่อตอนบ่ายของวันตรุษจีนนี้ ผมกับไอ้โห้ (ุณสุรพงษ์ แววทอง ลูกชายของป้าฮวยขายผักกาดหวาน "ร้านแม่กิมฮวย" )  เพราะความบ้าลิเกที่มาแสดงที่วิกเจ็ดเสมียนในเวลานั้น ได้อาเหล็กเส้นโตสัก 3 หุนเส้นยาวประมาณ ๒ เมตรเห็นจะได้ เป็นเหล็กเส้นที่เขาใช้เทคอนกรีตถนน

       ผมกับไอ้โห้เอามาตัดเป็นสองท่อนเท่าๆกัน แล้วก็มาฟันกันแบบลิเกรบกันดังก๊องแก๊งๆ เพราะว่าในตอนนั้นมีลิเก คณะโจหลุยส์ มาเล่นที่วิกเจ็ดเสมียน พวกเราก็ชอบไปดูลิเกกันแล้วจำเอามาเล่น

(จำได้ว่าลิเก โจหลุยส์ ที่มาเล่นที่วิกเจ็ดเสมียน ที่ผมกับไอ้โห้เอาตัวอย่างนี้แหละ ในฉากที่พระเอกกับผู้ร้ายรบกัน แล้วพลาด มีดที่ใช้ในการแสดงนั้น โดนหน้าผู้ร้ายตรงหัวคิ้ว หน้าแหก ต้องหยุดการแสดง แล้วพวกลิเกด้วยกันตาลีตาเหลือก ปั่นจักรยานไปหัวหนองบ้านหมอ ละออง โดยมีนายเล็กลูกกำนันเป็นคนนำทาง ให้มารักษาด่วน )

    ผมดูแล้วก็ติด  (แม่ผมก็ชอบดูลิเก ที่วิกเจ็ดเสมียนนี้ มีลิเกมาปิดวิกบ่อยมาก)    บางทีผมก็อยาก จะเป็นลิเกเสียเองเลย ไอ้โห้ก็เหมือนกัน มันก็ไปดูกับผมพร้อมด้วยเพื่อนคนอื่นๆแทบทุกคืน ดูแล้วก็อยากเป็นลิเกบ้าง ในตอนเย็นวันนั้นผมกับไอ้โห้ เอาเหล็กเส้นมาตัดคนละท่อน มารบกันดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียนในตอนนั้น หลังบ้านยังเดินได้ถึงกันตลอด ยังไม่ได้กั้นบ้านใครบ้านมันเหมือนเดี๋ยวนี้

   ผมกับไอ้โห้ รบกันด้วยท่อนเหล็กเล็กๆกลมๆ สมมุติว่าเป็นดาบเสียงดังก๊องแก๊งๆ ปากก็พูดตะโกนแบบลิเกเล่นกันจนเพลินโดยไม่รู้ว่า เรารบกันจากแถวๆหลังบ้านผมซึ่งติดกับกำแพงโบสถ์ รุกไล่กันมาเรื่อยเพลินไป มาอยู่หลังบ้านตาโหงวเมื่อไรก็ไม่รู้ วันนี้เป็นวันตรุษจีนที่ร้านตาโหงวเขาก็หยุดตีมีดเหมือนกัน

    ในตอนนั้นผมกับไอ้โห้เห็นตาโหงวใส่กางเกงแพรตัวเดียว ใส่เสื้อกล้ามสีขาวนอนอ่านหนังสือ คล้ายหนังสือพิมพ์รายวัน อยู่บนเตียงผ้าใบอย่างสบายอารมณ์  สักพักแกคงได้ยินเสียงประหลาด เหมือนลิเกโจหลุยส์มาเล่นหลังบ้านแก และกำลังรบกันดุเดือด

     ตอนแรกแกเพียงแต่ผงกหัวขึ้นดู ต่อมาแกจึงลุกออกมาจากเตียงผ้าใบ แล้วแง้มประตูหลังบ้านดู เมื่อเห็นผมกับไอ้โห้กำลังรบกันอย่างดุเดือดแบบลิเกแล้ว  แกเลยตะโกนว่า เฮ้ยๆไอ้ลิเก ๒ ตัวนั่นน่ะไปรบกันที่อื่นไป๊ หนวกจริงๆเลยพับผ่าซี แกพูดเหมือนกับว่าแกเตือนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแกก็ผลุบเข้าไป ในบ้าน 

      ฝ่ายผมกับไอ้โห้กำลังใช้เหล็กเส้นอันเล็กๆ รบกันกำลังมันทีเดียวคิดว่าตาโหงว แกคงออกมาตวาดไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะว่าเด็กที่ตลาดนี้เป็นลูกใครหลานใครก็จะรู้จักกันไปหมด

      แต่ที่ไหนได้ สักประเดี๋ยวเดียวน่าจะไม่ถึง ๕ นาทีดี คราวนี้ตาโหงวโผล่มาอีกพร้อมด้วยมีดบางเล็กที่แกยังตีไม่เสร็จ ปากก็บ่นอะไรพึมพัม หน้าตาเคร่งเครียดแล้วก็เอามีดบางเล็กๆนั้น ขว้างใส่ผมกับไอ้โห้ทันที

     พร้อมกับพูดว่า บอกให้ไปเล่นกันที่อื่นก็ไม่ไป มันต้องเอาอย่างงี้ดีไม๊ล่ะ แกว่า เคราะห์ดีที่ผมหันหน้าไปทางตาโหงว เห็นมีดลอยมาแว๊บๆผมจึงบอกไอ้โห้ทันที เป็นจังหวะที่ไอ้โห้มันยืนหันหลังไปทางตาโหงวมันจึงไม่รู้เรื่อง 
 
  
      

alt

 

   บสถ์ของวัดเจ็ดเสมียน หลังปัจจุบันนี้ ที่เห็นนี้เป็นประตูทางเข้าด้านหลัง (ด้านริมน้ำ) ทางขวามือสุดของในภาพนี้ จะเป็นกำแพงโบสถ์ ขนานติดกับหลังห้องแถว ตลอดไปจนถึงทางด้านหน้าของโบสถ์ เมื่อสมัยก่อนนั้น กำแพงโบสถ์ กับห้องแถวเขาจะเว้นระยะไว้ประมาณ ๒ เมตร เพื่อให้เดินถึงกันได้ พวกผมเดินไปมากันเป็นประจำ และเคยมาซุ่มแอบตาโหงวที่หลัง กำแพงโบสถ์นี้ (ในเรื่องนี้) ปัจจุบันนี้กั้นหมด เดินไปมาไม่ได้แล้ว

 

             เฮ้ยโห้หลบโว้ย  ไอ้โห้ได้ยินผมบอกมันคิดว่า ผมจะมาบอกมันทำไมแล้วทำหน้าเลิกลั่กยืนเฉย ผมชี้ให้ไอ้โห้ดูแล้วบอกมัน หลบเร็วโว้ยทำไมตาโหงวทำแบบนี้วะ ผมตะโกนบอกมันอีกแต่ไม่ทันเสียแล้ว มีดบางเล่มนั้นเฉียดผ่านผมกับไอ้โห้ไป กระทบกับกำแพงโบสถ์เก่าๆของวัดเจ็ดเสมียนดัง เป๊ง เดชะบุญที่ไม่โดนนะถ้าโดนหลังไอ้โห้ หรือว่าโดนท้องผมคิดว่าต้องได้แผลกันมั่งแหละ
          แต่คิดไปอีกทีตาโหงวเขาตั้งใจจะขว้างมีดบางนั้น ไม่ให้ถูกผมกับไอ้โห้เสียมากกว่า เพราะระยะมันไม่ไกลมากนักผมกับไอ้โห้หยุดรบกันทันที แล้วมองหน้ากันคงจะคิดเหมือนๆกันว่า อะไรกันแกดุถึงขนาดนี้เชียวหรือตาโหงวนี่ แล้วผมกับไอ้โห้ก็ยังได้ยินเสียงสำทับมาอีกว่า
ไปเลยไปรบกันที่อื่นไป๊ อย่ามาเล่นเสียงดังที่นี่ ..!

         

 

alt

 

ลูกสาวตาโหงว คนนั่งถอดเสื้อริมซ้ายสุดชื่อ น้องเล็ก ก็ออกมาที่สนามหน้าโรงเรียน เพื่อมาสมาคมกับเพื่อนๆเด็กด้วยกัน ปัจจุบันนี้อายุก็คงกว่า ๔๐ ปีเข้าไปแล้ว

 ผมกับไอ้โห้ถอยทัพกันทันทีโดยไม่ต้องมีปี่พาทย์เชิด ตอนนั้นเย็นแล้วผมกับไอ้โห้หยุดรบกันแล้ว รีบเดินตัวปลิวไปที่สนามหน้าโรงเรียน เพราะคิดว่าต้องมีพรรคพวกของเราอยู่ที่นั่นกันบ้าง มองเห็นพวกของเราหลายคนแต่ไกล อยู่ที่ข้างเสาธงหน้าโรงเรียน 

       ผมกับไอ้โห้จึงเดินเข้าไปหา แล้วเล่าเรื่องตาโหงวไล่ตะเพิดเราและเอามีดเล็กเขวี้ยงใส่เรา ให้พรรคพวกฟังแล้วเสนอต่อที่ประชุมว่า กูอยากแก้แค้นว่ะผมว่า ไอ้อู๊ดว่ามึงมีวิธีหรือยังถ้ายังกูมีวิธีนะโว้ย มึงมาใกล้ๆกูนี่กูจะบอกให้ แล้วผมกับไอ้โห้ก็เอียงหูลงไปฟังไอ้อู๊ดมันบอกแผนการของมัน

       โธ่แผนการของมันคือ ไอ้อู๊ดมันจะเอาประทัดที่บ้านมันซึ่งจุดยังไม่หมดในวันนี้ มาให้ผมและไอ้โห้แล้วให้ผมและไอ้โห้ ทำเป็นแกล้งเดินผ่านหลังบ้านตาโหงวในตอนค่ำๆ พอได้จังหวะดีแล้วก็จุดประทัดโยนเข้าไปที่ฝาบ้าน เสร็จแล้วก็กระโดดข้ามกำแพงโบสถ์วิ่งหนีออกไปทางศาลาวัดแล้วหายไปกับความมืด นี่คือแผนแรกของไอ้อู๊ดมัน

       ผมบอกไอ้อู๊ดว่า แผนนี้กูไม่เอาด้วยหรอกมันจะแจ้งเกินไป ตาโหงวเห็นคงเล่นงานกูตายแน่หนีไปไหนไม่รอดหรอกมึงเอ๋ย..!

 

alt

 

มบูรณ์ (เสื้อลายตาสีเหลี่ยม)  โอฬาร ลักษิตานนท์  (ไอ้อู๊ด กลาง)  สุรพงษ์ แววทอง (ไอ้โห้ ดื่มน้ำ)  ภาพในปัจจุบันนี้  (patipat ถ่ายภาพ 5 เม.ย. 52)

         เมื่อเห็นผมกับไอ้โห้ไม่ยอมรับแผนนี้ ไอ้อู๊ดทำหน้าครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวสมองของ ไอ้อู๊ดจอมวางแผนมันตบมือเพี๊ยะ เม้มปากกัดฟันกรอดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนกับถ้าทำได้แล้วก็จะสะใจมาก

     แล้วขยายความว่า เฮ้ยเอาอย่างนี้นะโว้ยในคืนวันนี้สัก ๒ ทุ่ม มึงสองคนนั่นน่ะที่เป็นตัวต้นเรื่อง แล้วมันก็ชี้มาทางผมกับไอ้โห้  มึงจะต้องเอาประทัดเป็นคนไปวาง โดยที่จะวางแบบระเบิดเวลา..

     ผมมาคิดว่าไอ้อู้ดมันจะถ่วงเวลาแบบวิธีไหนกัน แล้วมันก็พูดต่อว่าเราจะต้องใช้ธูปนั่นแหละเป็นตัวถ่วงเวลา คือว่าเราคิดว่าธูปก้านหนึ่งนั้นใช้เวลาจุดตั้งแต่แรก จนกว่าจะหมดดอกใช้เวลาประมาณกี่นาที........แล้วมันก็อธิบายขั้นตอนไปเรื่อยๆ พอมันอธิบายมาถึงตอนนี้พวกเราทุกคนก็พอจะนึกออกไปกับความคิดของ ไอ้จอมวางแผน แล้วคิดว่ามันน่าจะทำได้

alt          

ภาพนี้แสดงให้เห็น กำแพงของโบสถ์เก่าที่อยู่ติดกับ หลังห้องแถวใหม่ตลาดเจ็ดเสมียน มีเจดีย์ เก่าๆตั้งเป็นแถวไปจนสุดกำแพง (ประมาณบ้านตาโหงว ช่างตีมีด ที่พวกผมไปแอบ อยู่หลังกำแพง ตามเนื้อเรื่องนี้) ตรงที่เด็กเจ็ดเสมียนยืนอยู่หลังบ้านแล้วโผล่ออกมานี้ เป็นหลังบ้านของ คุณ คนึง (จุ้ย คนรูปหล่อที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือ) เด็กที่นั่งอยู่บนกำแพงนั้น เป็นบุตรชายคนโตของ ครูปราณีชื่อ ด.ช. เอ ส่วนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างล่างอีก สองคนนั้น ผมไม่ทราบชื่อจริงๆ ขออภัยด้วย ถ้าเจ้าของรูปหรือใครทราบ กรุณาส่งข่าวให้ผมทราบด้วย จะได้ลงชื่อให้ ภาพนี้ถ่ายเมื่อประมาณ เกือบ ๔๐ ปีแล้วครับ

        อย่างนี้แล้ว ตาโหงวก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนแกล้ง ดังนั้นเวลาต่อมาเมื่อรู้เรื่องกัน และวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว  ไอ้อู๊ด มันก็บอกผมและเพื่อนของผมอีก สองสามคน ให้เข้าไปในกำแพงโบสถ์  ไปรอมันอยู่ตรงใกล้ๆหลังบ้านตาโหงว แล้วมันก็เดินกลับไปที่บ้านมัน ตอนนั้นประมาณสัก 2 ทุ่มกว่าๆเห็นจะได้

      พักเดียวไอ้อู๊ดก็เดินกลับมาหาพวกเราที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อมันมาถึงแล้วพร้อมกับยื่นประทัดดอกสีแดงๆ สักสิบกว่าดอก แล้วก็ธูปตับเล็กๆหนึ่งตับ ยางวงกลมๆเล็กๆอีกสักยี่สิบเส้นไม้ขีดไฟอีกหนึ่งกล่อง

     ในความสลัวๆของแสงไฟข้างกำแพงโบสถ์ พวกเราก็ช่วยกันผูกดอกประทัดกับก้านธูป โดยใช้ยางวงๆเส้นเล็กๆรัดเอาไว้ แล้วรัดสายชนวนเส้นเล็กๆให้แนบกับธูปด้วย กะให้ต่ำลงมาจากปลายธูปมากบ้างน้อยบ้าง  ประมาณสักสิบกว่าก้านเห็นจะได้

     เหตุที่ผูกประทัดกับก้านธูปสูงต่ำไม่เท่ากันนั้น เพราะว่าเวลาจุดธูปแล้ว ไฟจะลามธูปไปเรื่อยๆเป็นการกะเวลาของเราถ้าสายชนวนประทัดอยู่ตรงจุดไหน เมื่อไฟลามถึงชนวนประทัดแล้วก็จะระเบิดทันที  และการผูกสูงต่ำไม่เท่ากันนั้น ประทัดก็จะระเบิดในเวลาต่างๆกันนั่นเอง เป็นการรบกวนตาโหงวให้เป็นระยะ ระยะ

     ที่บ้านตาโหงวขณะนั้นปิดประตูหน้าถังลงหมดแล้ว คิดว่าตาโหงวอาจจะกำลังเพิ่งจะเข้านอนก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะยังไม่หลับ เพราะยังได้ยินเสียงคุยกันเบาๆอยู่ แต่พวกเด็กๆลูกแกนั้นคงหลับหมดแล้ว ขณะนี้ก็ประมาณ ๒ ทุ่มกว่าเกือบ ๓ ทุ่มน่าจะเป็นเวลาที่ลงมือได้แล้ว ผมและทุกคนที่มาด้วยกันต่างช่วยกันผูกประทัดเข้ากับธูปจนเสร็จเรียบร้อย

     ผมกับไอ้โห้ต้องลงมือปฏิบัติการเอง พวกมันอ้างว่าผมกับไอ้โห้เป็นตัวต้นเรื่อง ไอ้อู๊ดมันบอกว่าเรื่องของใครก็ของมันกูช่วยได้แค่นี้แหละ ดังนั้นเพื่อนผมอีกสองสามคนรวมทั้งไอ้อู๊ดด้วย จึงเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่หลังกำแพงโบส์ถ และตอนนี้กำลังช่วยกันจุดธูปทั้งสิบกว่าดอกนี้ เมื่อธูปติดดีแล้วจากการสังเกตุดูมีไฟแดงๆตรงหัวก้านธูป ผมกับไอ้โห้ก็ปีนกำแพงโบสถ์อย่างแผ่วเบา ข้ามมาตรงหลังบ้านตาโหงวพอดี

alt

ำแพงโบสถ์ของวัดเจ็ดเสมียนในปัจจุบันนี้มีช่องสำหรับเก็บกระดูก ที่เห็นนี้อยู่ตรงหลังบ้านของคุณคนึง คุ้มประวัติ

       ขณะนั้นเงียบสงัดแล้ว ตลาดเจ็ดเสมียนเป็นตลาดบ้านนอก ตกค่ำลงก็ในตลาดก็เริ่มเงียบ เด็กๆที่วิ่งเล่นกันกลางตลาดก็เริ่มเข้าบ้านกันจึงเงียบเหมือนเมืองร้าง โดยไม่รอช้าผมกับไอ้โห้รีบหาที่ปักระเบิดทันที แต่ในขณะที่หาที่ปักก้านธูปนั้นจะต้องทำอย่างเงียบที่สุด ต้องเดินแบบเขย่งโดยที่ไม่ให้ส้นติดพื้น เดินให้เงียบเหมือนแมวเดินมากที่สุด

     ผมกระซิบบอกไอ้โห้ว่าให้เดินระวังหน่อยนะ ระวังจะเหยียบสังกะสีเข้ามันจะเกิดเสียงดัง ผมรีบเดินโหย่งๆเข้าไปปักธูปดอกแรกเข้าที่เครื่องสูบลมเตาตีมีดข้างๆบ้าน อีกดอกหนึ่งก็ปักใกล้ๆกัน แล้วเดินไปทางหน้าถัง (หน้าบ้าน) ที่ปิดประตูแล้ว  ด้านละ ๑ ดอก แล้วเขยิบออกมาวางไว้ที่ใกล้ต้นโพธิ์อีก ๑ ดอก

     เสร็จแล้วก็เดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เกาโน่นเกานี่มาหยุดถลกขากางเกงขึ้นมา (กางเกงขาสั้น) มายืนเยี่ยวที่ไกล้ประตูโบส์ถ มองเห็นประตูโบส์ถด้านหลังปิดอยู่จะเข้าทางนั้นไม่ได้ จึงกลับมาที่กำแพงโบส์ถปีนข้ามไปหาพรรคพวกที่อยู่หลังกำแพงนั้นด้วยความรวดเร็ว
         ก่อนที่ผมจะข้ามกำแพงกลับมานั้นผมก็เป็นห่วงไอ้โห้มัน ผมเพ่งมองไอ้โห้ว่ามันอยู่ตรงไหนแล้วมันทำสำเร็จหรือยัง เห็นไอ้โห้มันปักธูปไว้ที่หลังบ้าน ใกล้ประตูและขอบวงกบหน้าต่าง  ที่มือมันผมเห็นว่าเหลืออีกดอกเดียวเพราะว่า เห็นไฟธูปติดแดงอยู่ผมก็ลุ้นมันเหลือเกินว่าทำไมมันไม่ปักเสียที มันมัวแต่หาที่ปักอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวตาโหงวเกิดสงสัยอะไรขึ้นมา แกอาจจะโผล่ออกมาแผนการก็จะล้มเหลวเสียเปล่าๆ

       ไอ้โห้มัวแต่วนเวียนหาที่และโดยไม่คาดคิด มันพลาดไปเหยียบเอาสังกะสีดังกร๊วบใหญ่ มีสังกะสีล้มอยู่ตรงทางเดินอยู่แผ่นหนึ่ง หลังบ้านตาโหงวเมื่อตอนกลางวัน ผมกับไอ้โห้รบกันยังเหยียบมันอยู่เลย อีคราวนี้ไอ้โห้เหยียบอีกดังกร๊วบใหญ่ ตาโหงวคงออกมาดูเป็นแน่

      จริงดังที่คิดไว้ตาโหงวเปิดประตูหลังบ้านโผล่ออกมา แกนุ่งกางเกงกุยเฮ็งไม่ใส่เสื้อ แง้มประตูออกมาเสียงดังแอ๊ด แล้วฉายไฟไปมาตรงสังกะสีแผ่นนั้น แกคงสงสัยว่าอยู่ดีๆสังกะสีมันดังได้อย่างไร ฝ่ายไอ้โห้เมื่อพลาดท่าเหยียบสังกะสีดังลั่นแล้ว

      ก่อนที่ตาโหงวจะเปิดประตูออกมา มันได้รีบวิ่งย้อนเข้าไปทางบ้านผมซึ่งอยู่เลยบ้านตาโหงวไปอีก ๕ -๖ ห้อง แล้วไปหลบอยู่หลังเจดีย์เก่าๆ ที่อยู่ติดกับกำแพงโบส์ถนั้น สักครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปรกติแล้ว ตาโหงวก็กลับเข้าบ้านงับประตูเข้าดังเดิม

     พวกผมที่แอบสังเกตการณ์อยู่หลังกำแพงโบส์ถนั้น ในตอนแรกกลั้นหายใจกันไว้แทบแย่ มาตอนนี้ต่างก็หายใจกันแบบโล่งอก ที่ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย ตามที่ไอ้จอมวางแผนมันวางไว้ แล้วไอ้โห้มันก็ปีนกำแพงโบส์ถจากทางหลังบ้านผม เดินย้อนกลับมาแล้วด้วยหัวใจเต้นแรงแทบระเบิด พวกเราเงี่ยหูฟังผลงานของพวกเราที่จะแสดงฤทธิ์ให้เห็น และจะดูว่าตาโหงวจะทำอย่างไร และจะคิดว่าใครเป็นคนทำ

         ประมาณ ๕ นาทีต่อมาประทัดลูกแรก ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อธูปดอกหนึ่งได้ลามมาถึงลูกประทัดแล้ว ลูกแรกนั้นได้ยินมาจากทางหน้าบ้านที่ผมเป็นคนไปวางนั่นเอง เสียงมันดังก้องในบรรยากาศที่เงียบสงัด แล้วสักครู่ได้ยินเสียงของตาโหงวดังออกมาจากภายในบ้านว่า เฮ้ยเด็กที่ไหนมาจุดประทัดที่ตรงนี้วะมืดค่ำแล้ว ไปจุดที่อื่นไป๊เสียงตาโหงวดังออกมาอย่างไม่ค่อยโมโหนัก เพราะเหตุว่าวันนี้เป็นวันตรุษจีน เด็กๆอาจจะเอามาจุดเล่นในตอนกลางคืนบ้างก็ได้

         ตาโหงวเงียบเสียงไปถัดมาอีกสัก ๒ นาทีเห็นจะได้ ประทัดดอกต่อมาก็ระเบิดขึ้น แล้วดอกไหนที่ธูปลามเลียถึงชนวนมันๆก็จะระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวท่ามกลางความเงียบ สักครู่ได้ยินเสียงประตูบ้านตาโหงวเปิดผางออกมา ที่ในมือถือไฟฉายขนาดสามท่อน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นถือไม้รวกอันใหญ่ออกมาด้วย

     แต่ภายนอกบ้านนั้นว่างเปล่ามีแต่แสงสลัวๆ ของดวงไฟที่เสาใกล้ต้นจามจุรี ไม่มีเด็กมาจุดประทัดสักคนเดียว ตาโหงวผิดหวังและทำท่าฉงนในใจว่า นี่มันอะไรกันผีตรุษจีนมาหลอกหรือไงว่ะ

     พวกผมหลบกันอยู่หลังกำแพงโบส์ถ หลังบ้านตาโหงวนั้นก็อดใจเต้นระทึกไม่ได้ เพราะกลัวว่าตาโหงวจะฉายไฟฉาย ไปเจอธูปที่ปลายกำลังติดไฟอยู่แดงวาบที่เราปักเอาไว้ เพราะนับดูแล้วว่าตอนนี้มันเพิ่งจะระเบิดไปได้ไม่กี่ดอกเอง

    ตาโหงวรีรออยู่พักใหญ่เห็นไม่มีอะไร ก็ผลุบเข้าบ้านปิดประตูดังปังใหญ่ ประทัดที่เราวางกันเอาไว้ก็ระเบิดขึ้นอีก ติดต่อกันนับได้เกือบสิบครั้ง ตาโหงวทะลึ่งพรวดเหมือนถูกไฟฟ้าช๊อต เปิดประตูผางออกมาดูอีกพร้อมกับเสียงเอะอะดังลั่น

    ถัดจากนั้นมาประทัดที่เราวางกันเอาไว้เงียบเสียงไปแล้วก็แปลว่าคงหมดแล้ว พวกเรารู้สึกภูมิใจกันที่ทำได้สำเร็จ เป็นการล้างแค้นย่อยๆที่ตาโหงวเอามีดเขวี้ยง และว่าผมกับไอ้โห้ เมื่อตอนบ่ายวันนี้

     พวกเราทยอยเดินออกจากกำแพงหลังบ้านตาโหงว มาทางด้านหน้าโบสถ์ซึ่งมีประตู และออกมาจากโบสถ์ทางด้านหน้า เพราะว่าประตูโบส์ถด้านหน้าไม่ได้ปิดและไม่ได้ใส่กุญแจไว้ พวกผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไปเที่ยว หรือไปดูเขาเล่นการพนันที่บ้านในกันมา 

    พอโผล่ประตูออกมาแล้ว พวกเราก็เดินคุยกันกะว่าจะแยกกันไปบ้านใครบ้านมัน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเหลือบไปเห็นกำนันโกวิท เดินมากับ ผู้ใหญ่เสงี่ยม สกุนา (มือปราบ) ฉายไฟฉายมาทางพวกเราแว๊บๆๆพลางเดินเข้ามาไกล้ๆ  เมื่อเห็นว่าพวกเราเป็นใครกำนันโกวิทก็ถามว่า ไงพวกเราไปไหนกันมา

     ไอ้อู๊ดมันพยายามสงบสติบอกแทนว่า ไปดูเขาเล่นการพนันมาที่บ้านยายบินบ้านในครับ เสียงกำนันพูดอีกว่าแล้วทำไมจึงออกมาจากทางหน้าโบส์ถ ไอ้อู๊ดอึกอักตอบไม่ได้ กำนันจึงชิงพูดเสียก่อนว่า ไป ไป กลับบ้าน เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าริอ่านไปเล่นการพนันเทียวนะถ้ารู้เป็นโดนดีแน่ๆ พวกผมก็รีบครับๆแล้วต่างคนต่างก็โกยแน่วเข้าบ้านไปเลย

     ความลับของประทัดที่วางไว้ที่บ้านตาโหงว ในคือวันนั้นน่าจะเป็นความลับตลอดไป  แต่มันก็เปิดเผยจนได้ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นนี่เอง มีอีกลูกเดียวเท่านั้นที่มันไม่ระเบิด เพราะว่าชนวนมันหลุดออกไปคงจะในตอนที่เรา ถือแล้วรีบหาที่ปักนั่นเองมันจึงไม่ระเบิด คาเด่อยู่อย่างนั้น

     เป็นดอกที่ผมไปปักไว้ที่หน้าประตูบ้านตาโหงวเสียด้วย ตาโหงวตื่นขึ้นมาเปิดหน้าถังในตอนเช้า จึงได้รู้ว่ามีมือดีแอบมาวางไว้ให้ระเบิดรบกวนแกเล่น จะเพื่ออะไรแกก็นึกไม่ออกเพราะว่าวันๆแกด่าเด็ก ขว้างเด็กไปหลายรายที่ไปเอะอะใกล้ๆบ้านแก

      ตาโหงวแกก็อาจจะเดาๆเอาว่าเป็นผมกับไอ้โห้ก็ได้ เพราะว่าเด็กรุ่นผมนั้นไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน แต่แกไม่เห็นกับตาจึงจะมาเอาเรื่องไม่ได้ ในเช้าวันนั้นแกจึงได้เล่าให้ใครต่อใครฟังที่ตลาด และเมื่อพบกับกำนันโกวิท แกก็ได้เล่าให้กำนันโกวิทฟังถึงเรื่องที่เกิดเมื่อตอนหัวค่ำเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ กำนันก็ได้แต่ยิ้มๆแล้วบอกว่าจะสืบให้ว่าเป็นใคร แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

     ในตอนเย็นนั้นตาโหงวก็เห็นผมกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะ ไอ้อู๊ด เมื่อตอนที่แกลงไปอาบน้ำที่ท่าใหญ่ แต่แกก็เฉยๆเหมือนผู้ใหญ่ทั่วๆไป ที่ป่วยการที่จะมาทะเลาะและมีเรื่องกับพวกเด็กๆ แกคงไม่รู้จริงๆหรอกว่าเป็นความคิดของไอ้อู๊ด และพรรคพวกที่วางแผน และผมกับไอ้โห้นี่เองที่เป็นคนวางกับระเบิดไว้ ให้แกรำคาญเล่นๆเท่านั้นเอง.

               สรุปแล้วปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นใคร หรือพวกไหนเป็นคนทำ แม้แต่ตาโหงวเองก็ไม่รู้

         มีแต่กำนันโกวิทเท่านั้นที่รู้  !

 

 คำขออภัยต่อคนเก่าคนสำคัญแห่งเจ็ดเสมียนคนหนึ่ง

(ข้าพเจ้านายแก้วและพรรคพวก กราบขออภัย ต่อนายโหงวและญาติพี่น้อง พร้อมทั้งลูกหลานของนายโหงวด้วย ที่ทำไปในครั้งนั้นตามประสาเด็กๆ เมื่อมีอายุมากขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงคิดได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น จึงกราบขออภัยมานะที่นี้ด้วยความเคารพนับถือ)

 

alt

รชายคนโตของนายโหงวและซ้อทองคำพร้อมด้วยภรรยาและลูก ในงานฌาปนกิจศพซ้อทองคำ เมื่อไม่นานมานี้

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้140
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้636
เดือนนี้13554
ทั้งหมด1343438

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online