ไปโรงเรียนวันแรก

เรื่องของชาวเจ็ดเสมียน

ไปโรงเรียนวันแรก

          และแล้วก็ถึงวันเปิดเทอม.................!
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ วันนั้นเป็นวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย อากาศยังร้อนอยู่ อากาศในปีนี้มันร้อนมาก่อนนานแล้ว ตั้งแต่ผมยังเล่นอยู่ที่เจ็ดเสมียน ผมตื่นแล้วลุกออกมาจากมุ้ง แล้วก็รีบพับมุ้งและผ้าห่มพร้อมด้วยหมอนวางไว้ที่เดียวกัน ทางหัวนอน แล้ว ตลบเสื่อขึ้นไปปิด เป็นอันว่าเรียบร้อยในการเก็บที่นอนของผม ที่นอนของผมนั้นไม่มีอะไรกั้นหรอกครับ ดังได้กล่าวมาแล้ว มันเป็นเพียงแคร่ไม้ไผ่นั่งเล่น เท่านั้นเอง ลุงตุยบอกว่า ให้ผมอาศัยนอนตรงนี้ไปก่อน แล้วจะขยับขยายให้ในภายหลัง

         ผมเห็นธันวาและนายเปี๊ยกลุกขึ้นมาก่อนแล้ว และกำลัง โพงน้ำจากบ่อ ขึ้นมาใส่บ่อปูนที่ในห้องน้ำ จนเกือบจะเต็มแล้ว ส่วนถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรนั้น ที่ตั้งอยู่ข้างคอกหมู อีกสองสามลูก น้ำพร่องไปตั้งเยอะ เพราะว่าเมื่อวานก็ตักไว้เต็มแล้ว แต่เนื่องจากว่า น้ำสองสามถังนี้ใช้สำหรับเลี้ยงหมู อาบน้ำให้หมู และบางทีก็ล้างคอกหมูบ้าง น้ำในถังเหล่านี้จึงหมดทุกวัน และต้องตักมาใหม่ๆทุกๆวัน 
        

(ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า บ้านในแถบดงมะพร้าวในตอนนั้นทุกบ้านยังไม่มีน้ำประปาใช้นะครับ แม้แต่น้ำกิน ผมยังต้องเข็นรถสาลี่ ไปเอามาจากบ้านลุงตุย ที่ตลาด แล้วจะกล่าวให้ท่านทราบไปเรื่อยๆ)
        

                                              เพื่อนๆและน้องของผม ที่ผมจากมา

         เสียงเปี๊ยกบอกว่า เฮ้ย เก้ว มาช่วยกันหน่อยโว้ย ตักน้ำใส่ถังข้างคอกหมูอีกสามถังให้เต็มที เรากับพี่วา ล่อกันเต็มแล้วน้ำในห้องน้ำนั้นน่ะ  โรงเรียนเปิดแล้ว อย่าตื่นสายนักซี รีบทำอะไรให้มันเสร็จเสียก่อนแล้วจะได้ไปโรงเรียน  ผมได้ยินแล้ว ก็บอกว่าได้ๆ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวเราจัดการเอง
         เรื่องการแบ่งงานภายในบ้านนี้ เมื่อวันก่อน น้าฟ้าก็ได้เรียกผม สามคนมาพูดให้ฟังแล้วเพื่อความเข้าใจกัน น้าฟ้าว่า เราอยู่ด้วยกัน เราก็ต้องช่วยเหลือกัน งานที่ต้องทำต่างๆนั้น จริงๆแล้ว น้าก็ไม่อยากให้เป็นการตายตัวหรอกว่า คนนั้นต้องอย่างนั้น คนนี้ต้องมีหน้าที่ทำอย่างนี้  เอาเป็นว่า ช่วยเหลือกันดีกว่า น้าจะได้เห็นถึงความสามัคคีกันด้วย ดีไหม เจ้า วา น้าฟ้าพูดพลางหันไปทางนายธันวา 
          

         นายธันวาบอกว่า ก็ดีแม่ ไม่มีปัญหาอะไร ตอนที่ฉันอยู่กันสองคนกับไอ้เปี๊ยก ฉันก็ยังทำกันได้ นี่ได้คนมาเพิ่มทุ่นแรงไปหน่อย ก็ดีที่สุดแล้วละแม่ เปี๊ยกพูดเสริมขึ้นมาว่า จริงๆแล้ว เปี๊ยกอยากจะแบ่งงานหลักใหญ่ๆไปเลย คนละอย่างเช่น พี่วา ตอนบ่ายกลับจากโรงเรียนมา ก็ดูแลเรื่องให้ข้าวหมูให้เรียบร้อย ส่วนฉันก็จะไปเข็นข้าวหมูมาจากตลาด ส่วนเก้ว ดูแลเรื่องน้ำใช้ น้ำกิน ต่างๆ ภายในบ้าน แม่อยู่บ้าน แม่ก็ดูแลเรื่องความเรียบร้อยอีกทีดีไหม
          
น้าฟ้าบอกว่า ก็ไม่ดีหรอกเพราะว่า บางอย่างก็ทำคนเดียวไม่ไหวคงต้องช่วยกันอย่างที่แม่บอกนั่นแหละ และในตอนสุดท้ายก็เห็นดีด้วยกันทุกคนจึงตกลงกันตามนั้น นั่นเป็นการตกลงกันเมื่อหลายวันมาแล้ว แต่ในเวลาต่อไปข้างหน้า ทุกคนจะปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ มันจะมั่วเสียหมดละนา สังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล
         

         ผมรีบโพงน้ำขึ้นจากบ่อ เอาไปใส่ในถังซึ่งต้องใช้เกี่ยวกับการเลี้ยงหมู ถังสามถังนั้น ทีแรกกระป๋องแรกๆที่ผมสาวเชือกขึ้นมาจากบ่อ ซึ่งลึกไม่น้อยกว่า ๔ เมตรนั้น มันก็คล่องดี เพราะผมก็หัดซ้อมมาไว้บ้างแล้วเมื่อวันก่อนๆนั้น  แต่พอถึง กระป๋องที่ ๗ – ๘ ขึ้นไป ข้อมือผมก็ล้าขึ้นมาที่ฝ่ามือ เลือดซิบๆแล้ว

          ฝ่ามือแดงเป็นปื้น ที่เป็นดังนี้เพราะเหตุที่ว่า เมื่ออยู่ที่บ้านที่เจ็ดเสมียนนั้น ผมไม่เคยได้หยิบจับอะไรเลย เอาแต่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ งานใหญ่งานน้อย แม่ผมจะเป็นคนทำคนเดียวหมด นี่แหละ พวกเราในตอนที่เป็นเด็กๆนั้น ไม่ได้คิดว่าจะช่วยพ่อแม่ทำอะไรบ้าง มีหน้าที่เรียนและเล่นอย่างเดียว จึงทำอะไรไม่เป็นเลย และก็ค่อนข้างจะอ่อนแอเป็นอย่างมากด้วย มาถึงตอนนี้ทำให้ผมคิดถึงแม่ของผมที่อยู่ ที่บ้านเจ็ดเสมียนเสียจริงๆ
          เวลานี้ผมขึ้นชั้น ม .๑ แล้ว และมาอยู่กับคนที่ไม่ใช่พี่ ใช่น้องกันเลย จึงต้องทำตัวทำใจให้เข้มแข็งกันให้มากเข้าไว้ก่อน เผื่อพวกมันมาเห็นผมอ่อนแออย่างนี้ เขาเห็นแล้ว เขาจะได้ ดูถูกเราว่าเป็นเด็กอ่อนแอ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ต่อจากนี้ไปผมก็คิดฮึดสู้แล้ว แต่จะทำได้แค่ไหนนั้น ก็จะพยายาม เพราะว่าเหมือนกับตกกะไดพลอยโจนแล้วนี่ ไม่อยากให้เสียชื่อเด็กเจ็ดเสมียนเลย
          ผมพยายามโพงน้ำขึ้นมาจากบ่อ กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า ข้อมือที่เกร็งดึงเชือกขึ้นมานั้นก็อ่อนล้าลงทุกที ฝ่ามือก็แสบไปหมด แค่ถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรที่ตัดฝาออกแล้วทำเป็นถังเก็บน้ำนั้น ไม่ยักกะเต็มสักที ผมต้องโพงน้ำอีกตั้งนาน น้ำจึงเต็มถังใหญ่ ทั้ง สามถังนั้น หน้านี้เป็นปลายๆหน้าร้อนแล้ว แต่อากาศก็ยังค่อนข้างร้อนอยู่ ผมเหนื่อยแทบแย่ เหงื่อโทรมตัวทีเดียว
          น้าฟ้ามายืนดูผมข้างๆบ่อน้ำนั้น  แล้วบอกว่าทำบ่อยๆ ทีหลังก็ง่ายไปเองแหละ เมื่อเสร็จแล้ว น้าฟ้าบอกว่า ให้รีบไปอาบน้ำได้แล้ว เพราะว่า วันนี้เป็นวันแรกที่จะต้องไปโรงเรียน เสื้อชุดนักเรียนที่พ่อผมกับผมไปซื้อ ที่โรงเรียนเมื่อวันไปสมัครเรียนนั้น น้าฟ้าแกก็เอาไปให้ เจ๊ม่วยเขาซัก รีดเรียบร้อย และเจ๊ม่วยมาส่งแล้วแขวนไว้ข้างฝาห้องด้านนอกห้องของน้าฟ้านั่นเอง
          ตอนนี้ ธันวา และเปี๊ยก อาบน้ำเสร็จแล้ว ไปกินข้าว และแต่งตัวไปโรงเรียนกันหมดแล้ว ธันวานั้น ถีบจักรยานไป ส่วนนายเปี๊ยกนั้น เดินไป เช่นเดียวกับผม เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
          ผมแต่งตัว และกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะไปโรงเรียน ในความที่ผมไม่เคยไปมาก่อน น้าฟ้าบอกว่า โรงเรียน ที่เก้ว เรียนนั้น อยู่ไม่ไกลมากนักหรอก เดินไปตามถนนนี้นะ ว่าแล้วน้าฟ้าก็ชี้ไปทาง ถนนที่จะไปข้ามทางรถไฟ น้าฟ้าบอกอีกว่า แล้ว เก้วก็ข้ามทางรถไฟไป แล้วจะเห็นโรงเรียนอยู่ๆใกล้ๆนั้น เดินลงจากทางรถไฟ แล้วก็เข้าไปในโรงเรียน เลย วันนี้น้าไม่ต้องไปด้วยหรอกนะ เอาหลักฐานต่างๆในตอนที่เราสมัครเข้าเรียนไปด้วย ไปยื่นให้เขาเลยตอนอยู่ในห้องนะ อย่าทำหายล่ะ
          น้าฟ้าแกก็ทำหน้าที่ของแกให้ผมจนครบ คงจะทำตามที่ลุงตุย สั่งเอาไว้ให้ดูแลผมให้ดีเป็นแน่ ไม่อย่างนั้น จะมายุ่งกับผมอย่างละเอียด ลอออย่างนี้หรือ วันนี้ก็เป็นวันแรกอีกเหมือนกันที่ผมได้ใส่ชุดนักเรียนของ โรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย บ้านโป่ง เสื้อขาวแขนสั้น ปักเส้นไหมสีน้ำเงิน  เป็นตัวอักษรย่อ ที่หน้าอกว่า ส.พ. เข็มขัดเส้นใหญ่ ขนาด นิ้วครึ่ง เห็นจะได้ หัวเป็นโลหะสี่เหลี่ยม  ชุบโครเมี่ยมเสีย แวววาว กางเกงนั้น เป็นสีน้ำเงิน ขาสั้น มีจีบข้างหน้าอยู่ สองจีบ เวลารีดคงรีดยากพิลึกละ สรุปโดยรวมแล้ว ผมก็พอใส่ได้ แต่มันไม่ค่อยเข้ารูปนัก เสื้อก็หลวมโพลกเพลก กางเกงก็ขายาวเกินไป เพราะว่าเป็นชุดที่ซื้อเอา ไม่ได้ไปจ้างเขาตัด มันจะให้ดูดีไปอย่างไรได้
         ผมเอาเอกสารสำเนาใบสมัครเข้าเรียน ใบรับเงิน ค่าเทอมที่พ่อผมได้จ่ายไปในวันนั้นแล้ว ในตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่า ค่าเทอมนั้น เทอมละเท่าไร คิดว่าคงจะไม่มากเท่าไร เพราะว่าในตอนนั้น ปีการศึกษาหนึ่ง เขาจะแบ่งเป็น สามเทอม เฉลี่ยแล้ว เทอมหนึ่งคงเป็นเงินไม่มากนัก ผมเอาใบสำคัญเหล่านี้ ยัดใส่กระเป๋านักเรียน หนังเทียมๆ สีดำๆ ที่มีสองสามชั้น ปัจจุบันนี้ก็ยังเห็นมี เด็กนักเรียนบางคน หิ้วไปโรงเรียนกันอยู่ ผมหยิบถุงเท้าใหม่เอี่ยม สีขาว ออกมาใส่ แล้วสวมรองเท้าผ้าใบสีดำๆ ที่ซื้อมาในวันแรกนั้น เรียบร้อยแล้ว ผมก็เป็นเด็กนักเรียน ชั้นมัธยมปีที่ ๑ ของโรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย บ้านโป่ง โดยสมบูรณ์
           น้าฟ้าบอกว่า วันนี้น้าให้สตางค์ติดตัวไป ๑ บาทก่อนนะ เพราะวันแรกนี้เขาคงยังไม่ได้เรียนอะไร คงจะจดตารางสอนกัน ทำความรู้จักกับครูที่จะมาเป็นครูประจำชั้นของเรา เสร็จแล้วเขาก็คงจะปล่อยกลับบ้าน  กลับมากินข้าวตอนกลางวันที่บ้านก็แล้วกัน ถ้าเป็นวันต่อไป น้าก็จะทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปกินที่โรงเรียนเลย ไม่ต้องไปซื้อข้าวกินที่โรงเรียน เพราะว่า ของกินของใช้ภายในโรงเรียนมันแพงมาก
           ผมมาคิดดูว่า แล้วสตางค์ของผมที่พ่อของผมให้ผมไว้ใช้ ยามฉุกเฉินนั้นน่ะ น้าฟ้าแกจะไม่ ให้ผมเก็บไว้บ้างสักครึ่งหนึ่งเลยหรือ เงินของผมยังเหลืออีกตั้ง ๖๕ บาท น่าจะให้ผมไว้ใช้บ้าง ดังนั้นเวลานี้ ผมจึงเหมือนคนตัวเปล่าๆจริงๆ แม่ค้าหาบขนมขาย ผ่านมาหน้าบ้าน ผมก็ยังไม่มีปัญญาเรียกซื้อมากินได้ ต้องรอน้าฟ้าอย่างเดียวถึงจะได้กิน ผมเริ่มคิดอะไรได้หลายๆอย่างแล้ว ยิ่งอยู่ไปนานๆ ก็จะยิ่งรู้อะไร กระจ่างมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ 
         น้าฟ้าบอกว่า จะเอาข้าวใส่ปิ่นโตให้ผมไปกินที่โรงเรียนมื้อกลางวันด้วยนั้น ที่จริงถ้าไม่คิดอะไรก็ดี น้าฟ้าแกเอาใจใส่ผมดีมาก แต่ในรูปนี้ ผมคงจะได้กินแต่ข้าวอย่างเดียวแน่ๆ น้าฟ้าแกคงจะไม่จ่ายเงินให้ผมติดตัวไปซื้อขนมกินบ้างแน่นอน ขนมกับเด็กมันแยกกันไม่ออกหรอกครับ มันมีความอยากกินอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว
          เวลานั้นเกือบ สองโมงเช้าแล้ว น้าฟ้าแกก็กำลังจัดแจงเลี้ยงหมูของแก ผมเดินออกจากบ้านคนเดียว  เดินไปตามถนนลูกรังสายนี้ หันหน้าไปทิศทางที่จะไปทางรถไฟ  จากบ้านน้าฟ้าไปนั้น เพิ่งจะได้เห็นว่า มีบ้านปลูกติดกันอีกเป็นพืด โดยมากเป็นบ้านขั้นเดียว บางบ้านก็มุงหลังคาด้วยตับจาก บางบ้านก็มุงด้วยสังกะสี แต่ละบ้านที่มุงด้วยสังกะสี สนิมขึ้นแดงไปหมด อย่าไปหาบ้านไหนที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องเลย ไม่มีหรอก มีบางบ้านประปราย ที่เป็นบ้าน ๒ ชั้น อย่างนี้เขาเรียกกันว่า กลุ่มหมู่บ้านคนจน คนที่หาเช้ากินค่ำ หรือที่คนสมัยนี้เรียกว่า หมู่บ้านสลัมนั่นเอง  บ้านที่ปลูกอยู่ริมๆถนนนั้น หลังคาแต่ละหลังก็จะแดงไปด้วยฝุ่น ของดินลูกรัง ที่ปลิวขึ้นไปด้วยแรงลมในหน้าร้อนนี้
          นอกจากบ้านที่อยู่ริมถนนแล้วก็ยังมีซอยย่อย ซอยเล็กซอยน้อยเข้าไปอีก มองดูเข้าไป มันแออัดมากนัก ซึ่งผมไม่เคยเห็นที่เจ็ดเสมียนมาก่อนเลย ผมเดินไปเรื่อยๆ ทางด้านซ้ายมือของผมนั้นก็ยังไม่สุด ดงมะพร้าว สักครูก็สุดดงมะพร้าว ที่ดินที่ติดกับดงมะพร้าวนั้น เขากั้นเป็นรั้ว อิฐมอญก่อขึ้นมาแล้วฉาบเรียบ กว้างขวางมาก ทีแรกก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีตึกปลูกสองชั้นอยู่ในบริเวณนั้น หนึ่งหลัง แล้วก็มีอาคารไม้ชั้นเดียวอีก สองสามหลัง
         

         จนกระทั่งผมเดินออกมาจนสุดถนนนั้นแล้ว ถนนนี้ก็จะเลี้ยวไปทางซ้ายผ่านหน้าโรงเรียนจีนฮกเฮง ที่ผมเห็นตึกใหญ่ๆที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง ซึ่งนาย เปี๊ยกเขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ เห็นเด็กๆ ตัวเล็กๆขนาด ไม่เกินชั้นประถม ๔ กำลัง ชู๊ท บอลที่แป้นไม้เก่าๆ ในสนามบาสเก็ตบอลกันอยู่  ข้างหน้าผมนั้น เป็นทางรถไฟ แล้วเลยทางรถไฟไปนั้น มองเห็นตึกใหญ่ สูงๆอยู่ตรงหน้าผม นั่นแหละ คือเป้าหมายที่ผมมาในเช้าวันนี้ โรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย บ้านโป่งนั่นเอง ผมรีบเดินข้ามทางรถไฟ ตามรอยทางเดิน ของคนอื่นๆ ที่เคยข้ามอยู่เป็นประจำจนเกิดเป็นรอยทางคนเดินไว้แล้ว
          ผมข้ามทางรถไฟมาแล้วก็เดินดิ่ง ผ่านประตูใหญ่ เข้าไปในโรงเรียนทีเดียว มีคนเดินกันขวักไขว่ จนลานตาไปหมด วันนี้โรงเรียนเปิดเป็นวันแรก เด็กนักเรียนทั้งเก่าและใหม่ก็ต้องมากันให้ครบในวันนี้ จึงดูเหมือนว่ามีเด็กมากมายในโรงเรียนแห่งนี้ 
        

         ผมขอคั่นสักหน่อย สำหรับโรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย บ้านโป่งนั้น ได้ขอจัดตั้งเป็นโรงเรียนเอกชน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยมีบาทหลวง ริชาร์ด เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นคนแรก  และในสมัยที่ผมเข้ามาเรียน  คือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ (1954) นั้น มีท่านบาทหลวง สนม วีระกานนท์ เป็นอาจารย์ใหญ่ มีครู อาจารย์ รวมทั้งหมด ประมาณ ๗๐ คน มีนักเรียน ที่เป็นนักเรียนประจำ (คืออยู่ที่โรงเรียนเลย) ประมาณ ๓๐๐ คน และนักเรียนนอก (สมัยนั้นเรียกกันอย่างนั้น) คือนักเรียนไปกลับอย่างผม ประมาณ ๑,๕๐๐ คน
     

        มีครู อาจารย์ สองสามคน ยืนอยู่ที่ประตูใหญ่นี้ คอยถามเด็กที่มานั้น เพื่ออำนวยความสะดวกว่า เป็นเด็กเก่าหรือเด็กใหม่ ถ้าเป็นเด็กใหม่ ชั้น ม. ๑ ให้รอเข้าแถวรวมกันก่อน แล้วก็จะทยอยเข้าห้องกันในภายหลัง ส่วนเด็กเก่านั้น เห็นคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตามสนามหน้าโรงเรียนรอกระดิ่งเรียกเข้าชั้นเรียน ชั้นใครก็ชั้นมัน
        เกือบสามโมงเช้าของวันนั้น เขาก็ประกาศทางเครื่องขยายเสียง ว่าให้นักเรียนที่เข้าใหม่ โดยเฉพาะชั้น ม. ๑ ให้มาเข้าแถวกันที่ สนามบาสเก็ตบอล  เมื่อนักเรียนใหม่ทั้งหลาย มาเข้าแถวกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีครูคนหนึ่งมาอธิบายเรื่องต่างๆให้ฟังสักครู่หนึ่ง ก็บอกให้เดินเข้าไปในห้อง ตามที่เขา บันทึกไว้ในใบรับสมัครแล้ว ว่าได้อยู่ห้องใด
        สำหรับผมนั้น ได้อยู่เป็นห้องสุดท้าย คือ ม.๑/๖  ผมและนักเรียนใหม่ที่อยู่ห้องเดียวกันก็ไปรวมกันที่ห้องนั้น  ในห้องนั้นมี ครูคนหนึ่ง รูปร่างเล็กๆ ไว้ผมรองทรงสั้นๆ ผิวขาว แต่ไม่ใช่ลักษณะของคนจีน อายุประมาณ  ยี่สิบกว่าๆ แต่ไม่เกิน ๓๐ เห็นจะได้ บอกว่า เขาชื่อ ครูประกอบ จะมาเป็นครูประจำชั้นม. ๑/๖ นี้ ครูบอกว่าก่อนอื่นให้พวกเรามาเลือก หัวหน้าห้องกันก่อน โดยวิธียกมือกันว่าจะเอาใคร  มีคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผิวคล้ำๆ นักเรียนทั้งหลายต่างก็ชี้มาที่เขา ชื่อนายประเสริฐ  ตกลงพวกเราส่วนใหญ่เลือกนายประเสริฐเป็นหัวหน้าห้อง แต่ต่อมาในภายหลังผมจึงได้ทราบว่า ผู้ที่ชี้ให้นายประเสริฐเป็นหัวหน้าห้องนั้น  ก็เป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น มาจากโรงเรียนเดียวกัน
         

         ผมมองดูครูประจำชั้นแล้ว ก็นับว่าพอใจ เพราะดูท่าทางครูคนนี้จะอารมณ์ดี  ในวันแรกนี้ ครูประกอบก็แนะนำในเรื่องกฎและระเบียบต่างๆ ของโรงเรียน และขอให้พวกเราตั้งใจกัน เล่าเรียนให้ดี ให้เอาใจใส่ในการเรียน เพราะว่า พ่อแม่ต่างก็เสียสตางค์มาให้เราเรียนแล้ว อย่าให้พ่อแม่เราเสียใจเป็นอันขาด แล้วก็จดตารางสอน บนกระดานดำให้พวกเราจดตาม แล้วบอกว่า ให้ทุกคนปฏิบัติและเอาหนังสือเรียนมาตามที่จดตารางสอนมาให้นี้ ต่อจากนั้นก็บอกว่า วันนี้ไม่มีอะไรให้กลับไปบ้านกันก่อน แล้วเราจะเริ่มเรียนกันในวันอังคารพรุ่งนี้เลยนะ จากนั้นนายประเสริฐ หัวหน้าชั้นก็บอกทั้งหมด ตรง เป็นการทำความเคารพคุณครูประจำชั้น แล้ววันนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
          ผมเดินกลับมาถึงบ้านเกือบ  ๑๑ โมงเช้า  เห็นน้าฟ้าและลุงตุยยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านข้างๆรถสาลี่ สำหรับบรรทุกของ ลักษณะว่า ลุงตุยคงแวะมานานแล้ว และเตรียมจะกลับไปที่ตลาด ลุงตุยเห็นผมเข้า ก็ทักทายถามว่า เป็นไง เก้ว ไปโรงเรียนเรียบร้อยดีไหม วันนี้ลุงเอาฟูกเล็กๆนอนคนเดียวที่พับได้ เป็นสามตอน แล้วก็ตู้พลาสติก ไว้ใส่เสื้อผ้า ลองกางดูนะ มีเท่านี้ก่อนนะ ขาดเหลืออะไรก็ไปบอกที่ตลาด ลุงจะกลับก่อนละ ผมยกมือไหว้ลุงตุย เป็นการขอบคุณ แล้วลุงตุยก็เข็นรถสาลี่กลับไป
          น้าฟ้าบอกว่า ลุงเขาเอาของมาให้ กองไว้บนแคร่นั้นน่ะ ไปดูซี ผมก็เข้าไปในบ้านมองดูของที่ลุงตุยซื้อมาให้ด้วยความพอใจเป็นอันมาก และคิดว่าเรื่องเงินทองเขาคงไปคิดกับพ่อผมเอง  เลยเที่ยงไปเล็กน้อยเมื่อผมกินข้าวเที่ยวเสร็จแล้ว  ธันวาและเปี๊ยกก็กลับมาที่บ้านเกือบพร้อมกัน  วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน ไม่มีการเรียนอะไร  ทุกโรงเรียนก็ว่าได้ ก็ปล่อยเด็กกลับบ้านเร็วกว่าปกติกันทั้งนั้น
          เมื่อถอดเสื้อผ้าชุดนักเรียนออกกันแล้ว ทั้งธันวาและเปี๊ยก เกิดความคิดที่ว่าจะชวนผมไปที่ร้าน โต๊ะเตะบอล ซึ่งอยู่ที่ด้านโน้นของดงมะพร้าวนี้ ถ้าจะไปก็ต้องเดินตัดดงมะพร้าวนี้ไป ตรงเป๊ะเลย พอทะลุดงมะพร้าวไปแล้ว ก็จะถึงร้านที่เขามีโต๊ะเตะบอลพอดี ร้านที่บริการให้เด็กหรือผู้ใหญ่เล่นก็ได้นี้ ตั้งเรียงกันเป็นพืด ประมาณ  ๕ – ๖ ห้องเห็นจะได้
            เมื่อผม ทั้งสามคนเดินทะลุดงมะพร้าวออกมาแล้ว ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ปึงปังๆ ดังออกมาจากร้านนั้นๆ  ผมเดินเข้าไปที่ร้านบริการร้านหนึ่งนั้น เห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่  กำลังเล่น โต๊ะเตะบอลกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดและพูดทักทาย นายธันวากับเปี๊ยกอย่างสนิทสนมด้วย เท่ากับว่า พวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดี ผมก็เลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ  อ๋อ โต๊ะเตะบอลที่เจ้าเปี๊ยกมันพูดถึงบ่อยๆ นั้น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  .....!

                                               โปรดติดตามตอนต่อไป เร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

           

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้153
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้649
เดือนนี้13567
ทั้งหมด1343451

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online