เรื่องราวในดงมะพร้าว

Imageเรื่องราวของคนเจ็ดเสมียน 

เรื่องราวในดงมะพร้าว
         

นายตุยเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว น้าฟ้าก็หันมาบอกกับผมว่า เก้ว ชื่อเก้วใช่ใหม ฉันจะให้เธอ นอนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะ พูดพลางชี้มือไปที่ตรงริมซ้ายของตัวบ้าน ซึ่งมีแคร่ไม้ใผ่ อยู่ตัวหนึ่ง เป็นแคร่ยกพื้นไม่สูงนัก เก่าๆแล้ว อยู่ชิดกับฝาบ้านพอดี ดังที่บอกในตอนแรกแล้วว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว  พื้นเทปูนซิเมนต์หยาบๆ พอโผล่จากประตูเข้าไปจะเห็นว่าเขากั้นห้องไว้ สองห้องอยู่ทางขวามือด้านเดียวกัน  ส่วนอีกด้านหนึ่งคือด้านซ้ายมือนั้น เป็นที่สำหรับ หุงหาอาหาร หรือที่ทำครัวนั่นเอง โล่งๆ  ถัดจากครัวมาหน่อย คือชิดกับฝาบ้านนั่นแหละ ที่พักอาศัยหลับนอนของผม และ ถ้า ผ่านจากแคร่ที่ผมต้องนอนที่นี่แล้ว ก็จะเป็นคอกหมู ซึ่งจะเป็นแม่หมูตัวใหญ่ๆ ๕-๖ ตัว

          ผมขนสัมภาระของผมทั้งหมด ไปวางไว้ที่บนแคร่ตัวนั้น ได้ยินเสียง น้าฟ้าพูดว่า เก้ว นอนที่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยขยับขยายกันต่อไป ผมได้มองเห็นสถานที่อย่างนี้มันเหมือนกับว่ามันไม่ได้เป็นที่อยู่ของคนเลย ผมอยู่ที่บ้านเจ็ดเสมียนของผมนั้น ถึงแม้ว่าครอบครัวของผมจะไม่ร่ำรวยอะไร แต่ก็อยู่กันได้อย่างดี และอบอุ่นพอสมควร แต่นาทีแรกเมื่อตอนที่ผมได้รู้ว่าต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมแทบจะร้องไห้ อยากจะกลับบ้าน สถานที่นี้ไม่ดีเลย มันไม่เหมาะกับผม และทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่า

         

        

นายแก้วกับน้อง สองคน ถ่ายที่ริมแม่น้ำแม่กลอง ก่อนที่จะไปอยู่ที่บ้านโป่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗(1954)

          น้าฟ้าพูดว่า มาอยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว มีงานอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ประเดี๋ยวธันวา และเปี๊ยกก็กลับมาแล้ว เวลานี้กำลังไปเข็นข้าวหมูที่ตลาดอยู่ ทำให้ผมรู้ว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่มีน้าฟ้าอยู่คนเดียว เหมือนกับที่ผมสงสัยไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทีแรกผมคิดว่ามันต้องมีคนอื่นๆอีกหลายคนเป็นแน่ และก็เป็นจริง เพราะว่าบ้านหลังนี้นอกจากมีน้าฟ้าแล้ว ยังมีธันวา กับเปี๊ยก อีกสองคนด้วย แต่เขาเป็นใคร เป็นอะไรกับน้าฟ้า ตอนนั้นผมยังไม่รู้
         

        ยังมีคำถามที่ยังคาอยู่อีกหลายอย่างที่ผมอยากรู้ เช่น นายตุยเป็นอะไรกับน้าฟ้า จึงได้เอาผม มาอยู่ที่บ้านนี้ได้ น้าฟ้าอยู่ที่บ้านหลังนี้มีอาชีพทำอะไร คำถามที่ยังตอบไม่ได้เดี๋ยวนี้ ท่านผู้อ่านติดตามไปเรื่อย ทุกอย่างจะค่อยๆคลี่คลายออกมาเองครับ
          น้าฟ้าบอกผมว่าอยู่ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน อาจจะหมายความว่า ให้ผมช่วยกันทำงาน มีอะไรก็ช่วยกันหยิบฉวย เท่าที่จะช่วยได้เหมือนกับที่แม่ผมสอนมาจากบ้านเจ็ดเสมียน ก่อนออกรถมาเมื่อวานนี้ว่า อย่าอยู่นิ่งดูดาย ให้ช่วยเขาหยิบฉวยเท่าที่เราจะทำได้ และผมก็รับปากมาแล้ว

         ผมบอกน้าฟ้าว่า ครับๆ ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ถ้าน้ามีอะไรให้ผมหยิบให้ผมจับ ทำอะไร ผมจะทำให้เท่าที่ผมจะทำได้นะครับ  น้าฟ้าว่า ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว อยู่ไปนานๆก็จะค่อยๆรู้ไปเองแหละนะ ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วน้าฟ้าก็ปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพัง มองๆดูน้าฟ้าคนนี้คงจะเป็นคนดีพอสมควร ดูการพูดจานิ่มนวล กิริยาหรือก็บ่งบอกว่าไม่ใช่คนต่ำต้อยอะไรนัก นี่ดูอย่างผิวเผินนะ แต่จริงๆจะเป็นอย่างไรนั้นดูเฉยๆ ดูไม่ออกหรอกครับ ต้องรอระยะเวลาสักหน่อยก่อน
          

          ผมขนเอาของมากองตรงแคร่นั้น แล้วนึกในใจว่า ถ้าลุงตุยมาผมจะต้องบอกให้เขาซื้อตู้ พลาสติกที่ใช้สำหรับแขวนเสื้อ และเก็บผ้าให้สักใบ ส่วนของอื่นๆ ที่พอจะกองบนแคร่นั้นได้ก็วางไปก่อน เช่น ขันตักน้ำสบู่ ยาสีฟัน และของจุกจิกอย่างอื่น ส่วนหีบหนังใบขนาดเขื่องของผม ที่แม่ผมใส่เสื้อผ้าแล้วพับมาให้นั้น ผมเอาวางไว้ริมๆแคร่ใกล้หัวนอน  ส่วนของอย่างอื่นผมก็เอากองๆไว้บนแคร่นี้ก่อน คิดในใจว่า ต่อไปมันก็คงเข้าที่เรียบร้อยของมันไปเอง
          

         เสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาจากตัวบ้าน มาสูดอากาศที่ริมถนนลูกรัง เพราะภายในบ้านนั้นอับทึบ และได้กลิ่นขี้หมูโชยมาเกือบตลอดเวลา ดงมะพร้าวนั้น อยู่ตรงข้ามกับบ้านหลังนี้นี่เอง เขาปลูกต้นมะพร้าวนั้นชิดกันมากแต่ก็ขึ้นเป็นแถว เป็นแนว เป็นระเบียบ โดยรอบๆดงมะพร้าวนี้กว้างมาก มีถนนที่ผมคิดว่าคงจะเชื่อมติดต่อกันรอบๆดงมะพร้าวนี้ได้ ก็มีบ้านเรือน ปลูกกันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน และผมสังเกตเห็นว่า มีทางเดินเป็นเส้นเล็กๆหลายๆเส้น ตัดเป็นทางเดิน เข้าไปสู่ดงมะพร้าว และตัดดงมะพร้าวไปออกทางด้านโน้น ทางเล็กๆนี้ เป็นทางสำหรับเดิน และจักรยานก็ไปได้ แต่รถยนต์ผ่านไม่ได้
          ผมเพิ่งได้มองชัดๆตอนนี้เองว่า ยังมีบ้านติดๆกับบ้านน้าฟ้านี้เป็นพืดไปหลายหลัง ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านชั้นเดียวทั้งสิ้น ถนนเส้นที่ผ่านบ้านเหล่านี้ไปจะโค้งไปทางด้านหลังจนถึงทางรถไฟ แล้ววิ่งขนานกับทางรถไฟไปถึงไหนๆอีกก็ไม่รู้
         

          โรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย ที่ผมจะไปเรียนนี้ก็อยู่ ตรงกันข้ามกับบ้านน้าฟ้าที่มาอาศัยอยู่นี้ เพียงแต่ข้ามทางรถไฟไปเท่านั้น ก็จะถึงโรงเรียนแล้ว ดูเหมือนว่ามันใกล้นิดเดียว ผมก็ยังขอบคุณ ลุงตุย อยู่ในใจว่าแกให้ผมมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ก็เพราะว่ามันใกล้โรงเรียนดีนั่นเอง
          เย็นแล้ว ผมก็ยังเดินเข้าเดินออกบ้านหลังนี้อยู่ น้าฟ้าแกก็เข้าครัวทำกับข้าวของแกไป ไม่ได้คุยกับผมอีก สักพัก ผมได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเสียงรถบรรทุกของ มาจอดตรงหน้าบ้าน แล้วได้ยินเสียงคนคุยกัน เหมือนจะเกี่ยงกันให้ทำอะไรกันสักอย่าง เสียงน้าฟ้าพูดขึ้นมาจากในครัวว่า นั่นไง เก้ว พวกธันวา และเจ้าเปี๊ยกเขามาแล้ว เขาไปเข็นข้าวหมูมาจากร้านค้าในตลาด ผมได้ยินแล้ว ผมจึงเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน

         เห็น เด็กผู้ชาย สองคน โตไม่เท่ากัน กำลังช่วยกันยงโย่ ยกปี๊บที่มีเศษอาหารอยู่เต็มเข้ามาในบ้าน น้าฟ้าพูดขึ้นมาอีกว่า ต่อไปเวลาเขาไปเทข้าวหมูที่ในตลาดก็เดินไปดูกับเขาด้วยนะ บางทีจะให้ช่วยไปเทบ้าง 
        

          ข้าวหมูนี้ เป็นเศษอาหารที่ตามร้านอาหาร และร้านค้าตามตึกแถวต่างๆในตลาดบ้านโป่งนี้ เขาเททิ้งแล้ว และลุงตุยได้ไปพูดกับเขาไว้ว่า จะขอเศษอาหารที่ทิ้งแล้วเหล่านี้ไปให้หมูกิน เป็นการทุ่นค่าอาหารของหมูเป็นอย่างมาก แล้วลุงตุยก็จะให้เงินบ้าง และบางทีในวันเทศกาลก็จะมีของขวัญ และขนมต่างๆสำหรับเด็กๆบ้างไปให้เขาเป็นการตอบแทน
 คนในตลาดและตึกแถวแทบทุกร้านจะรู้จักกับ ลุงตุย กันเป็นอย่างดี จึงได้ให้ความร่วมมือ มีเศษอาหารที่เหลือๆก็จะเทใส่ปี๊บไว้ให้ทุกๆวัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเด็กสองคนนี้ที่จะไปเทข้าวหมูที่ในตลาดแทบทุกวัน
          ผมยืนมองดูเด็กชายสองคนนั้นช่วยกันยกปี๊บ ที่ใส่เศษอาหารประมาณ ๖ ปี๊บซึ่งเรียงกันอยู่บนรถสาลี่คันนั้น และทยอยกันยกเข้าไปที่ในบ้านกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินตามเข้าไปในบ้าน น้าฟ้าพูดว่า นี่ๆ ธันวา เปี๊ยกฟังแม่บอกนะ  นี่นายเก้ว เป็นลูกของเพื่อนลุงเขา จะมาอยู่กับเรา รู้จักกันเสียนะ สองคนนั้นก็พยักหน้า ยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร น้าฟ้าให้ผมเรียกธันวา ว่าพี่ ผมก็ยินดี เพราะธันวานั้น แก่กว่าผมสัก ๒ หรือ ๓ ปีเห็นจะได้ ส่วน เปี๊ยกนั้น อ่อนกว่าผม ๑ ปีเท่านั้น
          มืดค่ำแล้ว คืนแรกที่ผมต้องมานอนบ้านหลังนี้ มันฉุกละหุกยุ่งเหยิงสิ้นดี ผมอาบน้ำในที่อาบน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับคอกหมู บ้านนี้มีห้องอาบน้ำ ซึ่งใช้ไม้ฝาตีเป็นห้องๆสองห้อง  หลังคามุงสังกะสีลอนใหญ่ ที่ว่าเป็นสองห้องนั้นก็คือ เป็นส้วมเสีย หนึ่งห้องและอีกห้องหนึ่งนั้นเป็นห้องน้ำ ในห้องน้ำนั้น มีสบู่ยาสีฟันวางอยู่เกะกะ ผมได้เตรียมขันและสบู่ส่วนตัวมาด้วย มิฉะนั้นผมจะอาบน้ำโดยไม่มีสบู่ถูตัวแน่ๆเลย เพราะสบู่ในห้องน้ำนั้น เหลือก้อนนิดเดียว ส่วนน้ำนั้นได้จากบ่อน้ำที่เขาขุดลึกมาก อยู่ใกล้ๆ กับคอกหมูและที่อาบน้ำนี้

         วิธีการที่จะเอาน้ำจากบ่อนี้มาใช้ได้คือ  ใช้กระป๋องหิ้วน้ำขนาดไม่ใหญ่นักโยนลงไปในบ่อ แล้วเหวี่ยงๆกระป๋องให้หน้ามันคว่ำลงไป พอกระป๋องนั้นจมลงไปดีแล้ว ก็จับเชือกสาวขึ้นมาจากบ่อ ซึ่งลึกประมาณสัก ๔ เมตรเห็นจะได้แล้วนำน้ำมาเทขังไว้ใน บ่อปูนซิเมนต์ สี่เหลี่ยมกว้างยาวสัก เมตรคูณเมตรเห็นจะได้ซึ่งอยู่ในห้องน้ำ วันนี้ที่ผมอาบน้ำนี้มีน้ำอยู่สักครึ่งหนึ่งของที่กักน้ำนี้เท่านั้น ผมคิดในใจว่า ตัวผมเองนี้จะต้องได้ตักน้ำขึ้นมาให้พวกเขาอาบบ้างเป็นแน่ แต่ตอนนี้คงเป็นหน้าที่ของ พี่ธันวา หรือเปี๊ยกก็ไม่รู้แน่
          ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว น้าฟ้าจึงเรียกให้ผมไปกินข้าวในตอนนี้มืดพอดี  ซึ่งมื้อนี้เราจะกินข้าวพร้อมกันกับ ลูกชายของเขาทั้งสองคนด้วย กินกันไปก็คุยกันไป ธันวากับเปี๊ยกก็ถามและคุยกับผมเหมือนสนิทกันเป็นอย่างดี จากการคุยกันนี้ ทำให้ผมได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง เกี่ยวกับครอบครัวนี้ 
         เรื่องของน้าฟ้านี้ ผมเรียบเรียง ขึ้นมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงความเป็นมาของคนในครอบครัวที่ผมมาอยู่ด้วยนี้ เรื่องนี้ผมฟังมาจากพ่อของผม เล่าให้ฟังอีกที เมื่อผมได้มาอยู่ที่ดงมะพร้าวนี้และตอนหยุดเทอม ผมได้ไปพักอาศัยอยู่กับพ่อของผมที่โรงเลื่อย ปากแรด เมื่อเปิดเทอมแล้ว ผมจึงได้กลับมาอยู่กับน้าฟ้าที่ดงมะพร้าวเหมือนเดิม โดยไม่ได้กลับไปหาแม่ของผมที่เจ็ดเสมียนเลยตลอดที่ผมมาเรียนที่บ้านโป่งนี้
       

         เรื่องราวของน้าฟ้าเป็นดังนี้  น้าฟ้าเป็นคนปักษ์ไต้ เป็นคนอำเภอ ร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช น้าฟ้าเป็นสาวชาวไต้ อยู่กับบ้านมาตั้งแต่เกิด จนเป็นสาวจึงได้แต่งงานไปกับคนในละแวกเดียวกัน ชื่อนายชัย อยู่กินกันมาอย่างมีความสุข จนกระทั่งมีลูก ชายสองคน เป็นผู้ชายทั้งคู่คนโตคือนาย ธันวา คนเล็กคือ นายเปี๊ยก ชื่อจริงๆเขาก็มี แต่เรียกกันว่าเปี๊ยกก็แล้วกัน 
         ชีวิตของครอบครัวนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่มีเรื่องอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจ พ่อบ้านก็ออกจากบ้านไปทำงานในอาชีพของเขาทุกวัน  เขามีอาชีพเป็นช่างไม้ฝีมือดี ประจำหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านแห่งนั้นจึงได้มาว่าจ้างให้เขามีงานทำทุกวัน  ส่วนน้าฟ้านั้นก็อยู่บ้าน มีอาชีพเป็นแม่บ้าน ทำงานที่บ้านไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง และเป็นผู้ดูแลลูกทั้งสองของแกด้วย  ครอบครัวนี้มีความสุขตามประสาพ่อแม่ลูกตลอดมา
          แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ในตอนเช้าของเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว ก่อนที่นายชัย จะออกจากบ้านไป ได้พูดกับน้าฟ้า ว่า วันนี้อาจจะกลับค่ำสักหน่อยเพราะว่าจะไป ช่วยงานทำบุญบ้านของเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในตัวอำเภอ ก่อนไปนี้จะไปสั่งงานลูกน้อง ที่หน่วยงานก่อนแล้วก็จะเลยไปเลย น้าฟ้าได้ยินดังนั้นก็บอกว่า ไปเหอะ ถ้ากลับค่ำมากฉันกินข้าวกันก่อนนะจะไม่รอ กินข้าวจากข้างนอกมาก็แล้วกัน แล้วนายชัยก็ออกจากบ้านไป

          ในวันนั้นจนค่ำมากแล้ว นายชัยก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน แต่ก็ไม่ทำให้น้าฟ้าแกสงสัยแต่ประการใด จนกระทั่งรุ่งเช้า นายชัยก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน จนน้าฟ้าแกชักจะเอะใจ จึงได้ออกจากบ้านไปดูตามหน่วยงานที่ นายชัยแกรับงานอยู่ พบลูกน้องนายชัย บอกว่า เมื่อวานนี้ในตอนเช้า ลูกพี่ก็มาสั่งงานไว้ แล้วก็บอกว่าจะไปธุระ ยังกำชับพวกผมเลยว่าให้เร่งๆงานกันเข้าหน่อย จะได้รีบส่งงานแล้วก็จะได้เบิกเงินมาใช้จ่ายกัน  แล้วแกก็ออกจากที่นี่ไป
          จากวันนั้นไม่มีวี่แววของนายชัยเลย น้าฟ้าแกก็พยายามตามหาไปทุกที่ๆนายชัยเคยไป และได้แจ้งความไว้กับสถานีตำรวจให้ช่วยติดตามให้ด้วย แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งหลายปีผ่านมา เรื่องเหล่านี้ก็ค่อยๆหายไปจากความทรงจำของน้าฟ้าแล้ว ข่าวคราวต่างๆของนายชัย สามีของน้าฟ้าก็ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าแกหายไปตั้งแต่วันนั้นได้อย่างไร จนกระทั่งคิดว่าแกหายสาบสูญไปแล้ว
         

         จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้ว มีคนญาติของน้าฟ้าคนหนึ่ง ได้ชวนน้าฟ้าให้ขึ้นไปทำงานกันที่บ้านโป่ง ไปเป็นแม่บ้านให้กับฝรั่งครอบครัวหนึ่ง ฝรั่งคนนี้เป็นนายช่างเกี่ยวกับการขุดเจาะน้ำบาดาล ให้กับกรมอะไรสักอย่างที่มาอยู่ที่บ้านโป่ง น้าฟ้าคิดดูแล้วทีแรกก็ลังเล ต่อมาก็เห็นดีด้วย ถ้าขืนยังอยู่ที่บ้านก็จะแย่ เพราะจะไม่มีรายได้อะไรที่พอจะเลี้ยงครอบครัว และพอที่จะส่งลูกๆเรียนได้ และอีกอย่างญาติคนนี้ก็เป็นญาติสนิท คงไม่ได้มาหลอกเราแน่นอน ลองเสี่ยงดูก็แล้วกัน
          ดังนั้นในชั้นแรกน้าฟ้าก็มาที่บ้านโป่ง กับญาติสนิทคนนั้นก่อน คิดว่ามาดูลู่ทางถ้าดีแล้วก็จะลงไปรับลูกๆมาอยู่ด้วยและมาเรียนที่บ้านโป่งนี้เสียเลย  จากวันนั้นมาเป็นเวลาหลายเดือน น้าฟ้าก็ทำงานเป็นแม่บ้านและทำครัว ให้ฝรั่งครอบครัวนั้นจนเป็นที่รักใคร่ไว้ใจในตัวน้าฟ้าเป็นอันมาก และน้าฟ้าก็จะพักอยู่ที่เรือนเล็กภายในรั้วของบ้านหลังนี้เลย

         เกือบทุกวันน้าฟ้าก็จะเข้าตลาดสดเพื่อมาจ่ายกับข้าวไปประกอบอาหารให้ฝรั่งกิน ส่วนฝรั่งนั้นก็มาอยู่เมืองไทยทั้งครอบครัวนานแล้ว และกินอาหารไทยเป็นกันทุกคน จึงไม่ลำบากอะไรในการที่น้าฟ้าจะมาเป็นแม่ครัวและแม่บ้านที่บ้านพักของฝรั่งริมแม่น้ำแม่กลองนี้
         

         ไม่นานนัก นายตุย ที่เป็นเพื่อนกับพ่อของผม และผมเรียกแกว่า ลุง นั้น ก็ได้มารู้จักและสนิทสนมกับน้าฟ้า จนถึงขั้นได้เสียกัน และรับเลี้ยงดูกันในที่สุด ปัจจุบันนี้ น้าฟ้าก็คือ ภรรยาคนหนึ่งของนายตุยนั่นเอง เพื่อไม่ให้เกิดศึกสงครามกับภรรยาที่มีอยู่แล้ว ที่ร้านขายทอง นายตุยก็เลย เช่าที่ดินเขาที่ข้างดงมะพร้าว แล้วปลูกบ้านเล็กๆชั้นเดียวซึ่งเป็นบ้านปัจจุบันนี้ ให้น้าฟ้าอยู่ด้วยความสุขตลอดมา 
        

         และเมื่อปีที่แล้วนี่เอง น้าฟ้าเห็นว่าพอเป็นหลักแหล่งดีแล้ว ก็ลงไปไต้ แล้วรับลูกชายทั้งสองให้ขึ้นมาอยู่ด้วยกันเสียที่บ้านโป่งนี้ แล้วให้เรียนหนังสือด้วย คือ นายธันวานั้น ไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียน รัตนราษฎร์บำรุง ในชั้นมัธยมปีที่ ๒ จะขึ้นชั้น ม. ๓ ในปีนี้ ส่วนนายเปี๊ยกนั้นปีนี้ อยู่ชั้น ป. ๔ ที่โรงเรียนจีน มีสอนภาษาไทยด้วย ข้างๆดงมะพร้าวนั่นเอง เรื่องที่พ่อผมเล่าให้ผมฟังนี้ คงจะได้ฟังจากนายตุยอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นการเล่าต่อๆกันมา อาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง เป็นธรรมดาของเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาทั้งหลาย

        

         

เมื่อได้มาอยู่ที่บ้านโป่งนี้แล้ว ก็หวลคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงเด็กรุ่นน้องอีกหลายรุ่นที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนแห่งนี้ แถวยืนที่อยู่ตรงกลางตัวเล็กที่สุดนั้น ปัจจุบันนี้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ ตำบลเจ็ดเสมียน คือคุณ กรรณิกา ณ บางช้าง ครับ

         เมื่อกินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็บอกน้าฟ้าว่า ผมต้องไปดูที่หลับที่นอนก่อน แล้วจะลองกางมุ้งดูว่าจะกางได้หรือเปล่า ผมเอาเสื่อที่พับได้ผืนใหญ่ที่ซื้อมาจากในตลาด มาปูลงบนที่แคร่ไม้ไผ่ตัวนี้ มันก็ปูได้ไม่ค่อยพอดีนัก มันผืนใหญ่กว่าแคร่ไม้ใผ่นั้นนิดหน่อย แต่ก็พอใช้ได้แล้วผมจึงไปลองกางมุ้งที่ซื้อมาใหม่ดูว่าจะกางอย่างไรได้บ้าง อีกด้านที่อยู่ชิดกับข้างฝานั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่อีกด้านหนึ่งนั้น ต้องต่อเชือกเสียยาว มากๆจึงจะโยงถึงกันได้ แล้วผมก็กางมุ้งจนสำเร็จ โดยการช่วยเหลือของพี่ธันวา และนายเปี๊ยก ที่คอยช่วยเหลือผมมาตั้งแต่ต้น

         และคิดว่า กางมุ้งอย่างนี้ไปคืนหนึ่งก่อนก็แล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดแก้ไขเสียใหม่ ผมคิดว่าจะหาไม้รวกสัก ๒ ลำ มาทำเป็นเสาแล้วคิดว่าจะกางมุ้งได้สะดวกยิ่งขึ้น นี่ถ้าผมอยู่ที่บ้านที่เจ็ดเสมียนนะ ผมก็ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้เลย เพราะทุกอย่างแม่ผมจะทำให้ทั้งหมด คิดๆแล้วคิดถึงแม่ คิดถึงน้องๆ คิดถึงเพื่อนๆที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนเสียจริงๆ  เรื่องอะไรจึงต้องให้ผมมาลำบากอย่างนี้ด้วย ทั้งๆที่ผมก็ยังเด็กอยู่มากๆ ไม่ทันไรก็เอาผมมาปล่อยเสียแล้ว มันคงลำบากมากสำหรับผม

                                 แล้วมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะออกผจญภัยโดยลำพัง พ่อแม่ของผมจะรู้หรือเปล่า ..........!

 

                                                    โปรดติดตามตอนต่อไป  น้าฟ้า  ในเร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้123
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้619
เดือนนี้13537
ทั้งหมด1343421

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online