คุณ ปรีชา ทรัพย์เย็น

เรื่องราวของชาวเจ็ดเสมียน

คุณปรีชา  ทรัพย์เย็น


            กลางเดือน กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๔๙๗ นั้นเข้าหน้าฝนแล้ว พ่อของผมจึงได้มาหาผม ก่อนที่จะมาหาผมนั้น เขาไปหาลุงตุยที่ร้านทองในตลาดก่อน ได้คุยกันแล้วสักพัก จึงได้ถีบจักยานมาหาผมที่บ้านน้าฟ้า วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ไม่ได้ไปโรงเรียน ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ผมก็ยังมีเรื่องระหองระแหง ทะเลาะกับสองคนพี่น้องนี้ แทบทุกวัน โดยเฉพาะไอ้เปี๊ยก ถ้าแบบที่ไม่มีเรื่องอะไรกัน ก็จะต้องมีการเถียงกัน บ้างทุกวัน  เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆจนผมก็เริ่มจะปรับตัวได้

          พ่อผมมาถึงที่บ้านน้าฟ้านี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว ไอ้ธันวากับไอ้เปี๊ยกมันไม่อยู่บ้าน เพราะว่างานประจำที่มันสองคนต้องช่วยกันทำคือ ไปเข็นข้าวหมูที่ตลาด ในตอนเย็นๆของทุกวัน แต่บางทีมันแกล้งผมก็มีเหมือนกัน มันแกล้งไม่อยู่บ้าน มันบอกแม่มันว่าขอไปธุระ ให้ผมไปเข็นข้าวหมู แล้วพอตอนเย็นๆ หรือค่ำๆมันกลับมา มันจะมาโพงน้ำใส่ถังไว้อาบเอง เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ทั้งสองคน

         เมื่อพ่อของผมมาถึง ผมแลเห็นเข้า ผมก็รีบโผวิ่งเข้าไปกอดเอวพ่อของผมไว้ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ความคับแค้นใจก็ขึ้นมาสะอึกอยู่ที่คอ ผมกับพ่อนั่งคุยกัน ลุงตุยก็เข้ามาฟังด้วย และคุยด้วย ผมก็ถามว่าทำไม เตี่ยจึงไม่เห็นมาหาผมบ้างเลย ผมก็เล่าให้ฟังถึงความลำบากในการอยู่ร่วมกับคนบ้านนี้ ผมเล่าให้ฟังทุกอย่างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อพ่อของผมได้ฟังเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าในใจของเขาจะคิดอย่างไร และคิดอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเพียงแต่ ปลอบใจผม ว่าให้อดทนต่อไปอีกสักหน่อย พ่อบอกว่าทีแรกก็คิดว่า ลุงตุยเขาจะให้อยู่ที่บ้านเขาในตลาด คิดไม่ถึงเลยว่า จะเอาผมมาอยู่ที่บ้าน เมียน้อยลุงตุยเขาอย่างนี้  ลุงตุยก็ว่า อั๊วก็คิดแล้วว่าให้มาอยู่ที่บ้านนี้คงดีกว่าอยู่ที่ตลาด เพราะว่าโรงเรียนก็อยู่ใกล้ เดินข้ามทางรถไฟไปก็ถึงแล้ว และอีกอย่างลูกของฟ้าเขาก็เป็นรุ่นๆเดียวกัน ก็คงจะดีกว่าอยู่ที่ตลาดแน่นอน อั๊วคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้

         แล้วพ่อของผมก็ปลอบใจผมอีก และให้กำลังใจผมว่า พยายามทนต่อไปอีกสักหน่อย สอบไล่ปลายปีแล้ว ก็จะให้กลับไปเรียนที่บ้านเราอย่างเดิม ผมก็คิดในใจว่าพ่อผมก็พูดถูกถ้าขืนกลับบ้านในตอนนี้ ก็เหมือนกับว่าไม่ได้อะไรกลับไปบ้านเลย เรียนก็ได้ครึ่งๆกลางๆเท่านั้น ถ้ากลับไปก็จะต้องไปเริ่มต้นกันใหม่อีกเสียเวลาเปล่าๆ  ผมก็บอกพ่อว่า ผมจะพยายามทนไปเรื่อยๆจนกว่าจะสอบไล่เสร็จ แล้วผมก็จะขอกลับบ้าน

          แล้วพ่อก็ควักสตางค์ให้ผม  ๒๐๐ บาท เงินจำนวนนี้จะไม่เกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายต่างๆของบ้านหลังนี้ เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ  พ่อของผมเขาก็เคลียร์ กับลุงตุยไว้หมด  ตลอดจนค่าซักรีดเสื้อผ้าเดือน ละ ๓๕ บาทของเจ๊หมวยด้วย พ่อของผมยังอยู่คุยกับลุงตุย และน้าฟ้าซึ่งออกมาคุยด้วยตอนหลัง อีกไม่นานนักก็กลับไป และบอกว่า โรงเรียนปิดเทอมนี้ จะพาผมไปอยู่ที่โรงเลื่อย ตลอดโรงเรียนปิดนี้เลย ผมก็จะคอยจนถึงวันนั้น
         พ่อผมกลับไปโรงเลื่อยที่ปากแรดแล้ว เย็นวันนั้น ไอ้ธันวาและไอ้เปี๊ยก มันยังไม่กลับมา มันคงนัดกันแกล้งผมแน่ๆเลย  มันไปกันคนละที่แท้ๆ แต่มันก็ยังไม่กลับมาเหมือนๆกัน คอยดูตอนที่มันกลับมาสิ มันก็จะโผล่มาพร้อมกันอีกน่ะแหละ วันนั้นผมก็ต้องไปเข็นข้าวหมูที่ตลาดคนเดียว ข้าวหมูนี้ ก็คือเศษอาหารที่ร้านขายอาหารเขาทิ้งลงถังเอาไว้ ดังที่ผมได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ละวันจะมีเศษอาหารเหล่านี้ไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง
           ดังนั้นเมื่อผมอยู่มานานๆแล้ว ความชำนาญก็มีมากขึ้น บางทีผมเทนิดเดียวผมก็แกล้งกลับบ้านไปเสียก็มี  ช่างมัน หมูมี ๕ ตัว เป็นแม่หมูใหญ่ทั้งหมด น้าฟ้าเขาเลี้ยงเป็นแม่หมู เมื่อมันมีลูกแล้ว เขาก็จะขายลูกมัน แม่หมูทั้ง ๕ ตัวนี้ เขาได้ขายลูกมันไป หลายครอก และได้เงินมาหลายบาทแล้ว บางวันถ้าได้เศษอาหารมาน้อย ก็จะเพิ่มปลายข้าวให้หมูไปด้วย บางครั้งก็จะหั่นหยวกกล้วย และผักบุ้งผสมลงไปอีก สมัยนั้นยังไม่อาหารสัตว์ที่ให้ความสะดวกเหมือนเดี๋ยวนี้
          จนเย็นแล้วไอ้ธันวากับไอ้เปี๊ยกมันถึงกลับมา ได้ยินแม่มันบอกว่า วันนี้เตี่ยไอ้เก้วมันมาแล้วต่อจากนั้นผมไม่ค่อยได้ยิน เขาพูดกันเบามาก เย็นวันนี้เห็นน้าฟ้าแกต้มอะไรอยู่ในครัว ผมได้กลิ่นอยู่ในขณะที่ผมต้องโพงน้ำที่บ่อในบ้าน เพื่อเอาไปใส่ถังอาบน้ำในห้องน้ำ ความจริงเมื่อผมไปเข็นข้าวหมูที่ตลาดแล้ว มันต้องเป็นหน้าที่ของไอ้เปี๊ยก  หรือไอ้ธันวามัน แต่วันนี้มันแกล้งผมมันกลับมาเสียค่ำทีเดียว ดังนั้นผมก็ต้องยอมเหนื่อยแทนมันอีก ถ้าผมดื้อไม่ยอมตัก พวกมันรวมทั้งแม่มันด้วยก็จะไม่มีน้ำอาบ แล้วพวกมันก็จะรวมหัวกันมาโขกมาสับผมอีก
           กับข้าวเย็นวันนั้นน้าฟ้าบอกว่า ต้มนี้ไอ้เก้วมันชอบ วันนี้เลยต้มให้มันกินเสียหน่อย ตั้งแต่ผมมาอยู่นี้ผมยังไม่เคยบอกว่าผมอยากกินอะไรเลย แต่น้าฟ้ามาบอกเช่นนี้ ผมจึงอยากรู้เหมือนกันว่าเขาต้มอะไรให้ผมกิน กลิ่นมันเอียนๆดีพิลึก เมื่อเข้าไปในครัว และมองเห็นต้มนั้นอยู่ในชามแล้วควันยังกรุ่นอยู่ ผมแทบจะอาเจียนออกมาให้ได้ น้าฟ้าแกต้มพะโล้เครื่องในเนื้อนั่นเองครับ (เครื่องในวัว) ผมเขี่ยดูมองเห็น ไส้ ตับ ปอด และอื่นๆอีกของวัวชัดๆ ต้มเสียน้ำข้นคลั่ก

          ก๋วยเตี๋ยวเนื้อนั้นผมก็เคยกินมาแล้ว ที่ตลาดเจ็ดเสมียนมีเจ้าหนึ่ง ผมกับไอ้โล ไอ้ธร และเพื่อนคนอื่นๆอีกก็เคยไปกินเรื่อยๆ มันก็อร่อยดีนะ ใส่พริกเล็กน้อย ใส่น้ำส้ม น้ำปลา น้ำตาล คนให้เข้ากันดี ก็พยักหน้ากับไอ้ธรว่าใช้ได้ แต่พะโล้ เครื่องในเนื้อของน้าฟ้านั้น มันหวานเอียนๆ รสนี้ผมไม่ชอบเลย น้าฟ้าแกบอกผมว่าให้กินเยอะๆ ไหนบอกว่าชอบกินไง ผมเห็นไอ้ธันวากับไอ้เปี๊ยก มันกินเอากินเอา อร่อยเสียหนักหนา
           ตกลงมื้อนั้น ผมกินข้าวผสมกับน้ำพะโล้เครื่องในนั้น ราดลงไปบนข้าวนิดหน่อยให้น้าฟ้าเห็นว่าผมได้ตักกินแล้ว ยังดีที่มีไข่เจียว กินได้บ้าง วันต่อมา พะโล้นี้ยังเหลืออีก น้าฟ้าแกก็เอามาอุ่นอีก กลิ่นก็กระจายไปทั่ว ผมได้กลิ่นแล้วผมเกือบจะอาเจียน จำได้ว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในชีวิตของผม ผมก็ไม่ได้กินเนื้ออีกเลย  ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไร ไม่ได้ถือว่าจะต้องไม่กินเนื้อหรือจะต้องไม่กินหมู ไม่ได้เกี่ยวกับลัทธิอะไร
           แต่ผมไม่อยากกินต่างหาก ถ้าเห็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อ เช่นต้มเครื่องในเนื้อที่อยู่ในกะละมังใหญ่ๆ ที่เขาตั้งขายอยู่ตามตลาด หรือได้กลิ่นก๋วยเตี๋ยวเนื้อขึ้นมาเมื่อไร ผมต้องคิดถึงพะโล้เครื่องในเนื้อที่น้าฟ้าต้มให้ผมกินในวันนั้นทุกที  ผมจึงไม่กินอาหารที่เป็นเนื้อวัวมาตั้งแต่บัดนั้น นี่ผมต้องออกตัวเสียก่อนนะครับว่า เป็นความคิดของผมคนเดียวนะครับ ผมไม่ได้ชักชวนให้ใครไม่กินเนื้อไปกับผมด้วย  
           

         ผมเก็บเงิน ๒๐๐ บาทไว้กับตัวเป็นอย่างดี ความเป็นอยู่ของผมค่อยดีขึ้น ในตอนไปโรงเรียนน้าฟ้าเขาก็ไม่ต้องมาจ่ายผมวันละ ๑ บาทแล้ว ผมมีของผมเอง เด็กนักเรียนคนอื่นเขาซื้ออะไรกินกัน ผมก็ซื้อกินบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือยเกินกว่าเหตุนะครับ  เพราะคิดว่าคงอีกนานกว่าพ่อผมจะมาหาอีก ในระยะนี้ผมกับไอ้สองคนนั้นก็ไม่ค่อยได้มีเรื่องอะไรกันบ่อยๆนัก มีบ้างก็เถียงกันธรรมดา ถึงขั้นผลักอกชกต่อยกันนั้นยังไม่มี เมื่อตอนมีอะไรขัดแย้งกันนิดหน่อยนั้น ไอ้เปี๊ยกมันชอบขู่ผม อาฆาตผม ว่า มึงระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน มันไม่ต้องมาบอกผมหรอกครับ ผมอยู่มานานๆเข้า ผมก็แทบจะทันเกมของมัน ทั้งสองคนหมดแทบทุกอย่าง
            งานที่บ้านหลักๆก็ทำไปของใครของมัน บางทีก็มีทำแทนกันบ้างก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้ผมมีความคิดของผมอย่างหนึ่งแล้วว่า เฉพาะไอ้เปี๊ยกนั้น ถ้าจะมีเรื่องถึงขนาดลงมือกันจริงๆแล้ว มันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ไอ้ธันวานั้นมันตัวโตกว่าผม ผมคงเอามันไม่ไหวแน่ๆ แต่ทุกอย่างที่นี่มันก็มีเรื่องให้คับแค้นใจบ้างตลอด ก็ต้องทำใจให้สู้เข้าไว้ แต่ก็ยังดีที่ไม่ค่อยเหมือนเมื่อตอนมาอยู่ใหม่ๆ
          

          ที่นอนของผมที่เป็นแคร่ไม้ไผ่นั้น เมื่อตอนมาใหม่ๆ ลุงตุยบอกว่า นอนตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกันนะ แล้วลุงจะขยับขยายให้ใหม่ เวลาก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ผมก็ยังนอนอยู่ตรงนี้ เอาเสื่อปู แล้วเอาฟูกที่พับได้ สามตอนมาปูทับอีกที กางมุ้ง ขันอาบน้ำ สบู่ยาสีฟันก็ยังวางไว้ตรงหัวนอนตามเดิม ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า แล้วทำไมไม่เอาขัน สบู่ ยาสีฟัน ไว้ในห้องน้ำล่ะ ไม่ได้ครับ นอกจากพวกมันจะเอาของผมใช้แล้ว มันยังไม่สำนึกบุญคุณที่มันได้ใช้ของฟรี มันกลับแกล้งผมนานัปการ  เรื่องนี้ผมเคยทะเลาะกับไอ้สองคนนี้อย่างรุนแรงมาแล้ว มันเอาของผมไปซ่อนไว้ พอผมจะมาอาบน้ำ ขันน้ำ สบู่ ยาสีฟัน  ของผมก็หายไป แล้วมันจะเป็นใครเล่า มีคนอยู่สามสี่คนรวมทั้งแม่มันด้วย คนใดคนหนึ่งต้องแกล้งผมอีกตามเคย
            ในตอนนั้นผมจึงยังไม่อาบน้ำ ผมเดินไปถามไอ้เปี๊ยกดื้อๆ ในขณะที่มันจะแต่งตัวไปโรงเรียนว่า เฮ้ย ไอ้เปี๊ยก มึงแกล้งเอาของๆกูไปซ่อน ทำไมวะ ไอ้เปี๊ยกบอกว่าอะไรของมึงกูไม่รู้เรื่องเลย พอดีไอ้ธันวา มันแต่งตัวจะไปโรงเรียนเสร็จพอดี มันเดินมาทางผมแล้วถามผมว่าเรื่องอะไรกัน  ผมก็บอกมัน ธันวามันบอกว่า หาดูให้ดีก่อนซี แล้วค่อยมาโทษกันส่งๆ อย่างนี้ไม่ถูกนะ ผมก็ดื้อดึงว่า ก็พวกมึงนั่นแหละแกล้งกู เพราะผมรู้ว่าไม่มีใครหรอกที่จะเข้ามาในบ้านแล้วขโมยของเฉพาะของผมไป ทำไมของพวกมันจึงไม่หาย
             พอผมขึ้นเสียงกับมันมากๆเข้า ไอ้ธันวามันเดินรี่เข้ามาหาผม หมายใจจะตบผมสักฉาดเหมือนที่มันเคยทำมา แต่คราวนี้ผมระวังตัวเสียแล้วครับ ผมหลบฝ่ามือมันได้ กะว่าจะสวนมันสักฉาด ทันใดนั้นเสียงน้าฟ้า ก็ดังออกมาจากหลังบ้านทางคอกหมู มีอะไรกันหรือ ไปๆเลย ไปโรงเรียน ไอ้วา ไอ้เปี๊ยก มึงมีเรื่องอะไรกันอีก อยู่กันดีๆบ้างไม่ได้หรือไง พวกผมหยุดชะงักทันที ไอ้วา กับไอ้เปี๊ยก หยุดชะงักทันที มองดูผมด้วยสายตาที่เคียดแค้น แล้วบอกว่าฝากไว้ก่อนนะมึง ระวังตัวให้ดี
           แล้วพอค่ำวันนั้น ของต่างๆที่หายไปของผม ก็กลับคืนมาอยู่อย่างเก่าอีก ผมก็ไม่แปลกใจอะไรแล้ว เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว ผมเจอหน้าพวกมันผมก็ไม่อยากถามอะไร และไม่อยากพูดกับพวกมันเสียด้วยซ้ำไป 
          

         อีกไม่กี่วันโรงเรียนก็จะปิดเทอมแล้ว (ปีหนึ่งมีสามเทอม) ผมก็รอวันนั้นอยู่ เพราะว่าพ่อของผมรับปากไว้แล้วว่า จะมารับผมไปอยู่ที่โรงเลื่อย จนกว่าโรงเรียนจะเปิด เวลานี้ผมก็ไปโรงเรียนทุกวัน แต่ก็ไปสายแทบทุกวัน เพราะว่าน้าฟ้าแกให้ผมตักน้ำ เลี้ยงหมู กวาดคอกหมู ช่วยกันกับไอ้ธันวาและไอ้เปี๊ยก  ไอ้สองคนนี้มันก็แกล้งผม ทำเป็นแกล้งช่วยกันทำงานไปอย่างนั้นแหละ จริงๆแล้วบางทีมันก็ยืนอยู่เฉยๆ อู้งานจนสาย แล้วก็ไปโรงเรียนไม่ทันกัน แล้วมันก็ไปฟ้องแม่มันว่าผมขี้เกียจ ไม่ช่วยพวกมันทำงาน ทำให้ไปโรงเรียนสาย น้าฟ้าก็หูเบาเรียกผมไปด่าอย่างเดียว ผมจะพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ร้องไห้แล้ว มันเริ่มชินเข้าที่แล้ว
           มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนผมพอทนได้ มันร้ายมาผมก็ร้ายตอบ สรุปแล้วไอ้สองคนนี้มันไม่เห็นจะมีอะไรที่น่ากลัวเลย  เมื่อตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ๆนั้น ผมยังไม่รู้อะไรต่างหาก จึงได้ข่มเหงรังแกผมทุกวัน จนผมบอบช้ำไปหมด ผมก็คิดจะเอาคืนเหมือนกัน ทดแทนกันกับเมื่อตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ๆ คงมีวันหรอกน่า
         

         เมื่อวันปิดเทอมมาถึง พ่อของผมก็มารับผมไปอยู่ด้วยกันที่โรงเลื่อย เรียกว่าไปเที่ยวสักพักหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาสู้กับมันใหม่ การเรียนในเทอมแรกของผมนั้น ไม่ดีเลย น่าจะสอบได้ไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เขาเรียกว่าสอบตก ครูประกอบก็เคยพูดกับผมว่า เทอมหน้าต้องให้ดีกว่านี้ ผมคิดว่า คงดีไปไม่ได้หรอกถ้าหากเหตุการณ์ ที่บ้านน้าฟ้ายังเป็นเหมือนอย่างนี้
           แล้วผมก็ซ้อนท้ายรถจักรยาน พ่อผมเป็นคนถีบไปอยู่ที่โรงเลื่อยปากแรด ซึ่งอยู่ห่างจากตลาดบ้านโป่งประมาณ ๒ กม.โรงเลื่อยนี้ชื่อว่า โรงเลื่อยจักร ทรัพย์เย็น เป็นโรงเลื่อยจักรที่มีขนาดใหญ่มาก ด้านหน้าติดถนนสายบ้านโป่ง กาญจนบุรี ด้านหลังโรงเลื่อย อยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง มองไปที่ชายน้ำ เห็นมีซุงใหญ่ๆ ลอยเป็นแพ 

           บรรยากาศที่โรงเลื่อยนี้น่าอยู่มากทีเดียว ซึ่งพ่อของผมมาทำงานอยู่ที่นี่ได้หลายปีแล้ว เมื่อมาอยู่ที่โรงเลื่อยนี้ใหม่ๆ พ่อผมบอกว่า ระบบการทำงาน และเงินเดือน ดีกว่าโรงเลื่อยที่หัวหินเป็นอันมาก จึงอยากจะอยู่ไปอีกนานๆ เจ้าของโรงเลื่อยนี้ มีชื่อว่า นายบุญฤทธิ์  ทรัพย์เย็น เขามีลูกหลายคน มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุมากแล้วชื่อว่า คุณวิมล รู้สึกว่าจะเป็นลูกคนโต มาทำงานที่โรงเลื่อยนี้เป็นประจำ ผมไม่เคยได้คุยกับเขาหรอกนะครับ

           ลูกชายอีกคนหนึ่งของเถ้าแก่โรงเลื่อยนี้ อายุแก่กว่าผมประมาณ ๓ ปี มาที่โรงเลื่อยในขณะที่โรงเรียนปิดเทอม นี้ทุกวัน ชื่อว่าคุณปรีชา เมื่อคุ้นเคยกันดีแล้ว คุณปรีชาก็บอกผมว่า เก้ว เรามาเป็นพี่น้องกันดีกว่า (คงเหมือนหนังจีนที่เขาชอบสาบานเป็นพี่น้องกัน) แล้วก็ให้ผมเรียกตัวเขาเองว่าพี่ ผมก็เลยเรียกคุณ ปรีชาว่าพี่ตั้งแต่นั้น จนกระทั่งโรงเรียนเปิด และผมต้องกลับไปอยู่ที่บ้านน้าฟ้าตามเดิม
           เหตุการณ์ที่ผมมาอยู่ที่โรงเลื่อย และได้เพื่อนใหม่ คือพี่ปรีชานี้ เป็นเหตุการณ์ที่สนุกมาก บางวันผมกับพี่ปรีชาก็ข้ามน้ำไปยังหาดทรายฝั่งตรงข้ามโรงเลื่อย ซึ่งเป็นหาดทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล หาดทรายที่เจ็ดเสมียน หรือที่โพธาราม ก็ยังใหญ่ไม่เท่าที่บ้านโป่ง โดยเฉพาะตรงข้ามกับโรงเลื่อยที่ปากแรดนี้  (อีกหลายสิบปีต่อมา ไม่มีหาดทรายให้เห็นที่บ้าน
โป่งอีกแล้ว)

          ผมกับพี่ปรีชามองเห็นพุ่มไม้ทึบมากอยู่เหนือริมหาดขึ้นไป มองดู เหมือนจะมีประตูเป็นช่องเข้าไป แต่เอากิ่งไม้ที่ห้อยระย้านั้นเหนี่ยวลงมาพรางไว้ ผมกับพี่ปรีชาสงสัยว่า ข้างในจะมีอะไร จึงแหวกพุ่มไม้ที่เขาพรางเอาไว้มองไปข้างใน ข้างในนั้นเหมือนเป็นภายในของกระท่อม โล่งๆ มีไห แบบไหที่เขาใส่น้ำปลา ตั้งเรียงรายกันอยู่หลายสิบใบ  เขาปิดฝาไหด้วย เปลือกไม้ชนิดหนึ่ง ผมและพี่ปรีชาก็ไม่ทราบว่าเป็น เปลือกไม้อะไร
           แล้วผมก็แกะดู พี่ปรีชาบอกว่า น่าจะเป็นน้ำตาลเมา หรือกระแช่  หรือเหล้าเถื่อนของชาวบ้านนั่นเอง คงมีชาวบ้านคนหนึ่งคนใด ที่มีอาชีพทางต้มเหล้าขาย นำเอามาเก็บไว้ที่นี่ ไม่ได้เก็บไว้ที่บ้าน เพราะถ้าถูกจับแล้ว จะได้ไม่รู้ว่าเป็นของใคร  มีกระบวยซึ่งทำด้วยกะลามะพร้าวลูกเล็กๆ เจาะใส่ด้ามไว้อย่างสวยงาม ไว้สำหรับตวงใส่ขวด เวลาลูกค้ามาซื้อ น่าจะเปิดบริการเฉพาะเวลากลางคืนเป็นแน่
           พี่ปรีชาบอกว่า เราควรจะชิมกันดูซิว่า รสมันจะเป็นอย่างไร  ว่าพลางก็หยิบกระบวยนั้น แล้วเปิดฝาไหออก จ้วงตักลงไปแล้วดื่มเข้าไปนิดหน่อย พี่ปรีชาว่า อือ หวานดี อร่อยดีเหมือนกัน เก้วลองดู ผมก็ลองกินดูเหมือนพี่ปรีชาเหมือนกัน มันก็หวานๆ อย่างกับพี่ปรีชาว่า (มารู้ทีหลังว่า นั่นคือน้ำตาลเมา ทีแรกมันมีรสหวานน่ากิน จะเริ่มเมาขึ้นในภายหลัง) ผมกับพี่ปรีชาเลยดื่มกินกันใหญ่
          อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เมา เดินแทบไม่ไหว หัวหมุนติ้ว เดินไปได้หน่อยก็ล้มลงบนหาดทรายนั่นแหละ  ตอนนั้นก็เย็นจนใกล้ค่ำแล้ว ผมสองคนก็ยังไม่หายเมา  ทางโรงเลื่อยคงคิดว่าผมสองคนไปไหนกัน หากันเท่าไรก็ไม่เจอ บังเอิญมีคนงานเห็นผมกับพี่ปรีชาพายเรือเล็กข้ามไปฝั่งหาดทรายเมื่อตอนบ่าย เถ้าแก่โรงเลื่อยก็เลยสั่ง ให้คนงานเอาเรือออก ข้ามฝั่งไป เจอผมกับพี่ปรีชานั่งกันอยู่ที่ชายหาด ลุกไม่ขึ้นเพราะความเมา  คนงานก็เลยพาผมสองคนกลับมายังโรงเลื่อย โดยปลอดภัย

       เมื่อโรงรียนไกล้จะเปิด พ่อผมก็ถีบรถจักรยาน ไปส่งผมที่บ้านน้าฟ้าข้างดงมะพร้าวดังเดิม

         เรื่องของโรงเลื่อยในตอนที่ผมมาอยู่เพียงไม่กี่วันและได้รู้จักกับคุณปรีชา ทรัพย์เย็นนั้น ยังมีรายละเอียดและความสนุกสนานประสาเด็กๆอีกมากมาย เพราะว่าคุณปรีชาคือเพื่อนและพี่ชาย ที่อยู่ในความทรงจำของผมตลอดมาจนในปัจจุบันนี้ 

         แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็อยากจะเสนอเรื่องของบ้านโป่งให้จบเร็วๆ จึงจะขอเสนอเรื่องของผมในบ้านโป่งนี้อีกตอนหนึ่ง เท่านั้น  คือตอนไฟไหม้ตลาดบ้านโป่งครั้งใหญ่ ร้านทองของลุงตุยก็โดนไฟไหม้ทั้งหมดในคราวนั้นด้วย ผมเองก็ไปช่วยลุงตุยขนของด้วยในวันนั้น จะเสนอในตอนจบแน่นอนครับ.......!

                                                                                      รออ่านตอนจบที่นี่ที่เดียว

นำมาเล่าโดยนายแก้ว

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้227
เมื่อวานนี้496
สัปดาห์นี้723
เดือนนี้13641
ทั้งหมด1343525

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online