น้าฟ้า (สลัมข้างดงมะพร้าว)

น้าฟ้าสลัมข้างดงมะพร้าว

เรื่องราวของชาวเจ็ดเสมียน        

          ในวันแรกที่ผมได้มาอยู่ที่บ้านโป่งนี้ ตั้งแต่เช้าเป็นต้นมา ที่ผมกับพ่อของผม รีบร้อนกันไปสมัครเข้าเรียน ที่โรงเรียนสารสิทธิฯ  จนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จนถึงเวลานี้ เป็นหนึ่งวันเต็มๆทีเดียวที่ผม ต้องทำอะไรหลายอย่าง จึงทำให้ผมปวดเมื่อยตัวมากๆ เหมือนๆจะเป็นไข้เอาทีเดียว ตัวก็เมื่อย มิหนำซ้ำขาก็เมื่อย เพราะเดินมาก เดินตลอดวัน
 เวลานี้ก็มืดแล้ว สักประมาณทุ่มครึ่งเห็นจะได้ พวกธันวา และเปี๊ยกเพิ่งจะอาบน้ำกัน ผมได้ยินเสียงน้ำ ซู่ๆ ในตอนนั้นผมอยากจะเอนหลังลงไปนอนเสียแล้ว เนื่องจากไม่เคยทำอะไรทั้งวันขนาดนี้มาก่อน  ผมจึงเอนตัวลงนอนบนแคร่ไม้ซึ่งกางมุ้งไว้แล้ว

          ในบ้านหลังนี้ มีไฟนีออน เพียงสองดวงเท่านั้น คือที่กลางบ้าน และที่เหนือประตูที่จะออกไปยังคอกหมูอีกหนึ่งดวง และที่ห้องน้ำ ก็มีไฟเป็นหลอดแก้วกลมๆ ประมาณ ๒๐ แรงเทียนซึ่งไม่ใช่ไฟนีออน อีกหนึ่งดวงเท่านั้น สรุปแล้วในวันนี้ สิ่งแวดล้อมต่างๆของบ้านหลังนี้ และบ้านใกล้เรือนเคียงอีกหลายหลัง ที่ติดต่อกันเป็นพืดไปตามถนน จนถึงทางรถไฟ นั้นผมก็ยังไม่รู้จักและในวันแรกที่ผมเพิ่งมาถึงนี้ ผมยังไม่ได้เดินผ่านไปทางนั้นเลย
            

        ผมบอกน้าฟ้า เมื่อตอนที่น้าฟ้าเดินผ่านแคร่ไม้ที่นอนของผม ไปยังห้องอาบน้ำเพื่อจะไปอาบน้ำนั้น ผมบอกน้าฟ้าว่า น้าผมขอพักผ่อนก่อนละนะ วันนี้เมื่อยเหลือเกิน น้ามีอะไรที่จะบอกผม และจะแบ่งหน้าที่ให้ผมทำอะไรบ้าง พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะค่อยบอกผม ผมขอนอนก่อนละ เสียงน้าฟ้าว่า เออ นอนเถอะ นอนเถอะ กรากกรำมาทั้งวันแล้วนี่ 

คนเจ็ดเสมียน เพื่อนผมทั้งนั้น

          ผมเล่าให้ทราบแล้วว่า บ้านชั้นเดียวเตี้ยๆ หลังนี้ กั้นห้องไว้เพียง ๒ ห้องเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นของ น้าฟ้าเสียห้องหนึ่ง และอีกห้องหนึ่งนั้น เปี๊ยกและพี่ธันวาของนายเปี๊ยก นอนด้วยกัน เมื่อมีผมเพิ่มมาอีกคนหนึ่งโดยกะทันหันเช่นนี้ ผมจึงไม่มีห้องที่จะนอน จึงต้องนอนที่แคร่ไม้ไผ่ไปก่อน ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว


          ธันวากับเปี๊ยกนั้นเขาอาบน้ำกันเสร็จตั้งนานแล้ว และเงียบเสียงไป  เขาคงเข้าไปในห้องนอนกันแล้วกระมัง จึงไม่ได้ยินเสียงเลยทีแรกผมก็คิดว่า สองคนพี่น้องนี้จะมาคุยกับผมแต่ก็เปล่าเลย น้าฟ้าเดินผ่านมาตอนที่ผมยังไม่หลับ ผมถามน้าฟ้าว่า ธันวากับเปี๊ยก ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย เข้าห้องนอนกันแต่วันเลยหรือ น้าฟ้าบอกว่า มันไปอยู่ที่ร้าน โต๊ะเตะบอลนั่นแหละ ไม่รู้อะไรของมัน มันบ้าของมันใหญ่แล้วและก็เปลืองสตางค์ด้วย  ขอสตางค์ไม่ได้หยุด    อ้อ.....!    ทำให้ผมรู้ว่า ธันวา กับ เปี๊ยกไม่อยู่นั่นเอง จึงไม่ได้ยินเสียงเลย
          คิดไปอีกทีหรือว่านายธันวากับนายเปี๊ยกนั้น เขาอาจจะไปคุยอยู่ที่บ้านเพื่อนของเขาก็ได้ เหมือนกับผมที่เคยอยู่ที่บ้านเจ็ดเสมียน ตอนหัวค่ำมักจะนอนไม่ค่อยได้ ต้องออกไปหาเพื่อนๆ เช่น ไอ้ ธร ไอ้อู๊ด เพื่อคุยเฮฮากันเสียก่อน เสร็จแล้วจึงได้กลับมานอน ดังนั้นนายธันวาและนายเปี๊ยกคงจะไม่ได้ไปที่ โต๊ะเตะบอลอย่างที่น้าฟ้าว่าก็ได้
         

       

                          คิดถึงต้นก้ามปูใหญ่ ที่กลางตลาด หน้าบ้านเป็นอย่างยิ่ง

         ก่อนที่ผมจะม่อยหลับไปในค่ำวันนั้น ผมคิดถึงบ้านและสิ่งต่างๆที่เพิ่งผ่านมาที่เจ็ดเสมียน  แม่ผมยังสอนผมให้ทำตัวให้ดี และมีอะไรก็ช่วยเหลือเขาให้เต็มที่ อย่ามองดูอยู่เปล่าๆ ผมก็รับปากกับแม่ผมมาแล้วจะปฏิบัติตัวตามนี้ให้ได้ อย่าห่วงเลย แต่แม่และพ่อของผม อาจคาดคิดผิดก็ได้ และคาดไม่ถึงว่าจะต้องมาอยู่บ้านอย่างนี้ แทนที่จะอยู่ที่ร้านทองอย่างสบาย พ่อของผมก็ยังไม่รู้นะนี่  ว่าผลสุดท้ายก็ต้องมาอยู่ที่นี่              

         ผมคิดถึงครูประวิทย์ ไทยแช่ม ครูของผมที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ซ้ายสุดครับ

               เรื่องของน้าฟ้านั้นจะขอคุยอีกนิดหนึ่งก่อน สำหรับน้าฟ้านั้น เมื่อได้กับนายตุยแล้ว ก็ยังทำงานที่บ้านฝรั่งนั้น อีกเป็นเวลานาน เพื่อเห็นแก่นานตุยที่ขอร้องให้มาอยู่บ้านเฉยๆ และจะได้มีเวลามาดูลูก ๒ คนนี้ด้วย จึงได้ลาออกจากงานที่บ้านฝรั่ง แล้วก็มาอยู่ที่บ้านชั้นเดียวหลังนี้ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้  ขณะนั้นนายตุย อายุเข้า ๓๙ ปี และน้าฟ้าก็อายุ ๓๕ปีพอดี
          จึงเป็นอันว่า น้าฟ้าไม่ได้ทำงานทำการอะไร อยู่บ้านเฉยๆเลี้ยงแม่หมูไว้ขายลูกมัน ๕-๖ ตัวเท่านั้น นายตุยก็จะมาหาเอาเงิน มาส่งเสียให้ได้กินอยู่อย่างสม่ำเสมอ และยังส่งให้ลูกชายทั้งสองของน้าฟ้าได้เข้าเรียนหนังสือด้วย สำหรับลุงตุยเพื่อนของพ่อผมนั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านทองแต่อย่างใด แต่เป็นของพ่อตาแม่ยายของลุงตุย เท่ากับว่าลุงตุยเป็นลูกเขยร้านทองเท่านั้น

        เช้าแล้วผมตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความเมื่อยขบตามร่างกาย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย เพียงแต่ว่าเมื่อวานนี้ ตั้งแต่เช้ายันเย็นไปโน่นมานี่ ไม่ได้หยุดเท่านั้นเอง  เห็นธันวาและเปี๊ยก ตื่นก่อนแล้ว และกำลังให้อาหารหมูอยู่ ผมรีบผลุดลุกขึ้นนั่งแล้วมุดออกไปจากมุ้ง แล้วรีบเก็บมุ้ง พันไว้คร่าวๆวางไว้บนแคร่รวมทั้งผ้าห่มและหมอนด้วย
        เช้าวันนี้ลุงตุยมาที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เช้า ลุงตุยนี้ผมมารู้ในตอนหลังว่า เขาก็ไม่ค่อยได้มาค้างคืนที่บ้านนี้บ่อยๆนัก หรืออาจจะไม่ได้มาค้างคืนเลยก็ได้ ลุงตุยเห็นผมกำลังยืนดู ธันวา และเปี๊ยก ช่วยกันเทอาหารให้หมูอยู่ จึงเดินมาหาผมแล้วถามผมว่า เป็นไงเก้ว เมื่อคืนนี้นอนหลับดีไหม  มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมบอกว่า เมื่อวานนี้ไปไหนต่อไหน หลายที่เมื่อยมาก ก็เลยนอนหลับเป็นตายเลย พอเช้าวันนี้ผมก็เลยตื่นสาย แล้วลุงตุยหัวเราะ
          แล้วผมก็บอกลุงตุยว่า ผมต้องการ ตู้เสื้อผ้าสักลูกหนึ่ง เป็นตู้ไม้ หรือจะเป็นตู้แบบพล๊าสติกก็ได้ แล้วก็ที่นอนที่เป็นฟูกไม่ต้องให้หนามากก็ได้ เป็นแบบที่พับเป็นสามตอนได้ด้วย จะได้พับเก็บง่ายๆ  เมื่อคืนนี้ผมนอนเจ็บหลังมากเลย แต่ก็นอนหลับดี แบบเมื่อยมากน่ะ ขอให้ลุงตุยช่วยหาซื้อให้ผมด้วย   ลุงตุยก็รับปากว่าจะซื้อมาให้ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้เป็นอย่างช้า ส่วนเงินที่จะซื้อของเหล่านี้นั้น ลุงตุยบอกว่า พ่อของผมให้ไว้กับลุงตุยแล้ว เพราะคิดว่าจะต้องมีการซื้ออะไรเพิ่มเติมอีกแน่ๆ  ผมสังเกตเห็นว่า ที่ผมคุยกับลุงตุยนี้ นายธันวา และนายเปี๊ยก  พยายามฟังอย่างตั้งใจจริงๆ
          ในขณะที่ลุงตุยคุยกับผมที่หน้าคอกหมูนั้น  น้าฟ้าก็เดินมาฟังด้วยตลอด แต่ไม่ได้ออกความเห็นใดๆเลย ลุงตุยคุยกับผมสักพักแล้วก็เลยเดินไปคุยกับน้าฟ้าที่ครัว ผมได้ยินแว่วๆคงจะเกี่ยวกับผมว่า ขอให้ดูแลผมให้ดีๆ อย่าให้มีเรื่องอะไรกับลูกทั้งสองคนของน้าฟ้า และขอให้เอาความยุติธรรมเข้ามาตัดสิน อย่าลำเอียงใดๆเด็ดขาด แล้วลุงตุยก็ยังพูดอะไรกับน้าฟ้าอีกนาน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ยินมากนัก ด้วยคำพูดของลุงตุยกับน้าฟ้าเพียงไม่กี่คำที่ผมได้ยินนั้น ผมมาคิดดูว่าทำไมลุงตุยจึงต้องมาสั่งน้าฟ้าไว้อย่างนั้น หรือว่าลูกของน้าฟ้าสองคนนั้นลุงตุยคงจะดูออกแล้วว่าเป็นอย่างไร
           อีกสองสามวันโรงเรียนก็จะเปิดแล้ว ในระยะนี้ผมไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าผมกำลังศึกษาและดูสองพี่น้องนั้นทำเป็นตัวอย่างให้ผมดูก่อน ในตอนบ่ายวันนี้ผมก็ได้มีโอกาส เดินตามนายธันวา กับนายเปี๊ยก ที่เข็นรถสาลี่บรรทุกปี๊บน้ำมันก๊าด ๖ ปี๊บ ไปเทข้าวหมูที่ตลาด นายธันวากับนายเปี๊ยกนี้ ตั้งแต่ผมมาอยู่ได้หลายวันแล้ว ก็คุยกับผมดีตลอด ยังไม่เห็นว่าจะมีวี่แววออกลายอะไรกับผมเลย อีกอย่างผมก็พูดคุยกับเขาดีๆ เหมือนญาติพี่น้องกันอยู่ตลอดเวลา

คิดถึงเด็กตลาดเจ็ดเสมียน ที่เคยกอดคอกันถ่ายรูป เป็นกลุ่มใหญ่ริมแม่กลอง แม่น้ำสายหลักของเรา

          ในตอนแรกๆนี้ สองคนนั้นเขายังไม่ให้ผมหัดเข็นรถสาลี่หรอกนะครับ เพียงแต่ให้ผมเดินตามไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้ไปดูว่า จะต้องไปเทข้าวหมู ที่ตรงไหน ที่บ้านหลังไหนบ้าง นายธันวาและนายเปี๊ยกก็คุยกับผมตลอดทางไม่หยุดปาก โดยมากมักจะถามเรื่องราวของผมเป็นส่วนใหญ่ เช่นถามว่า ทำไมผมจึงต้องมาเรียนที่บ้านโป่ง โรงเรียนที่ทางบ้านไม่มีหรือ  มีพี่กี่คน มีน้องกี่คน  ที่บ้านทำอะไร ผมยังคิดว่า จะถามทำไมก็ไม่รู้
           เราสามคนเดินคุยกันมาถึงตลาด ที่แรกที่นายธันวา นำผมมาเทเศษอาหาร ที่เขาทิ้งแล้ว หรือเรียกว่าข้าวหมูนี้ ก็ที่ร้านทองของลุงตุย ที่นายธันวา กับนายเปี๊ยกเรียกว่าลุงนั่นเอง พอถึงแล้ว ทั้งสองคนนั้นก็รีบหิ้วปี๊บเขาไปในครัว ถ่ายเศษอาหารจาก ภาชนะของเขาลงปี๊บแล้วก็หิ้วออกมาวางบนรถ แล้วก็เข็นรถไปยังที่อื่นต่อไป 
           แต่ในขณะที่นายธันวาและนายเปี๊ยก เข้าไปถ่ายเศษอาหารนั้น นายยงยุทธ ลูกชาย ของลุงตุยก็เข้ามาทักผม ว่า เป็นไงพออยู่ได้ไหม ที่บ้านนั้นน่ะ ผมตอบนายยุทธไปว่า ก็อยู่ได้นะยังไม่มีอะไร ที่ลำบากใจ และหนักใจเลย เสียงนายยุทธพูดขึ้นว่า อ๋อ ในตอนแรกๆนี้ก็คงไม่มีอะไรหรอก หัดทำงานช่วยเขาไปเรื่อยๆก็แล้วกัน  ถ้ามีอะไรเดือดร้อนในใจก็มาบอกเรานะ เราจะบอกเตี่ยเราให้
        ตอนที่ผมจะออกมาจากบ้านลุงตุยนั้น ยงยุทธยังมากระซิบบอกผมว่า  ให้ระวังไอ้สองคนนั้นให้ดีๆนะ ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงต้องมีปัญหาแน่ๆ เราอยู่นี่รู้จักพวกมันมานาน เรารู้ดี ทำให้ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างเป็นแน่ และรู้ด้วยสัญชาติญาณ ว่า นายยงยุทธคงจะไม่ถูกกับลูกน้าฟ้าสองคนนั่นแน่ๆเลย อาจจะพูดให้ร้ายสองคนนั่นให้ผมฟังก็ได้ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป
          

สังคมของชาวเจ็ดเสมียนอยู่ กันอย่างสามัคคีครับ 

หลานเนม - อาทิตย์ 30 พฤศจิกายน 2008 15:34

                                                          ย่าอุ้มพ่อ เห็นช้างน้อยหมดเลย >//<

      

          ในขณะที่เราสามคนเดินห่างออกมาจากห้องตึกแถวของลุงตุยไกลแล้ว  นายธันวา ถามผมว่า เมื่อตะกี้เห็นคุยอะไรกันกับไอ้ยุทธมัน ผมบอกว่าก็ไม่มีอะไรคุยกันธรรมดาเท่านั้น นายเปี๊ยกบอกว่า ถ้ามีโอกาสจะเอาให้แสบเลยไอ้ห่านี่ ผมว่า อ้าวไม่ถูกกันหรอกหรือ นายธันวาว่า ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าไม่ได้ยุ่งกันเท่านั้น และไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร ดูมันสิ มันก็เหมือนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ยังเป็นอย่างนี้ไปได้

          ในวันนั้นพวกผมสามคนเดินเข็นรถสาลี่ไปเทข้าวหมูกันเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้น ก็ได้เศษอาหารเต็มหมดทุกปี๊บ จากนั้นเราก็เข็นรถกลับบ้านกัน ผมได้ยินน้าฟ้าพูดเรื่องเศษอาหาร ที่เราไปเอามานี้ ถ้าได้มากๆ เราก็จะทุ่นค่าอาหารหมูไปมากทีเดียว แต่บางทีก็ต้องต้มปลายข้าวให้มันกินด้วยบ้าง
     

          ขอกล่าวในเบื้องหลังเรื่องของครอบครัวนี้เสียสักหน่อย หลายเดือนต่อมา เรื่องต่างๆจึงได้กระจ่างขึ้น จากการบอกเล่าของ ผู้คนที่ผมจะเริ่มรู้จักขึ้นเรื่อยๆ ผมจะเล่าล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปนิดหนึ่งก่อนเพื่อให้การอ่านของท่านสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือลุงตุยผู้นี้ก่อนจะมาได้กับน้าฟ้านั้น มีลูก ๒ คนคือ นายยงยุทธ ซึ่งเป็นคนโต อายุก็เท่าๆกับผมรุ่นราวคราวเดียวกัน  ต่อมาเป็นเด็กหญิง คือ สุมาลี อ่อนกว่ายงยุทธ ๒ ปี
           ส่วนทางน้าฟ้าที่มาได้กับลุงตุยนั้นเล่าก็พาลูกติดมาด้วย ๒ คน ที่เกิดกับนายชัย  ซึ่งหายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อ ๕ ปีก่อนนั้น เช่นกัน เป็นชายทั้งสองคนดังที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อใดที่เด็กๆเหล่านี้เจอกัน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มักจะมีเรื่องเกิดขึ้นเสมอ ทั้งๆที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ได้บอกและอธิบายให้ฟังแล้ว ว่าให้ ปรองดองกันให้ดี  ให้ถือเสมือนว่าเป็นพี่น้องกัน มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ แต่สุดท้ายการณ์หาได้เป็นดังที่หวังไว้ไม่

        ความรุนแรงกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย  ดังเช่นเมื่อไม่นานมานี้ก็มีการชกต่อยกัน และเกือบจะถึงขั้นใช้ไม้ รวก ตีกันแล้ว และก็เคยมีเรื่องกันแบบรุนแรงหลายครั้งมาแล้ว นายธันวานั้นไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก พอจะเชื่อฟังผู้ใหญ่พูดบ้าง แต่นายเปี๊ยกนั้น ไม่ได้เลย หาเรื่องอย่างเดียว แล้วนายเปี๊ยกนี้ก็เป็นคนใจเด็ด ใจนักเลง แบบคนปักษ์ไต้ทั่วไปด้วย  และผมก็หวลมาคิดถึงตัวผมเอง ว่าแล้วผมจะพ้นนายเปี๊ยกหรือ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป ยังอยู่กันอีกยาว (เรื่องมันท่าทางจะเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ เพราะว่าผมก็คิดว่าผมก็แน่ที่สุด เจ๋งที่สุดในเจ็ดเสมียนแล้ว แต่มาคิดอีกที ยังไม่มีอะไร  ดูๆมันไปก่อนดีกว่า ทำไมผมจึงคิดอย่างนี้ก็ไม่รู้)
         

         การที่ผมเดินตามสองคนมานี้ทำให้ผมได้รู้คร่าวๆบ้างแล้วว่า บ้านหลังไหนบ้างที่เราเข้าไปเทเศษอาหารได้ บ้านไหนที่ลุงตุยไปขอเศษอาหารที่เททิ้งแล้ว เราจึงจะเข้าไปเอาได้    ขากลับ ผมทั้งสามคนยังเดินคุยกันมาตลอดทาง ตอนหนึ่ง เปี๊ยกเอ่ยถามผมว่า เก้ว เคยเล่นโต๊ะเตะฟุตบอลบ้างหรือเปล่า ด้วยความที่ผมไม่รู้จริงๆ เพราะอยู่ที่เจ็ดเสมียนนั้น อย่างมากก็เล่นฟุตบอล ตีปิงปอง วิ่งแข่งกัน บางทีก็ประลองกำลังกันโดยการแบ่งข้าง ชักกะเย่อกัน โดยการให้เด็กรุ่นพี่ เช่นเฮียแก่เล็ก หรือ เฮียงอก มาเป็นกรรมการให้ หรือถ้าไม่ได้เล่นกันอย่างนี้ ก็ไปยิงนกตกปลากันไปตามเรื่อง 
         

เฮียแก่เล็ก (พิศิษฐ์ ชื่นณรงค์) ภาพนี้เป็นหนุ่มแล้ว อายุมากกว่าพวกรุ่นผม ๕-๖ ปี แต่ดันมาเรียนหนังสือที่โรงเรียน วัดเจ็ดเสมียน รุ่นเดียวกับพวกผม ก็เลยจบ ป.๔ พร้อมกันนะซี

         จะมาถามผมว่า เคยเล่นเตะฟุตบอลแบบเป็นโต๊ะบ้างหรือเปล่า ผมก็ยังไม่เคยเห็นเลยครับ ว่ามันเป็นอย่างไร ผมจึงบอกเจ้าเปี๊ยกว่า ไม่เคยเล่นหรอก มันเป็นยังไงไอ้เตะฟุตบอลโต๊ะเนี่ย นายธันวาก็เลยพูดว่า เดี๋ยวถ้าวันไหนเรามีเวลา เราก็ไปดูกันก็แล้วกัน
             

          สักประเดี๋ยวก็มาถึงบ้าน  น้าฟ้าเห็นพวกผมกลับมาแล้ว ก็บอกผมว่า เก้ว เมื่อโรงเรียนเปิดแล้ว เสื้อผ้านักเรียนรวมทั้งเสื้อผ้าต่างๆนั้นก็จะต้อง ไปจ้าง เขาซักรีด เก้วจะซักเองก็คิดว่าจะไม่ไหว และอีกอย่าง เก้วก็ทำไม่เป็นด้วย  เมื่อกี้นี้ อีม่วยมัน ก็มาถามถึงเรื่องซักผ้านี้แหละ น้าบอกมันว่า ตกลงจ้างมันซักก็แล้วกัน มันเอาเดือนละ ๓๕ บาท น้าต่อมันให้ลดลงหน่อย มันบอกว่าไม่ไหว ที่อื่นเขาเอาแพงกว่านี้อีก
          น้าก็เลยตกลงกับมันแล้ว ถ้าเก้วมีสตางค์ติดตัวมาบ้าง ก็เอามาให้น้านะ จะเอาไปให้ อีม่วยมัน มันจะได้มีเงินไปซื้อ ผงซักฟอก ให้มันล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อนก็แล้วกัน

         เมื่อวานนี้ตอนที่พ่อของผมจะกลับไปโรงเลื่อยนั้น เอางินให้ผม ๑๐๐ บาท ผมก็ยังไม่ได้เอาออกมาใช้เลย เวลานี้คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเอาเงินนี้ออกมาใช้

            ผมเอาเงิน ๑๐๐ บาทออกมาจาก หีบหนังใบใหญ่ที่แม่ของผมใส่เสื้อผ้าและสัมภาระมาให้ตั้งแต่วันที่ผมจากเจ็ดเสมียนมานั้น ผมอามายื่นให้น้าฟ้าแล้ว น้าฟ้าก็บอกว่า เงินที่เหลืออีก ๖๕ บาทนั้น เอาไว้กับน้าก็แล้วกันนะ ถ้าต้องการใช้เมื่อไรก็มาเอาได้ ไม่เป็นไรหรอก ผมคิดว่าแหมน้าฟ้าก็ดีกับผมจริงๆ สมกับที่ลุงตุยแกสั่ง กำชับเอาไว้ทุกประการที เดียว แต่เอ..! ผมมาคิดๆดูอีกที ที่จริงแล้ว ผมน่าจะเอาเงินติดตัวไว้บ้าง นี่ถ้าผมต้องการใช้ซื้ออะไร หรือต้องการกินอะไรบ้าง มิต้องรอเบิกจากน้าฟ้าแกก่อนหรือ รอไว้ให้พ่อผมมาหาในคราวหน้าก่อน เถอะ ผมจะขอเงินแกติดตัวไว้บ้าง จะไม่ฝากน้าฟ้าไว้หมดอย่างนี้หรอก                               

      (หมายเหตุ เงิน ๑๐๐ บาทในปี ๒๔๙๗ คงจะเท่ากับประมาณ ๑,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้)
         
     

สนามหญ้าหน้าโรงเรียน วัดเจ็ดเสมียน บ้านเกิดของผม ที่ได้เคยเห็นกันทุกๆวัน ผมจะไม่ลืมเลย สัญญาว่าผมจะกลับมาอีกไม่นานหรอกนะ

        อีม่วย  คนที่น้าฟ้าเอ่ยถึงนี้ ก็มีบ้านติดๆกับน้าฟ้านั่นเอง บ้านของเขาเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆมุงสังกะสีนั่นเอง ที่หน้าประตูบ้านปลูกต้นมะยมต้นใหญ่แล้ว ไว้ด้วย   ๑ ต้น ต่อมาผมก็เรียกเขาว่า เจ๊ม่วย  เจ๊ม่วยนี้อายุก็คงจะเกือบ ๒๐ แล้ว เจ๊ม่วยเป็นสาว แล้วแต่คงไม่ได้เรียนหนังสืออย่างดีน่าจะได้เรียนมาแค่ ป. ๔ เท่านั้นเอง และยังไม่มีครอบครัว

          มารู้ภายหลังว่า เจ๊ม่วยนั้นบ้านเดิมเป็นคนทาง บ้านบางขาม จังหวัด ลพบุรี มาอาศัยอยู่กับพี่สาวและก็มาหางานทำด้วย ในขณะที่ยังไม่ได้งานทำนี้ ก็หาเงินโดยการรับจ้างซักผ้ารีดผ้าไปก่อน พอนานๆเข้าลูกค้าของเจ๊ม่วยก็มีมากขึ้น รายได้ก็ดีพอสมควร จนไม่คิดจะหางานที่อื่นทำอีกแล้ว
        ส่วนพี่สาวของเจ๊ม่วย ชื่อศรี  มีครอบครัวแล้ว สามีของเจ๊ศรี ทำงานอยู่โรงไฟฟ้าที่บ้านโป่งนี้  เจ๊ศรีนั้นก็ไม่ได้ทำงานอะไร ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้าน และรับจ้างซักรีดทั่วไป เหมือนกันกับเจ๊ม่วย และก็มีรายได้ดีเช่นเดียวกัน

                                                                     และแล้วก็ถึงวันเปิดเทอมเสียที .......

 

           

                                                                    รออ่านตอนต่อไปเร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว         

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้207
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้703
เดือนนี้13621
ทั้งหมด1343505

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online