ไฟไหม้ ตลาดบ้านโป่ง ๒

เรื่องราวของชาวตลาดเจ็ดเสมียน

ไฟใหม้ตลาดบ้านโป่ง ครั้งใหญ่ ๒

       ผมจะขอลอกบทความของคุณ ธงชัย จงศรีอดิสรณ์ ที่เขียนเรื่องบ้านโป่ง ถูกไฟไหม้ในครั้งนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องโดยละเอียดอีกทีหนึ่ง เพราะว่าเรื่องของผมที่ผมอยู่ในเหตุการณ์จริงๆนั้น ก็รู้เท่าที่ผมประสพด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ภาพโดยรวมขอให้ท่านอ่านบทความชิ้นนี้เถิด

     บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2497 เวลาประมาณ 14.30 น. นับเป็นวันที่โศกเศร้าที่สุดและเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวตลาดบ้านโป่งแค่ในชั่วพริบตาเดียว เพราะขณะท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงแดดที่ร้อนระอุ แต่ก็มีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมควันไฟดำทะมึน เสียงร้องตะโกนจากคนบางคนว่า ไฟไหม้…ไฟไหม้ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและเรียกร้องเสียงหลงเพื่อขอความช่วยเหลือ

      เหตุไฟไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้น บริเวณชั้นบนของ ร้านฮั่วเส็ง ซึ่งเป็นร้านขายของชำ โดยมี นายบุ้นเส็ง หรือสมบัติ แซ่แต้ เป็นเจ้าของ ซึ่งตั้งอยู่กลางใจเมืองบ้านโป่ง (มุมถนนสุขาวดีด้านถนนแสงชูโตในปัจจุบัน) ติดกับร้านตั้งเง็กเซ้ง ไฟได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว แม้ประชาชนที่พบเห็นได้ช่วยกันสกัดไฟแล้วก็ตาม แต่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้แต่อย่างใด ในวันเกิดเหตุนั้น ทั้ง นายนาถ มนตเสวี นายอำเภอบ้านโป่ง และ นายกิจ ทรัพย์เย็น นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ไม่อยู่เพราะได้เดินทางไปรับการอบรมสงครามจิตวิทยาที่จังหวัดราชบุรี มีแต่ นายวาทย์ เศวตนันท์ และ นายทวี ทวีพูล ปลัดอำเภอบ้านโป่ง รักษาการได้ไปอำนวยการดับเพลิงอย่างใกล้ชิด และขอรถดับเพลิงจากท้องที่ใกล้เคียงอีกด้วย
          รถดับเพลิงของเทศบาลเมืองบ้านโป่ง กว่าจะไปถึงที่เกิดเหตุต้องใช้เวลานาน ปล่อยให้ไฟลุกไหม้ลามไปยังบ้านเรือนข้างเคียง ทั้งที่สถานีดับเพลิงห่างจากที่เกิดเหตุเพียงแค่ 300 เมตรเท่านั้น ทำให้ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็วสุดความสามารถของเจ้าหน้าที่ ขณะเกิดเพลิงไหม้นั้น มีประชาชน นักเรียน ลูกเสือของโรงเรียนรัตนราษฎร์บำรุง ได้ช่วยกันขนสิ่งของออกจากบ้านเรือนกันจ้าละหวั่น
           บางคนร้องเรียกขอความช่วยเหลือ บางคนเรียกหาบุตรหลานของตนเองเพื่อหลบภัย วุ่นวายกันไปทั่วเมืองจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครกัน นักฉวยโอกาสได้อาศัยช่วงจังหวะนี้ ขโมยสินค้าของผู้ประสบภัยอีกทอดหนึ่งด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณภัยไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว จึงได้โทรเลขขอความช่วยเหลือไปยัง โพธาราม ราชบุรี นครปฐม และกรุงเทพ เพื่อจัดส่งรถดับเพลิงมาทำการช่วยเหลือเป็นการด่วน แต่กว่ารถดังกล่าวจะมาถึง ไฟได้ลุกไหม้บ้านเรือนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเกือบทั้งเมือง เพลิงได้สงบลงเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น.รวมเวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง
          ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ ประชาชนต่างกำลังชุลมุนวุ่นวายช่วยกันสกัดไฟ นายบุ้นเส็งหรือสมบัติ แซ่แต้ เจ้าของบ้านต้นเพลิงอาศัยช่วงจังหวะนี้ วิ่งหลบหนีไปซุกซ่อนที่โรงเรียนฮกเฮง ขณะหลบนอนคลุมโปงอยู่ในรถบรรทุกที่เตรียมการไว้หลบหนีเข้ากรุงเทพ แต่ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมือของ ร.ต.อ.แก้ว พรหมพินิจ ผบ.กอง สภ.อ.บ้านโป่งไปได้ และยอมรับสารภาพอย่างหมดสิ้นว่าได้วางแผนไว้นานแล้ว เพื่อเผาหวังเอาเงินประกันเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ประมาณ 1 เดือน ได้เกิดเพลิงไหม้ที่บ้านดังกล่าวมาครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนั้นชาวบ้านได้ช่วยกันดับไฟได้ทัน
             หลังจากเพลิงได้สงบลงแล้ว เวลาประมาณ 21.00 น. นายแม้น อรจันทร์ ผวจ.ราชบุรี (ปีที่ดำรงตำแหน่ง พ.ศ.2495-2501) ได้นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ออกไปให้การช่วยเหลือเป็นการบรรเทาทุกข์ โดยจัดให้ผู้ประสบอัคคีภัยเข้าพักอาศัยอยู่บริเวณวัดบ้านโป่ง วัดดอนตูม และปลูกสร้างเพิงที่พักชั่วคราวบริเวณริมแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งจัดเตรียมไว้
           พร้อมกับนำหน่วยของกรมอนามัยออกไปตั้งหน่วยรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บส่วนหนึ่ง ส่วนหน่วยของกรมประชาสงเคราะห์ทำการแจกเสื้อผ้า ผ้าห่มและเครื่องนอน ตลอดจนการแจกข้าวสาร โดยเฉพาะหน่วยรถยนต์เคลื่อนที่ รถเสบียงของกองอาสากาชาด ได้นำอาหารไปเลี้ยงแก่ผู้ประสบภัย โดย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ในฐานะผู้อำนวยการกองอาสากาชาดได้แจกจ่ายอาหารด้วยตนเองด้วย

         เมื่อ วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2497 เวลาประมาณ 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมุห์ราชองครักษ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์จากพระที่นั่งอัมพรสถานอย่างกระทันหัน โดยมิให้ใครรู้พระราชประสงค์ที่จะทรงไปเยี่ยมพสกนิกรที่ถูกเพลิงไหม้ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมการต้อนรับอย่างเอิกเกริก เพราะประชาชนกำลังอยู่ในระหว่างเศร้าโศก เนื่องจากถูกเพลิงไหม้ทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก
การเสด็จของทั้งสองพระองค์ในครั้งนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลซึ่งมีหน้าที่ถวายการอารักขาก็ไม่ทราบเรื่อง กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อพระองค์ได้เสด็จไปไกลแล้ว พอเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลทราบ จึงได้ออกติดตามไปถวายการอารักขาอย่างรีบด่วน และติดตามขบวนเสด็จไปทันที่จังหวัดนครปฐม เมื่อรถยนต์พระที่นั่งถึงจังหวัดนครปฐมเวลา 12.00 น.ได้ประทับเสวยพระกระยาหารกลางวัน ณ พระที่นั่งชาลีบรมอาสน์ พระราชวังสนามจันทร์ 

                                 (ภาพจากห้องภาพ ศรีเงิน บ้านโป่ง) 

         จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปถึงตลาดบ้านโป่ง โดยมีพระราชญาติรักษา ผู้ว่าราชการภาค 7 เข้าเฝ้ารับเสด็จ รถยนต์พระที่นั่งได้วนรอบบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ ทรงทักทายถามทุกข์สุขผู้ประสบอัคคีภัยครั้งนี้โดยทั่วหน้ากัน พร้อมกับพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1 แสนบาท ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์และยังทรงพระราชทานเสื้อผ้า อาหาร ตลอดจนยารักษาโรค อีกส่วนหนึ่งด้วย ครั้นเมื่อเวลา 15.30 น.ได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จ ต่างรู้สึกทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

            หลังจากนั้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน 2497 ตลาดบ้านโป่งได้กลับมามีสภาพแจ่มใสขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยาได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดตลาดสด (ปลูกสร้างใหม่ชั่วคราว) บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอบ้านโป่ง ได้นิมนต์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และท่านเจ้าคุณธรรมดิลก เป็นประธานคณะสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์และประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ผู้ประสบภัยรอบๆบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ด้วย
            อนึ่งปรากฎว่าสถานที่ราชการ เช่นที่ว่าการอำเภอบ้านโป่ง เทศบาลเมืองบ้านโป่ง และโรงเรียนเทศบาล ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่เกิดเพลิงไหม้รอดพ้นไปอย่างหวุดหวิด มีแต่เพียงร้านค้า และบ้านเรือนทั้งตลาดล่างและตลาดบนวอดวายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนธนาคารออมสิน ตั้งอยู่ถนนทรงพล  (ร้านเพชรสยามในปัจจุบัน) ได้ถูกเพลิงไหม้เช่นกัน แต่เงินที่อยู่ในเซฟไม่ได้ถูกไฟเผาผลาญแต่อย่างใด ประชาชนแห่กันไปมุงดูด้วยความแปลกใจ

         แม้อดีตที่ผ่านมาเป็นความเจ็บปวด จากมือวางเพลิงเผาผลาญตลาดบ้านโป่งวอดวายเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพียงแค่หวังเงินประกันภัยแค่ 3 หมื่นบาท แต่การสูญเสียของประชาชนที่ประสบเคราะห์กรรมไร้ที่อยู่อาศัยมากมายและทรัพย์สินเสียหายอีกกว่า 100 ล้านบาท เป็นความทรงจำมิอาจลืมเลือนจากใจของผู้ทนทุกข์ทรมานในขณะนั้น แม้จะผ่านไปแล้ว 50 ปี นับเป็นอัคคีภัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในยุคนั้น

    เรื่องโดย... ธงชัย จงศรีอดิสรณ์  นสพ.วิเคราะห์  (ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณธงชัย ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย)

          เช้าแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ไม่มีใครนอนหลับตาลงเลย  ทุกคนต่างเข้าไปดู กองเถ้าถ่าน บ้านใครบ้านมัน ซึ่งควันยังกรุ่น และความร้อนยังเหลืออยู่อีกมาก ลุงตุยรีบเข้าไปยังบ่อน้ำ ที่ถ่วงทองไว้ทันที ญาติพี่น้องของลุงตุยหลายคนก็มารวมกันตรงนี้ ผมก็ไปกับเขาเหมือนกัน ไปช่วยกันคุ้ยเขี่ย กองขี้เถ้า อิฐหินปูนทราย ที่มันทลายลงมากลบปากบ่อนั้นเสียมิดไปหมด พวกเราต้องเอาจอบเสียมเครื่องมือในการขุด มาเขี่ยดิน หินทรายบนแผ่นเหล็กที่ปากบ่อออก 

พระเพลิงโหม ๔ ชั่วโมงเศษ ตลาดบ้านโป่งทั้งตลาด ก็ราบเรียบหมด แทบไม่เหลือซากไว้เลย

         ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย ที่เหลือส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพวก เหล็ก น๊อต ตะปู เสียส่วนใหญ่ นอกนั้นไม่มีอะไรเหลือ ลุงตุยไปเอาเหล็ก ๒ หุน จากที่บ้านดงมะพร้าวมาด้วย เอามางอตรงปลาย แล้วแหย่ลงไปในบ่อ ซึ่งยังมีน้ำอยู่เต็มเท่าระดับเดิม โดยมันผุดออกมาจากตาน้ำก้นบ่อนั้นตลอดเวลา น้ำไม่ได้แห้งไปด้วยเลย เพราะว่า ถึงจะได้รับความร้อนจากไฟเท่าไร และน้ำระเหยออกไป แต่น้ำในบ่อนั้นก็จะซึมเข้ามาแทนที่อีก ทำให้ระดับน้ำอยู่เท่าเดิมอย่างนั้น 

         ลุงตุยแกใช้เหล็ก ๒ หุนเส้นนั้น ควานเกี่ยวหาหูกระเป๋าหนังลูกที่แกหย่อนเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดก็เกี่ยวถูกเชือกมนิลาที่โยนลงไปด้วยเมื่อวานนี้ หาเจอ แล้วดึงขึ้นมาท่ามกลางญาติพี่น้องที่ยืนมุงดูกันอยู่ ลุงตุยสำรวจของดูเห็นว่าอยู่ครบแล้ว ด้วยความดีใจของญาติพี่น้องและทุกคน สำรวจเรียบร้อยแล้วก็นำมาใส่ ไว้ในกระเป๋าตามเดิม แล้วห้ามทุกคนมิให้แพร่งพรายไปให้ใครรู้เป็นอันขาด เพราะว่าของมีค่าเหล่านี้จะเป็นทุนสำรองต่อไป ในยามที่ไฟใหม้หมดตัวแล้วครั้งนี้  ต่อมาทางการก็เข้าช่วยเหลือ โดยปลูกเพิงให้อยู่กันชั่วคราว แถวๆ ริมแม่น้ำ วัดบ้านโป่ง ที่มีโรงเรียนรัตนราษฎ์บำรุงด้วย แล้วก็ที่วัดดอนตูมอีกแห่งหนึ่ง

           สำหรับการเป็นอยู่นั้น ก็มีมูลนิธิการกุศลต่างๆ และหน่วยงานราชการ มาบริจาคของกินของใช้ กันมากมาย รวมทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มด้วย รถน้ำของเทศบาลก็มาแจกน้ำกันอย่างเต็มที่ ผมเห็นแถวๆรอบๆดงมะพร้าวก็มี นอกจากนั้น ก็ยังมีนักฉวยโอกาสหยิบ ขโมยของๆเขาไป เป็นการซ้ำเติมให้กับผู้ที่ เดือดร้อนอยู่แล้ว ตำรวจตามจับได้นับสิบๆราย 

         สำหรับเรื่องไฟไหม้บ้านโป่ง ที่ผมบังเอิญได้เข้าไปเห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด ใน พศ. ๒๔๙๗ ด้วยนั้น ผมก็จะขอจบไว้เพียงเท่านี้ จริงๆแล้วก็ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ผมได้รู้ได้เห็นมา เกี่ยวกับเรื่องที่ไฟไหม้บ้านโป่งนี้  เพราะยาวเกินมากแล้ว

         ผมก็ยังอยู่ที่บ้านน้าฟ้าเหมือนเดิม ทำงานหลายๆอย่างช่วยเขาเหมือนเดิม ไม่ค่อยถูกกับไอ้เปี๊ยกและไอ้ธันวาเหมือนเดิม แต่ผมก็เอาตัวรอดได้อยู่เสมอ ผ่านปีเก่า (ปีนี้เดือนธันวาคมเป็นปีที่หนาวที่สุดเป็นประวัติการณ์ พ่อผมบอกว่า ลงถึงประมาณ ๕ องศาเซ้นติเกร็ด) มาเป็นปีใหม่ พ.ศ. ๒๔๙๘  แล้ว ต้นเดือน กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ ใกล้จะสอบไล่ขึ้นชั้นกันเข้ามาเต็มที การเรียนผมแย่มาก มีแนวโน้มว่าจะสอบตกด้วยซ้ำไป เพราะการทำงานที่บ้านน้าฟ้านี้ไม่มีข้อยกเว้นอะไรเลย ต้องทำทุกวัน ก็ไปโรงเรียนสายทุกวัน ยิ่งตอนหลังน้าฟ้าแกดันขายกล้วยทอดด้วยแล้ว ผมต้องตื่ น ตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ ลุกขึ้นมาช่วยกันโม่แป้ง  ทำงานทุกอย่างเสร็จแล้วถึงได้ไปโรงเรียน
         ครูประกอบก็มาชวนผมหลายหนให้ไปอยู่กับแก ที่บ้านเช่าหลังโรงเรียนจีน ฮกเฮ็ง  ครูประกอบบอกว่า ครูสืบมาหมดทุกอย่างแล้ว ว่า แก้ว มีความเป็นอยู่อย่างไร ในบ้านหลังนี้ ครูเห็นใจแก้วมากๆเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรได้ ใกล้สอบแล้ว ทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน อย่าไปมีเรื่องกับเขาให้ได้เชียว ครูประกอบแกก็สั่งผมไว้อย่างนี้ ด้วยความเป็นห่วง ผมก็ขอขอบคุณครูประกอบไว้ ณ ที่นี้ด้วย
         ผมไม่ได้ตอบแทนบุญคุณอะไรครูแกเลย เพราะว่า เมื่อปลายเดือน กุมภาพันธ์ ที่ผมสอบเสร็จแล้ว ผมก็รีบกลับ เจ็ดเสมียนทันที ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังผลการสอบด้วยซ้ำไป แล้วในตอนหลังพ่อของผมจึงมาลาออกจากโรงเรียนสารสิทธิ์ให้ผม โชคดีที่ผมยังสอบได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พอดี ไม่มีเศษเลย ผมเลยนึกออกแล้วว่า เพราะครูประกอบช่วยใส่คะแนนให้ผมนั่นเอง ผมจึงไม่ต้องมาเรียนซ้ำชั้น ม. ๑ อีกในปีต่อมา
          ไหนๆจะจบและกลับบ้านกันแล้ว ก็จะขอคุยเรื่องการกลับบ้านของผมอีกนิดหน่อย  ตอนหลังๆนี้ หลังจากสอบเสร็จแล้ว และพ่อของผมยังไม่ได้มารับกลับบ้านนั้น ผมก็ยังอยู่ที่บ้านน้าฟ้าและก็ยังช่วยงานกันเหมือนเดิม ไอ้ธันวา และไอ้เปี๊ยกสองพี่น้องนี้เมื่อตอนบ่ายๆ เสร็จงานกันแล้ว มันชอบชวนผมไปเล่น โต๊ะเตะบอล เสียจริงๆ เรื่องนี้ผมก็เคยบอกหลายหนแล้วว่า กูไม่ชอบเล่นโว้ย  แต่ก่อนหน้านั้น ผมก็เคยไปเล่นกับมัน จนผมชักจะเล่นเป็นเสียแล้ว
            ผมพยายามฝึกเทคนิคในการเล่น เวลาผมไปเล่น ผมมักจะไม่ค่อยเล่นกับไอ้สองคนนี้หรอก มันก็เล่นกับพวกของมัน ส่วนผมชอบเล่นกับเจ้าของ เขาชื่อเฮียไข่ อายุ ๒๐ กว่าๆ แล้ว  ผมหัดเล่นไป เฮียไข่เขาก็สอนวิธีการเล่นต่างๆให้ผมจำไว้ ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์บ้าง จึงได้ยอมเสียตังค์ ค่าเล่น ให้กับเฮียไข่ไปทุกเที่ยว จนผมมีความชำนาญมากขึ้น เช่น เวลาจะยิงประตู โดยตัวยิงของเรายืนอยู่ที่ลูกที่เราจับไว้ได้ แล้วเทคนิคก็คือ ให้สายตาเรามองไปที่ประตูของคู่ต่อสู้ทางด้านซ้าย แล้วเรายิงโดยบิดข้อมืออย่างแรงไปทางมุมประตู ทางด้านขวา โดยมากตัวกันประตูของมันมักจะรับไม่ได้ และมีเทคนิคอีกมากมาย ที่เป็นลูกไม้ตื้นๆที่คู่ต่อสู้มักคิดไม่ถึง
           ผมสอบเสร็จตั้งนานแล้ว พ่อของผมก็ยังไม่มารับเสียที ผมไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ แย่แล้ว  ตอนหลังๆนี้ ไอ้ธันวากับไอ้เปี๊ยกไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันกลับหันมารังแกผมอีกแล้ว ถ้ามีเรื่องที่ผมจะเถียงกับมัน  พอผมเผลอ มันจะมาตบหัวผมทันที ผมก็ง้างหมัด คอยสวนมันบ้างแต่ก็ยังมีสติยับยั้ง ว่าถ้าเราเกิดสู้มัน ชกต่อยกันขึ้นมา ผลเสียก็ต้องมาตกอยู่ที่ผมอีกย่างแน่นอน น้าฟ้าคงไม่เอาผมไว้ คงต้องทำโทษผมอย่างแรงแน่นอน เพราะว่าผมเคยโดนเข็มขัดฟาดหลังมาแล้ว เมื่อตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ๆนั้น
          ไม่กี่วันต่อมา ลุงตุย มาบอกผมว่า เตี่ยของผมมาเยี่ยมลุงตุย เนื่องจากบ้านลุงตุยโดนไฟไหม้ ทั้งหมดเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเลยสั่งลุงตุยมาบอกว่า จะมารับผมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ ตอนสายๆ ผมได้ฟังแล้วผมก็ดีใจมาก สิ้นสุดกันเสียที เบื่อเหลือเกิน กับไอ้สลัมข้างดงมะพร้าวนี่ แต่ทุกอย่างที่นี่ก็สอนบทเรียนให้ผมมากมาย ผมจะจดจำไว้ไม่มีวันลืมเลย
          เย็นวันนั้นลูกชายของน้าฟ้าทั้งสองคนนั้นและผมเดินกันอยู่ในดงมะพร้าว หลังจากกลับจากที่เราชวนกันไปดู ผู้หญิงจีนคนหนึ่ง นั่งตายอยู่บนเก้าอี้ที่นั่งกินข้าว  ทางด้านหนึ่งของดงมะพร้าว เมื่อผมไปดูนั้นมีคนไปมุงดูกันมาก ผมกับไอ้สองคนนี้ไปมองๆดูแล้วก็กลับ ไม่เห็นมีอะไร  เดินมาได้ประเดี๋ยวไอ้เปี๊ยกก็มาชวนผมไปเล่น โต๊ะเตะบอลอีก  สตางค์ของผมนั้นเหลือไม่มากนักแล้ว ผมก็บอกไอ้เปี๊ยกว่า ผมไม่มีสตางค์ จึงไม่อยากไปเล่นเลย
          ทำให้มันโมโหมาก แต่มันก็ตื้อผมจะให้ผมไปให้ได้ ผมก็บอกว่าให้ไปกันสองคนเถอะ พรุ่งนี้กูก็จะกลับบ้านกูแล้ว คืนนี้ขอกูนอนให้สบายสักหน่อย เท่านี้แหละมันก็โกรธผมโดยไม่มีเหตุผล ไอ้เปี๊ยก ปราดเข้ามาผลักอกผมก่อนทีเดียว แล้วมันก็ว่า ใครๆเขาก็รู้กันหมดแล้วว่า มึงนั้นสอบตกโว้ย ไอ้หน้าสอบตก เรื่องสอบได้สอบตกนั้นผมไม่เห็นจะสำคัญอะไร ถ้ามันไม่ได้มันก็ตกเท่านั้นเอง
          แต่เรื่องที่มันมาผลักอกผม แทบหกล้มนั่นซีผมเดือดนัก ผมก็ว่า เฮ้ยไอ้เปี๊ยก มึงโกรธกูเรื่องอะไรกันวะ ไม่มีเหตุผลเลยนี่หว่า เพียงแต่กูไม่ยอมไปกับมึงนั้น มึงเล่นกูอย่างนี้เลยหรือวะ แล้วไอ้เปี๊ยกแทนที่ว่ามันจะตอบคำถามผม มันกลับว่า แล้วมึงจะทำไมกู พูดพร้อมกับเงื้อฝ่ามือจะตบหน้าผมอีก ผมคิดว่าไอ้เปี๊ยกมันคิดว่าผมจะกลับบ้านแล้วกระมัง เมื่อมันยกมือขึ้นจะตบผมนั้นสัญชาติญาณ ทำให้ผมยกมือซ้ายขึ้นกันทันที
          กะจะปล่อยหมัดขวาออกไป พอดีกับไอ้ธันวาพี่ชายมัน กระโดดเข้ามากอดที่เอวผมทันที แล้ว ว่า เฮ้ย อย่าๆ แต่ในขณะที่มันพูดมันก็ไม่ยอมปล่อยผม มันจะจับผมไว้ให้ไอ้เปี๊ยกเล่นงานผม หรือว่า มันจับผมกลัวผมจะเข้าไปเล่นงานไอ้เปี๊ยกก็ไม่รู้ ไอ้เปี๊ยกสะอึกเข้ามาหาผมอีก ผมก็ยกเท้าถีบสกัดโครมเข้าให้ พรางว่า ไอ้เปี๊ยกมึงจะทำอะไรกู อย่านะโว้ย มึงไม่มีเหตุผลเลยนี่หว่า
          เดี๋ยวนี้ผมโตขึ้นมาก คงเนื่องจากว่า อยู่ที่นี่ทำงานหนักมากนั่นเองขนาดไอ้ธันวาก็ยังเล็กกว่าผมแล้ว ไอ้เปี๊ยกมันจะไปเหลืออะไร มันคิดผิดแล้ว  มันเคยข่มเหงผมได้ตลอดมานั้น ผมยังไม่รู้เรื่องอะไร เมื่อผมมาอยู่ใหม่ๆต่างหาก มันก็คงคิดว่าผมก็คงเป็นอย่างนั้น  เอาละวะ ผมคิด วันนี้ก็จะขอลองกับมันสักที เป็นไรเป็นกัน จะได้จำกันไว้จนวันตายนั่นแหละ ไอ้เปี๊ยกเอ๋ย .....!
         ผมถีบไอ้เปี๊ยกกระเด็นผึงออกไป เหมือนยิ่งยุ มันรี่เข้ามาใหม่ ผมก็ได้แต่ยกเท้ากันๆเอาไว้ ผมทำอะไรไม่ถนัดเพราะไอ้ธันวา มันมาล๊อคเอวผมไว้ คงกะจะให้ไอ้เปี๊ยกมันซ้อมผมแน่นอน ผมคิดว่าอย่างน้อยผมต้องเหวี่ยงให้ไอ้ธันวา มันกระเด็นหลุดไปก่อน ถ้าไม่หลุดมันต้องได้เปรียบผม ดีไม่ดีถูกไอ้เปี๊ยกต่อยตายแน่ ผมจึงรวบรวมกำลังอย่างเต็มที่สะบัดเหวี่ยง ไอ้ธันวากระเด็นผึงออกไปทันที  ไอ้เปี๊ยกเข้ามาใหม่ ต่อยผมโครมเข้าที่หน้า ปากผมแตกเลือดไหลออกมาทันที
         เรื่องมันล่วงเลยเข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ผมจำเป็นต้องสู้แล้ว ผมคิดว่า พรุ่งนี้ผมก็จะกลับบ้านแล้ว กูก็จะไม่ได้อยู่ที่บ้านมึงอีกแล้ว จึงต้องสู้กับมันว่า ผมก็ไม่กลัวมันเหมือนกัน ผมเช็ดเลือดที่ออกมาจากริมฝีปากที่แตก ไอ้เปี๊ยกหัวเราะร่าตาขวางใส่ผม ไอ้ธันวามองดูเฉย ยังไม่ได้คิดเข้าช่วย เพราะว่ามันเห็นว่าน้องมันเป็นต่ออยู่  ไอ้เปี๊ยกยกตีนเตะผมอีกทีหนึ่ง ผมจับขามันได้แล้วไถมันออกไปจนมันล้มลง ผมกะเตะมันที่ปลายคางตอนมันล้ม คิดว่าจะเอาให้อยู่ตรงนั้นเลย
         ผมไม่เห็นไอ้ธันวามันหรอก แว๊บเดียวมันก็กระโดดเข้ามาล๊อคเอวผมอย่างเดิมอีก ทำให้ไอ้เปี๊ยกมันลอดพ้นจากตีนผมไปได้ ผมเหวี่ยงไอ้ธันวาให้หลุดออกไป แต่มันไม่หลุด มันบอกให้ ไอ้เปี๊ยกรีบเข้ามาเล่นงานผม มันจะจับไว้ให้  ไอ้เปี๊ยกต่อยเข้าที่หน้าผมโดนหน้าผาก ปูดโนขึ้นมาทันตาเห็น แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงคนพูดว่า เฮ้ยหยุดนะ หยุดโว้ย พวกมึงทำอะไรกันวะ

         ผมหันไปดู เห็นยงยุทธลูกลุงตุยนั่นเอง มันตั้งใจมาหาผมเพราะว่าลุงตุยสั่งให้ผมไปหา ที่ๆพักขั่วคราวที่เทศบาลปลูกให้อยู่ แถวๆริมน้ำ เนื่องจากที่ร้านโดนไฟไหม้ และกำลังจะขยับขยายกันต่อไป เมื่อไม่เห็นผมอยู่บ้าน น้าฟ้าบอกว่าเดินกันเข้าไปในดงมะพร้าว ยงยุทธจึงตามมาหาผมในดงมะพร้าว และเห็นผมกำลังต่อสู้กันอยู่ จึงได้ตะโกนห้าม
          แต่ไอ้เปี๊ยกกับไอ้ธันวามันหาได้ฟังไม่ ไอ้ธันวามันจับผมกดกับต้นมะพร้าวไว้ แล้วไอ้เปี๊ยกก็เข้ามา เอาหมัดทิ่มพรวดที่หน้าผมอีกที แต่คราวนี้ผมตั้งสติได้ ไหวตัวทัน เลยยกตีนถีบมันโครมกระเด็นออกไป ก็บอกแล้วไง เดี๋ยวนี้ผมตัวโตกว่าพวกมันเสียแล้ว ผมพยายามจะสลัดไอ้ธันวาที่จับเอาผมไว้แน่นให้หลุดออกไปให้ได้
          นายยงยุทธเห็นผมอยู่ในลักษณะอย่างนั้นจึงร้อง ตะโกนบอกอีกว่า ให้หยุดเดี๋ยวนี้ พวกมึงทำอะไรกัน แล้วถลันเข้ามาผลักไอ้ธันวาออกไป ไอ้เปี๊ยกก็เลยพลอยหยุดไปด้วย  ขนาดพวกมึงอยู่ด้วยกันแท้ๆ ยังทะเลาะชกต่อยกันได้ถึงขนาดนี้ เอาเป็นเอาตายเลยหรือวะ  ไอ้ธันวาก็ว่า กูกับไอ้เปี๊ยกคิดกันไว้แล้ว จะฉลองมันรวบยอดก่อนที่มันจะกลับบ้านมัน  ยงยุทธก็ว่า แล้วพวกมึงต้องทำอย่างนั้นทำไม คนเราโว้ย ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็อาจจะมาเจอกัน มาช่วยเหลือกันอีก ทำไมมึงไม่คิดอย่างนั้นวะ ไอ้พวกเวรนี่
          เอาอย่างนี้ถ้าพวกมึง คิดอยากจะต่อยกับมัน กูเข้าร่วมด้วยนะ กูจะอยู่ข้างไอ้เก้วมัน สองต่อสองถึงจะดีโว้ย อย่างนี้ถึงจะแน่จริงเอาไหมวะ  ไอ้เปี๊ยกก็บอกว่าเอาไงก็ได้วะ แต่กูก็ขอซัดกับไอ้เก้วมันก่อน ตอนนี้มึงอย่าเพิ่งมายุ่ง  มึงนั่นแหละกูก็อยากต่อยหน้ามึงเต็มทีแล้ว เดี๋ยวรอก่อนนะ
          ตอนนี้ผมยืนเป็นอิสระแล้ว ไอ้ธันวามันไม่กล้าเข้ามากอดเอวล๊อคผมแล้ว ยงยุทธเขายืนคุมมันแจอยู่ ไอ้เปี๊ยกมันโถมเข้ามาหาผมอีก พร้อมกับยกตีนถีบนำเข้ามาอย่างแรง ผมคิดว่า ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อจะเผด็จศึกให้รวดเร็ว และให้มันหลาบจำ เด็กเจ็ดเสมียนคนนี้ไปจนวันตาย ผมจับขามันได้แล้วเข็นมันถอยกลับไป เหมือนเดิมอีกครั้ง มันถอยไปไม่ทัน จึงหกล้มก้นกระแทกลงไป อย่างแรง ผมกะว่าจะเตะมันซ้ำ เห็นแว๊บๆ ว่าไอ้ธันวา ตรงรี่เข้ามาหาผม ผมจึงหยุดชะงัก เพราะต้องคอยระวังไอ้ธันวามันด้วย ยงยุทธรออยู่แล้วไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น  โดดเข้าใส่ไอ้ธันวาทันที และตะโกนขึ้นว่า ไอ้วา มึงเอาอย่างงี้แน่ใช่ไหม กูเอาเอาด้วยนะมึง แล้วก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอีกคู่หนึ่ง
           ตอนนั้นเย็นมากแล้ว จริงๆแล้วเราควรจะกลับถึงบ้านกันนานแล้ว  แต่มัวมาชกต่อยกันอยู่ นี่แหละคนที่มีนิสัยเกเร คนที่ไม่มีความคิด ตั้งแต่เด็กๆ มันจึงรังแกผมตั้งแต่แรกๆที่ผมมาอยู่ที่บ้านของมัน นี่ดีนะว่า ยงยุทธ มันเข้าข้างผมตลอด วันเวลาที่ผ่านมานั้น ยงยุทธมันคอยปกป้องผมเสมอ ทุกครั้งที่มีเรื่อง และตอนที่ผมวิ่งไปบอกเขา ยงยุทธมันจะมาด่าไอ้พวกนี้ถึงที่เลยทีเดียว ทำให้พวกมัน อดใจที่จะแก้แค้นไว้เสมอมา
           จนมาถึงวันนี้ คงเป็นวัน ดีเดย์ ของพวกมันแล้ว นี่ยังดีนะ ที่ทะเลาะชกต่อยกันครั้งนี้ ไม่ได้เตรียมตัวกันมาก่อน มิฉะนั้น มันคงเอาอาวุธมาบ้างแหละ ผมเห็นยงยุทธ ต่อยไอ้ธันวาเข้าที่หน้าหลายที และไอ้ธันวาก็ต่อยตอบกลับบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ ร่างกายของยงยุทธ มันโตกว่าพวกนี้มากแล้ว เช่นเดียวกับผม ไอ้ธันวามันจึงเสียเปรียบไม่ใช่น้อย
            ผมกับไอ้เปี๊ยก ก็ยังเอาหมัดแหย่กันไปมา ต่างก็หาจังหวะ ที่จะส่งหมัดเด็ดๆสักหมัดสองหมัดก็เอากันให้อยู่ไปเลย  เด็กสองคู่ต่อยกัน อยู่กลางดงมะพร้าว เป็นเวลานานพอสมควร ในตอนจะค่ำอย่างนี้ไม่มีใครเดินผ่านมาเลย คนที่บ้านเช่นน้าฟ้า แกก็ไม่เดินออกมาตาม เพราะว่า แกไม่เคยตามลูกหลานแกอยู่แล้ว จะกลับมืดกลับค่ำ มันก็จะกลับของมัน เอง อย่างนี้ทุกครั้งที่หายไป
           แล้วจังหวะฟลุ๊ค ของผมก็มาถึง เมื่อไอ้เปี๊ยกส่งหมัดขวาเข้ามาอย่างแรง ผมเห็นแล้ว เพราะผมก็เกร็งหมัด หาจังหวะอยู่เหมือนกัน กะว่าถ้ามันต่อยมา ผมก็จะสวนมันทันทีเพื่อจะยุติการชกต่อยครั้งนี้ให้ได้  ตอนนี้คู่ต่อสู้ทั้งสองคู่นี้ โดนคนละนิดหน่อยแล้ว ตัวผมหน้าผากปูดโนออกมา ปากก็แตก เลือดไหลซึมๆ เอามือป้าย ก็มีเลือดติดท้องแขนมาด้วย ไอ้เปี๊ยกก็โดนผมเข้าไปหลายหมัดเหมือนกัน แต่ด้วยแรงบ้าของมัน มันจะเอาผมให้เจ็บตัวให้มากกว่านี้ให้จงได้
          ไอ้เปี๊ยกถีบนำเข้ามาอีก อย่างนี้ผมต้องกำหมัดให้แน่น แล้วต้องสวนหมัดตรงออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว เพราะที่แล้วๆมา ผมสวนมันไม่ทันจึงไม่ถูกมัน แต่ถ้าถูกหน้ามัน น้ำหนักก็เบา เพราะว่า มันถอยออกไปแล้ว จึงถูกแต่ปลายๆหมัด มันจึงไม่ค่อยจะได้ผล แต่ครั้งนี้ผมกำหมัดแน่น กะสวนมันตรงปลายคาง เพราะว่าตรงปลายคางของคนเราทุกคนนั้น เป็นจุดที่รวมประสาททั้งหลาย เป็นจุดอ่อนที่สุด ถ้ามีอะไรกระทบตรงนั้นจะหลับทันที
            แล้วถึงบทที่จะต้องสิ้นสุดการชกต่อยครั้งนี้ก็มาถึง เมื่อไอ้เปี๊ยกถีบนำเข้ามาอย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมไม่ได้จับขามันลากเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะคิดว่าถ้าจับขามันลากแล้ว เราต้องไปออกกำลังเข็นขามันไปอีก จะเสียกำลังไปตรงนั้นมาก ผมเอากำลังมาอยู่ที่หมัดขวาของผมทั้งหมด แล้ว ส่งหมัดขวาสวนออกไป ตูม คราวนี้ได้ผล หน้าไอ้เปี๊ยก หงายลอยไปตามหมัดผม
           ผมก้าวสืบท้าวตามเข้าไปติดๆ กะจะเอาอีกสักหมัด เพื่อให้อยู่ ที่เขาเรียกว่าอยู่หมัดนั่นแหละ แต่ไม่ทันเสียแล้ว ไอ้เปี๊ยกหงายหลังผลึ่งลงไป ดูเหมือนว่าจะหมดสติคาหมัดแรกของผมเสียด้วย มันนอนอ่อนระทวย ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว  ไอ้ธันวา กับ ยงยุทธ หยุดต่อยกันทันที หันมาทางผม แล้วรีบวิ่งไปประคองไอ้เปี๊ยกลุกขึ้นใน ท่านั่งครึ่งท่านอนครึ่ง ในขณะที่มันยังหลับอยู่อย่างนั้น นวดเฟ้นมันและตบหัวตบหูกันใหญ่ เพื่อให้มันคืนสติ
            ผมเห็นดังนั้น ผมก็ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้ามัน แล้วบอกว่า วันนี้พอกันก่อนโว้ย พวกมึงรีบแก้ให้ไอ้เปี๊ยก มันฟื้นกันก่อนก็แล้วกัน มึงจำไว้นะ นี่แหละเด็กเจ็ดเสมียน ที่มึงเคยดูถูก และรังแกตลอดมา ก่อนที่กูจะกลับบ้าน กูก็ขอเอามึงคืนแค่นี้แหละ แต่ยังมีเวลาแก้แค้นกูทันนะ พรุ่งนี้ถึงจะกลับโว้ย  ไอ้ธันวามันเขย่าตัวไอ้เปี๊ยกหลายครั้ง ไอ้เปี๊ยกจึงได้สติขึ้นมาแล้ว ผมจึงเดินหันหลังออกจากดงมะพร้าวพร้อมๆ กับยงยุทธ ไป
         

        ระหว่างทางผมคุยกับยงยุทธว่า คืนนี้ผมต้องระวังตัวให้มากใช่ไหม ยงยุทธว่า คงไม่มีอะไรหรอก ทำอะไรไปตามปกติก็แล้วกัน น้าฟ้าแกไม่ค่อยสนใจหรอกกับเรื่องเหล่านี้ ทะเลาะ ชกต่อยกัน แต่ละครั้งแกไม่เคยถามเสียด้วยซี เฉยๆไว้ก่อนก็แล้วกัน
          ผมกับยงยุทธ เดินไปหาลุงตุยที่  เพิงพักชั่วคราว เมื่อเจอลุงตุยแล้ว ลุงตุยถามผมว่า หน้าผากไปโดนอะไรมา ผมก็บอกว่า มีเรื่องชกต่อยกับพวกไอ้เปี๊ยกมัน ลุงตุย บอกว่า ไอ้พวกนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว คืนนี้ลุงจะไปจัดการให้ ยงยุทธมันบอกว่า ไม่ต้องหรอกเตี่ย ไอ้เก้วมันจัดการไปเองแล้ว มันคงเข็ด คงไม่กล้ามาแหยมกับไอ้เก้ว มันอีกแล้ว
          แล้วลุงตุยก็บอกว่า พรุ่งนี้ในตอนสายๆ เตี่ยเขาจะมารับ กลับเจ็ดเสมียนนะ  มีของอะไรก็เก็บรวบรวมไว้ในตอนเช้าด้วย แล้วก็บอกลาใครต่อใครในคืนนี้หรือในตอนเช้านั่นเลย เตี่ยเขาจะให้เรียนที่นี่อีก หรือจะย้ายโรงเรียนก็แล้วแต่ ที่นอนหมอนมุ้งก็เอาไว้ไปเที่ยวหลังก็แล้วกันนะ ผมรับคำ จากนั้นผมก็เดินกลับบ้าน ยงยุทธเดินตามมาส่งผมด้วย
          คืนนั้นเมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็บอกน้าฟ้าว่า พรุ่งนี้เตี่ยจะมารับกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเตี่ยจะให้กลับมาอยู่ที่นี่ เรียนที่โรงเรียนนี้อีกหรือเปล่า น้าฟ้าบอกว่า ก็ไปกับเตี่ยก็แล้วกัน แล้วก็คิดถึงกัน และกลับมาเยี่ยมบ้างนะ ผมเห็นไอ้เปี๊ยกและไอ้ธันวามันเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว เงียบกันอยู่ในห้องหมดทั้งสองคน
         ทั้งสองคนนี้คือคู่อาฆาตของผม ตั้งแต่ผมมาอยู่ใหม่ๆ เลยทีเดียว แต่ก่อนกลับนี้ ผมก็ได้สั่งสอนมันไปอย่างจังแล้ว มันคงเข็ดไปอีกนาน คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ จิตใจผมไปอยู่ที่เจ็ดเสมียนแล้ว

          รุ่งเช้าวันนั้น พวกเราก็ลุกขึ้นมาทำงานกันตามปกติ ผมโพงน้ำ เข้าห้องอาบน้ำจนเต็ม ตามหน้าที่เกือบปีที่ผ่านมานี้ ไอ้ธันวากับไอ้เปี๊ยกก็ทำหน้าที่ของมัน มองสบตากัน แปร๊บๆ แต่ผมไม่สนใจมันหรอก เพราะผมไม่กลัวมันแล้ว พูดจาผิดถูกนิดหน่อยจะรี่เข้ามาตบหัวผมคว่ำลงไปเหมือนแต่ก่อน ไม่มีอีกแล้ว ผมมองดูหน้าเห็นหน้าไอ้เปี๊ยกยังช้ำเขียวนิดหน่อย ผมก็เหมือนกัน สงสัยแม่มันคงไม่ได้ถามอะไรเลยมั๊ง จึงได้เฉยๆกันเหมือนปกติ
          คนที่นี่ผมก็คุ้นเคยอยู่หลายคน แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยถึงเขา ในเรื่องของผมนี้หรอก เพราะว่าไม่ได้มีบทบาทอะไร ผมไปบอกลา เจ๊ม่วย คนที่รับซักเสื้อผ้าของผมตลอดมา เจ๊ศรี พี่สาวเจ๊ม่วย และคนอื่นแถวนั้นอีกหลายคน ว่าผมจะกลับบ้านแล้ว จึงมาบอกลากันไปก่อน บางคนก็ถามว่าแล้วจะมาอีกเมื่อไร
          ผมบอกว่าไม่แน่ ถ้ายังเรียนต่อที่นี่อีกก็จะมาก่อนเปิดเทอม บางคนที่เห็นผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้น ก็เคยเห็นใจผมที่ผมมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้วถูกรังแก และทำงานหนักเกินกำลัง ของเด็กๆอย่างผมทุกวัน  จึงบอกว่า กลับไปอยู่บ้านเสียก็ดี  ผมก็บอกลายกมือไหว้และขอบคุณเขาทุกคน  โดยเฉพาะเจ๊ม่วย ก็ดีกับผมมาตลอด ผมจ่ายเงินค่าซักผ้าให้เขาไปอีกทั้งเดือน ๓๕ บาท  เท่ากับว่าเดือนนี้ยังซักไม่ครบเดือน เงินผมก็หมดพอดี
          สายแล้ว ผมเตรียม เสื้อผ้านักเรียน เสื้อผ้าใส่เล่น ยัดลงกระเป๋าหนัง ลูกสี่เหลี่ยมที่ผมเอามาจากบ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว  ในตอนนี้ผมคงเอาไปแต่เสื้อผ้าเท่านั้น หนังสือเรียน ต่างๆ ที่ผมเรียนมาทั้งปี ที่นอน หมอน มุ้ง เสื่อ และ ตู้พล๊าสติกใส่เสื้อผ้ากันฝุ่นที่ลุงตุย ซื้อให้ในตอนหลังนั้น ผมก็ไม่ได้เอาไป คิดว่าจะฝากน้าฟ้าไว้ก่อน แล้วจะมาเอาในตอนที่จะมาลาออกจากโรงเรียนนี้
          ผมอยากจะไปลาครูประกอบ แต่ไม่รู้ว่าแกจะอยู่หรือไม่ เอาไว้มาหาแกอีกทีดีกว่าในตอนที่มาลาออกจากโรงเรียน ครูประกอบแกคงจะดีใจ ที่ผมได้ออกไปจากบ้านหลังนี้เสียได้ ครูประกอบแกก็จะช่วยเหลือผม เกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากแก เพราะน้าฟ้าแกไม่ร่วมมือด้วย
          ประมาณ ๔ โมงเช้า พ่อผมก็มาถึง พ่อบอกว่า ได้ไปคุยกับลุงตุยมาแล้ว เสร็จแล้วจึงมาที่นี่ แล้วถามผมว่า เตรียมของไว้แล้วหรือยัง  ผมก็บอกว่าเตรียมแล้ว ไม่มีอะไรหรอก  เอาแต่กระเป๋าใส่เสื้อผ้าไปลูกเดียว วันหลังให้พ่อเอาของที่เหลือกลับไปด้วย
         ผมไปร่ำลาน้าฟ้าอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาของผมชักจะซึมๆ ด้วยได้อยู่กันมานาน ดีบ้างร้ายบ้าง ก็พอทนได้ เหมือนเป็นญาติกันจริงๆ แล้วอยู่ๆ ก็จะมาจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ น้ำตาของผมก็ซึมออกมา เป็นธรรมดา
          ผมเห็นไอ้ธันวา กับไอ้เปี๊ยกนั่งอยู่ที่หน้าคอกหมู ทำหน้าซึมอยู่ ผมจำใจบอกว่า เฮ้ยธันวา เปี๊ยก กูกลับบ้านก่อนนะโว้ย ธันวาบอกว่า เออ โชคดีนะโว้ย กูคุยกับไอ้เปี๊ยกแล้วว่า กูจะต้องคุยกับมึงและขอโทษมึงด้วย ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมากูกับไอ้เปี๊ยก คิดไม่ดีกับมึงตลอด รังแกมึงโดยที่เห็นว่ามึงไม่มีทางสู้ กูต้องขอให้มึงยกโทษให้กูด้วยนะ  เราจะดีกันและเป็นพี่น้องกันตลอดไป ยกโทษให้กูกับไอ้เปี๊ยกด้วย ที่ข่มเหงมึงมาตลอด
          ไอ้ธันวาพูดจบ ไอ้เปี๊ยกจึงเงยหน้าขึ้นมามองผม ตั้งแต่ผมมาอยู่ ผมยังไม่เคยเห็นไอ้เปี๊ยกมองผมด้วยสายตาอย่างนี้มาก่อน เลย มันมองผมด้วยสายตาอย่างเป็นมิตรแท้ อย่างนั้นทีเดียว แล้วมันก็ว่า กูขอโทษ แล้วมันก็พูดไม่ออก สะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ ผมคิดว่าช่างมัน ผมก็จะกลับบ้านของผมแล้ว จบเกมกันเสียที ดีใจอยู่เหมือนกัน ที่ผมเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้ แต่ก็ไม่วายที่จะอดสงสารมันไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
          พ่อผมคุยกับน้าฟ้าสักครู่เสร็จแล้ว คงจะเคลียร์เรื่องสตางค์ค่าใช้จ่ายของผม ซึ่งต้องสรุปทั้งหมดด้วย เรียบร้อยแล้ว ผมก็หิ้วกระเป๋าหนังคู่ชีพของผมอย่างเดียว อย่างอื่นยังไม่เอาไปรวมทั้งสบู่ ยาสีฟัน ของใช้ประจำวันของผมด้วย  ฝากน้าฟ้าไว้ก่อน โดดขึ้นท้ายรถจักรยานแบบผู้ชาย ยี่ห้อ ฮัมเบอร์ คันใหญ่ ตะแกรงท้ายใหญ่ ของพ่อผมที่ขึ้นคร่อมรออยู่ทันที พ่อผมบอกว่า เราจะขี่รถจักรยานกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงบ้าน ประมาณ เกือบเย็นนั่นแหละ บ้านโป่ง ถึง เจ็ดเสมียนถีบรถเลียบตามลำน้ำแม่กลองลงไป  จะประมาณ ๔๓ กิโลเมตร กว่าจะถึงก็คงจะเหนื่อยน่าดู แต่พ่อของผมบอกว่า ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เหนื่อยหรอก เพราะตั้งแต่ที่มาทำงานที่บ้านโป่งนี้ ก็กลับไปมาหลายเที่ยวแล้ว
          ลุงตุยนั้น ผมไม่เจอหรอก เพราะว่า ตอนที่ผมกลับนั้น ลุงตุยเขาไปเข้าเวรดูแล พวกที่ อยู่ที่เพิงพัก ที่บ้านคนโดนไฟไหม้อยู่ เนื่องจากลุงตุยแกเป็นอาสาสมัคร ดูแลความปลอดภัยของชาวบ้านที่ประสพภัยในครั้งนี้ ร่วมกับอาสาสมัครอื่นๆ และพวกตำรวจด้วย ตั้งแต่ไฟไหม้ใหม่ๆนั่นแล้ว บางทีลุงคุยก็เข้าเวร ผลัดปลี่ยน  กะกลางวันบ้างกลางคืนบ้าง แล้วแต่จะโดนสลับกันไป วันนี้ผมจึงไม่เจอและไม่ได้ร่ำลาอะไร ยงยุทธ คนที่คอยช่วยเหลือเป็นพี่เลี้ยง ผมอยู่ตลอดเวลาก็ไม่อยู่ ไม่ทราบว่าไปไหน 
          

         และจากวันนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เมื่อ ๔ – ๕ ปีก่อน ผมไปเผาศพลุงของผมคนหนึ่ง ชื่อลุงเลี้ยง หรือนายประจวบ เพ่งผล ที่วัดหนองปลาหมอ ตำบลหนองปลาหมอ  อำเภอบ้านโป่งนี่แหละ ได้ทราบข่าวว่า ยงยุทธเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่วันนั้นในชีวิตนี้ผมก็ไม่ได้พบกับยงยุทธอีกเลย ไปดีเถิดนะ
         

         จากบ้านโป่งก็ถึงนครชุม ซื้อข้าวแกงที่ร้านค้าข้างทางกินแล้ว บ่ายหน่อยก็เข้า  เขตุ คลองตาคด  ถัดมาอีกพักใหญ่ ก่อนจะเข้าโพธารามก็ผ่านวัด ขนอน วัดคงคาแถวนั้นมีคนเชื้อชาติ มอญอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้ภาษามอญ สื่อสารกันอยู่ก็มี แล้วก็ผ่านวัดไทร ที่มีโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ จึงจะเข้าเขตุตลาดโพธาราม 
          ตลาดโพธารามนั้น เป็นถิ่นกำเนิดของพ่อผมก็จริง แต่ผมก็ไม่ค่อยได้มาเที่ยวเลย นานๆจึงติดรถส่งผักกาดเค็มมากับเขาด้วยเสียที เพราะว่าเมื่อพ่อผมได้ย้ายไปอยู่ เจ็ดเสมียน เมื่อ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ นั้นผมก็ยังไม่เกิด ผมเกิดที่เจ็ดเสมียนไม่ได้เกิดที่โพธาราม  จึงนับได้ว่าผมเป็นคนเจ็ดเสมียน อย่างแท้จริง
          พ่อผมหยุดพักที่ตลาดโพธารามนานพอสมควร ตระเวนไปคุยกับใครต่อใครซึ่งผมไม่รู้จัก คงเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเขานั่นแหละ เย็นแล้ว ผมก็กินข้าวแกงที่โพธารามอีก ออกจากโพธาราม ก็ผ่านคลองบ้านใหม่ ซึ่งเป็นบ้านของครูประวิทย์  ไทยแช่ม กว่าจะถึงเจ็ดเสมียน ก็ผ่านอีกหลายวัด ผ่านคลองข่อย บ้านเดิมของเตี่ยไอ้ธรมัน  ผ่านวัดตึก วัดสนามชัย แล้วจึงถึง วัดเจ็ดเสมียน ตลาดเจ็ดเสมียน ถึงเจ็ดเสมียน ก็ค่ำพอดี  แม่และน้องๆของผมต่างดีใจกันยกใหญ่ เป็นเวลา ๑ ปี เต็มๆ ที่ผมไม่ได้กลับมาที่เจ็ดเสมียนเลย มันนานพอดูเลยทีเดียว
           มีเพื่อนๆหลายคนมาหาเมื่อรู้ว่าผมกลับมา เราก็ต่างคุยกันและโม้กันไปตามเรื่อง ได้ทราบว่า ที่เจ็ดเสมียน ๑ ปีที่ผ่านมา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย  เรื่องเหล่านี้ผมได้คุย ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านทราบไปล่วงหน้าแล้วเป็นอันมาก กลับไปติดตามอ่านดูนะ หลังจากคุยกัน พอสมควรแล้ว พ่อของผมก็เข้านอนพักผ่อนทันที ที่ได้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมขอตัวจากเพื่อนๆที่มาหา รวมทั้งไอ้มูล ไอ้ธรด้วย ผมต้องขอพักผ่อนก่อนละครับ ...... ไปนอนละครับ ....!

 

 

 

ชีวิตนี้ดั่งนิยาย

        นายหิรัญ   อายุ   ๓๙    ปี           เสียชีวิตแล้ว        อายุ ๘๓  ปี

        นายตุย    อายุ    ๓๙    ปี           เสียชีวิตแล้ว         อายุ ๗๕    ปี

        น้าฟ้า    อายุ    ๓๕    ปี             อีก ๑๔ ปีต่อมา ไปหาแม่ของผมที่เจ็ดเสมียน ให้บอกผมว่า ให้ช่วยหางานให้ ธันวามันทำด้วย มันไม่มีงานทำ ตอนนั้นผมทำงานที่การรถไฟ

        ยงยุทธ    อายุ     ๑๒   ปี             เสียชีวิต แล้ว  ด้วยอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว

        ธันวา   อายุ    ๑๓    ปี                ไม่ทราบที่อยู่แน่นอนและจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

        เก้ว    อายุ    ๑๑    ปี                  ต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหลาย ทำงานส่วนตัว

        ไอ้เปี๊ยก  (วันชัย) น้องชาย ธันวา    อายุ    ๑๐    ปี ชีวิตผันแปรไปเป็นนักเลงใหญ่ (ขาใหญ่)  ที่ ท่าเรือคลองเตย ได้ข่าวว่าคุมท่าเรือคลองเตยส่วนหนึ่งทีเดียว เมื่อ  ๕ ปีที่แล้วมีคนที่หนองปลาหมอ บอกว่าก็ยังอยู่ที่ท่าเรือคลองเตย เป็นนักเลงใหญ่เหมือนเดิม

         พี่ปรีชา   ทรัพย์เย็น                   ลูกเจ้าของโรงเลื่อย ที่ปากแรด   อายุ    ๑๓    ปี ไปเรียนที่อมริกา ตั้งแต่จบชั้นมัธยมแล้ว และไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ปัจจุบันนี้คงลืมผมไปแล้ว

         ครูประกอบ                             ครูประจำชั้น ม. ๑ อายุประมาณ ๒๕ ปีบ้านอยู่กาฬสินธ์ ไม่ได้ข่าวอีกเลย
  

 

                                       พร้อมด้วยตัวประกอบ

         นายสมบัติ   บ้านต้นเพลิง ร้านขายของชำ ฮั่วเส็ง

         ซิ้ม ร้านขายยาบ้านติดกับบ้านต้นเพลิง ฮั่วเส็ง
         เจ๊ม่วย    ซักผ้า
         เจ๊ศรี       พี่สาวเจ๊ม่วย
         ญาติพี่น้องลูกหลานของลุงตุย ที่ร้านทอง
         นายวิชัย  สามีคนแรกของน้าฟ้า ที่หายไป อยู่ปักษ์ไต้
         คนมาซื้อกล้วยทอด
         คนเดินมาผ่านดงมะพร้าว
         เฮียไข่เจ้าของร้าน โต๊ะเตะบอล ข้างดงมะพร้าว ที่เป็นผู้ฝึกสอนผมเล่นโต๊ะเตะบอล

         และผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ตอนไฟใหม้

 

         หมายเหตุผู้เขียน.....เนื่องจากยังขาด รายละเอียดอีกหลายตอน เช่นตอนที่อากาศหนาวที่สุดเมื่อปลายปี ๙๗ ผมไปคุ้ยเก็บเศษเหล็กไปขายกัน จริงๆแล้วยังมีรายละเอียดอีกมาก แต่ตอนนี้ขอจบก่อนแล้วนะครับ คิดว่าสมบูรณ์ดีที่สุดแล้ว

                                                                                     นายแก้ว   ผู้เขียน       ๑๖  ธันวาคม ๒๕๕๑

 ผ่านวันปีใหม่ไปแล้ว กลับมาพบกันใหม่ในเรื่องเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียน  ในตอนต่อไปนะครับ

                                                                              สวัสดีปีไหม่ ๒๕๕๒ ครับ

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้151
เมื่อวานนี้194
สัปดาห์นี้345
เดือนนี้1494
ทั้งหมด1345084

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online