ปีใหม่เมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมา

 

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ แด่ท่านสมาชิกและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ขอให้มีความสุขความเจริญ ปราถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สมดังปราถนาทุกประการ จากนายแก้วและน้อง 

    สวัสดีปีใหม่กันมาล่วงหน้าเลยครับ เทศกาลปีใหม่นี้ก็ขออำนวยอวยพรให้ พวกเราชาวไทยทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญ คิดปราถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สมความปรารถนาทุกประการ

    ปีใหม่นี้ทางราชการถือให้เป็นวันหยุดยาวไปเลยทีเดียว วันหยุดยาวๆอย่างนี้พวกเราไปเที่ยวหรือไปพักผ่อนกันที่ไหนบ้าง สำหรับผมแล้วทีแรกตั้งใจว่า อยากจะออกไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

    ในทุกๆ ปีของวันหยุดเทศกาลยาวๆอย่างนี้ เมื่อสมัยก่อนนั้นผมก็มักจะนัดกับพรรคพวก ขับรถขึ้นไปทางเหนือบ้าง ทางอิสานบ้างแล้วแต่จะคิดกันในปีนั้นๆ  การขับรถไปไกลๆในสมัยเมื่อหลายปีก่อนนั้น สนุกมากๆเลยทีเดียว

บางปีขึ้นไปถึง ด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย 

    เท่ากับว่าได้เปิดหูเปิดตาดูอะไรต่างๆในเส้นทางที่ผ่านๆไปด้วย ได้กินอาหารอร่อยๆในหลายพื้นที่ เรื่องการขับรถไปกันเองตามต่างจังหวัดนั้น บางปีผมกับเพื่อนๆเคยขับรถไปกันตั้งแต่เช้ามืดไปทางจังหวัดภาคไต้ ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเลย ไปเที่ยวทางไต้กันได้สบายมาก ออกจากกรุงเทพตั้งแต่ตี ๓ ขับไปแวะไปเรื่อยๆ ไปถึงหาดใหญ่เอาค่ำพอดี

   ทุกเที่ยวที่มาพักที่หาดใหญ่นี้ก็จะมาพักกันที่โรงแรม ไดมอนด์ หาดใหญ่กันเป็นประจำ โรงแรมไดมอนด์นี้ไม่ใช่โรงแรมชั้นหนึ่ง ๔ ดาว๕ ดาวอะไรหรอก  แต่เป็นโรงแรมที่ดีมากสำหรับพวกผมสะอาด สะดวก ราคาก็ไม่แพง

    และอยู่กลางเมืองหาดใหญ่เลยทีเดียว จะลงไปกินอาหารหรือไปเดินเล่น หรือซื้อของที่ตลาดกิมหยง ตลาดนิพัทธ์อุทิศก็ใกล้นิดเดียว พวกผมจึงได้มาพักกันที่นี่เป็นประจำ การไปเที่ยวในต่างจังหวัดของผมยังมีมาเล่าให้ท่านฟังอีกเยอะ เล่าตอนนี้ไม่หมด จึงขอกลับมาเรื่องปีใหม่นี้ต่อไปก่อน

   เมื่อปีที่แล้วนั้นคือเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ลูกของผมสองคนพร้อมด้วยหลานที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้มาเยี่ยมผมและคนอื่นๆที่บ้านที่ผมอยู่ในปัจจุบันนี้  ความคิดที่จะไปไหนไกลๆก็เลยงดไป

     ลูกๆมาพักกัน ๒ คืนจึงได้กลับไป ในระหว่างที่เขามากันนั้นก็ออกไปที่ตลาดแล้วซื้ออาหารเข้ามากินกัน พวกหลานๆก็วิ่งเล่นในสวนกันทั้งวัน อย่างสนุกสนานและมีความสุข เป็นอันมากจนกระทั่งพวกเขากลับ

 

ลูกหลานที่อยู่ในกรุงเทพฯ พากันมาที่บ้านพักปัจจุบันในต่างจังหวัด ระหว่างวันหยุดปีใหม่ ๒ คืนแล้วก็กลับ

 

มีที่นอนสำหรับหลานๆมาพักโดยเฉพาะ

       ในเทศกาลปีใหม่ปีที่แล้วผมจึงไม่ได้ไปไหนเลย  แต่ก็ดีเดี๋ยวนี้จะไปไหนในระหว่างเทศกาลนั้น ถือว่าเสี่ยงกับอุบัติเหตุมาก เพราะว่าในเทศกาลทุกๆปีจะมีอุบัติเหตุมากมาย ดังที่เราก็ได้ยินข่าวกันบ่อยๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย อย่างผมเป็นต้น

      แต่แทบทุกคนนั้นมักจะเลี่ยงไม่ได้  เพราะโอกาสที่จะได้กลับไปบ้านและอยู่ที่บ้านนอกกันอย่างยาวๆนั้นไม่ค่อยมีมากนัก  ทุกคนต่างจึงจำเป็นต้องไป  ในเทศกาลอย่างนี้จึงหนาแน่นไปด้วย รถรา ผู้คน เพราะว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน

  เมื่อพูดถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ก็อยากจะเล่าถึงเทศกาลปีใหม่ในอดีตที่เจ็ดเสมียนถิ่นของผมในอดีต ในสมัยก่อนๆที่ผมยังเป็นเด็กที่ยังอยู่ที่เจ็ดเสมียน จำได้ว่าก็มีการจัดงานฉลองปีใหม่ด้วยเหมือนกัน

    ในปีนั้นพ.ศ.๒๕๐๒ มีกำนันโกวิทเป็นหัวเรือใหญ่ ในตอนเย็นถึงค่ำๆของวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๑ คือวันที่จะส่งท้ายปีเก่าก็จะมีการจัดการกินเลี้ยงกัน ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน

สนามหญ้าหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนมีเสาธงอยู่หน้าโรงเรียน สถานที่จัดงานส่งปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของชาวเจ็ดเสมียนในปีนั้น (ภาพจริงๆ)

    ในตอนบ่ายวันนั้นกำนันโกวิท ก็จะเกณฑ์พวกคนหนุ่มๆหลายสิบคนพร้อมด้วยผู้ดูแลโรงเรียนที่เรียกว่าภารโรง ไปเอาโต๊ะ เก้าอี้ที่โรงเรียนมาตั้งเป็นแถวที่สนามหญ้า แล้วเอาถ้วยจานชาม โถใส่ข้าว ช้อน แก้วน้ำ และเครื่องใช้ต่างๆมาจากวัด

    ส่วนเวทีชั่วคราวที่กำนันจะขึ้นปราศรัย และจะมีการแสดงของเด็กนักเรียนโรงเรียนเจ็ดเสมียนนั้น พวกครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ได้ช่วยกันสร้างเวทีชั่วคราวขึ้นแบบง่ายๆ ประดับประดาสายรุ้ง ธงธิวกันอย่างสวยงาม

   ส่วนเรื่องอาหารการกินในการเลี้ยงฉลองปีใหม่ในเย็นนั้น ก็มีการเกณฑ์หรือจะเรียกกันอีกอย่างว่าขอร้องก็ได้ ส่วนใหญ่ก็จากร้านค้าในตลาดนั่นเอง ให้ช่วยกันหุงข้าวคนละหม้อ กับข้าวกันคนละอย่างสองอย่างมาร่วมงานที่สนามหน้าโรงเรียนด้วย

    แล้วทุกคนก็ดูเหมือนจะร่วมมือกันด้วยเป็นอย่างดี เหมือนกับว่ารู้หน้าที่ของตัวเอง ทำไมจะไม่รู้เล่าครับ เพราะทำกันอย่างนี้ทุกๆปีแล้ว 

   ผมเห็นน้าแพเมียตาเขียนช่างตัดผม ทำแกงไปหม้อใหญ่ๆหม้อหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าแกงอะไรเพราะว่าไม่ได้เปิดดู แล้วก็มีน้ำพริกกะปิอีกหม้ออวยใหญ่ มีผักต่างๆเต็มกระจาด

น้าแพเมียลุงเขียนร้านตัดผม ปัจจุบันน้าแพเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนลูกๆยังอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน 

   ซ้อทองคำเมียของนายโหงวบ้านตีมีดก็เหมือนกัน น่าจะมีอาหารหลายอย่างเห็นซ้อทองคำ เอาหม้ออลูมิเนียมหม้อใหญ่ๆขึ้นรถสาลี่เข็นไปที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ

ซ้อทองคำ อารีย์ (ขวา) ภาพเมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ภาพเก่าๆในสมัยนั้นหาไม่ได้จริงๆ (ภาพจากคุณสมเกียรติ อารีย์ ซึ่งเป็นบุตรชาย)

     ที่บ้านผมเองแม่ของผมคือนางสละ สุวรรณมัจฉาก็ต้มแกงจืดหนังหมูวุ้นเส้น ใส่เต้าหู้อีกหม้อหนึ่งพร้อมด้วยหุงข้าวสวยหม้อใหญ่เต็มหม้อ ใส่กระจาด (เพราะไม่มีรถสาลี่เข็นไป) หาบไปที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนด้วยเหมือนกัน นอกจากนั้นก็มีอีกหลายบ้านจารนัยไม่หมดครับ สรุปแล้วในเรื่องอาหารการกิน ชาวบ้านที่ตลาดเจ็ดเสมียนนี้ร่วมมือกันดี อย่างพร้อมเพรียงกัน

นางสละ (ซ้าย) นั่งพักผ่อนอยู่ในบ้านห้องแถวที่ตลาดเจ็ดเสมียน ภาพที่เก่ากับเหตุการณ์ในตอนนั้นยังหาไม่ได้ ดูภาพนี้แทนไปก่อนก็แล้วกันนะครับ

     พอตกเย็นแล้วก็จะมีลูกน้องหรือคนสนิทของท่านกำนัน ออกไปป่าวประกาศย้ำอีกทีโดยทั่วถึงกัน เช่นทางด้านตลาดนอกและทุกๆหมู่บ้าน ใจความที่ย้ำประกาศก็คือ ในตอนเย็นวันนี้ให้ชาวบ้านทุกบ้านทุกคน ไปร่วมรื่นเริงและรับประทานอาหาร ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนร่วมกันในเวลา ๖ โมงเย็น เพื่อไปพบปะ สังสรรค์กันเนื่องในโอกาส วันส่งท้ายปีเก่าและขึ้นปีใหม่ ถ้าคนที่มีเวลาว่างก็ให้ไปร่วมงานกันครั้งนี้ให้จงได้ 

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นเก่าเก๋ากึก อย่างรุ่นพวกผมที่อยู่ในรูปนี้ และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในรูปอีกหลายคน ได้กินอาหารในวันขึ้นปีใหม่ปีนั้น ฟาดเสียอิ่มแปร้กันทุกคน ถ้าไม่เชื่อไปถาม พลเรือตรีประยงค์ เกษร ดูซีคนยืนซ้ายมือคนแรกนั่นแหละ หรือจะถามพันตำรวจเอก วีระ กองบัว คนยืนที่สองจากขวาก็ได้   (ขออภัยครับรูปเก่าในเหตุการณ์ไม่มี)    

     พวกผมซึ่งเป็นเด็กตลาด และเพื่อนๆที่อยู่ทางตลาดนอก ออกไปอีกหลายคนตื่นเต้นกันใหญ่ รีบเกร่ๆไปที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนแต่หัววันเพื่อไปดูเหตุการณ์ เห็นมีคนเริ่มจะมากแล้วโดยมากเป็นเด็กแถวๆบ้านนอก (แถวตลาดนอก ) และเด็กบ้านใน (แถวบ้านครูเฉลิม คงมั่น) เดินเกร่กันไปมาเป็นแถว 

   อันที่จริงเด็กบ้านนอกและเด็กบ้านในนั้น ก็คือเด็กเจ็ดเสมียนเหมือนกันนั่นเอง แต่เวลาเรียกจะได้จำกัดให้แคบเข้า เพราะบางทีมีชื่อซ้ำกันเลยไม่รู้ว่าคนไหน เช่น ไอ้ตี๋อยู่บ้านนอก ไอ้ตี๋อีกคนอยู่บ้านใน เด็กตลาดมีเหมือนกันหมดจึงต้องระบุว่าเด็กบ้านไหน

   พอเกือบ ๖ โมงเย็นอากาศก็จะเริ่มมืดเพราะว่า ในปลายเดือนธันวาคมนั้นเป็นหน้าหนาว อากาศกำลังจะเย็นลงเย็น พระอาทิตย์ในหน้าหนาวนั้นตกเร็วด้วย ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะลับต้นกอไผ่ริมแม่น้ำ ฟากฝั่งหาดทรายตรงข้ามกับตลาดเจ็ดเสมียน ก่อน ๖ โมงเย็นเสียอีก

   อากาศเริ่มมืดลงแล้ว ชาวบ้านตำบลเจ็ดเสมียนก็ทยอยกันมา ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน ผู้ที่เข้ามานั่งอยู่แล้วก็เชื้อเชิญให้ผู้ที่เพิ่งมาถึงเข้ามานั่งที่โต๊ะ ที่บรรดาคนหนุ่มๆหลายสิบคนที่กำนันโกวิทขอร้องให้เอาโต๊ะที่โรงเรียน พร้อมเก้าอี้มาจัดโต๊ะเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย

    มองไปทางเสาธงหน้าโรงเรียน มีโต๊ะที่วางต่อๆกันหลายตัว บนโต๊ะนั้นมีอาหารหลายสิบหม้อมีข้าวสวยใส่ถังไว้มีฝาปิด นอกจากข้าวและแกงแล้ว ยังมีขนมต่างๆพร้อมด้วยถ้วยชาม ช้อน ที่ขอยืมมาจากที่วัดเจ็ดเสมียนวางเตรียมพร้อมอยู่บนโต๊ะนั้นด้วย

  บนโต๊ะนั้นจึงเต็มไปหมดแทบจะไม่มีที่วาง นี่เป็นของที่ชาวบ้านร้านตลาดได้ช่วยกันทำมาสมทบกัน เพื่อเลี้ยงในงานฉลองปีใหม่ในปีนี้ ตามคำเชิญชวนของกำนัน โกวิท วงศ์ยะรา กำนันคนดังแห่งตำบลเจ็ดเสมียนนั่นเอง

    เมื่อได้เวลาชาวบ้านส่วนใหญ่แต่งตัวกันเสียสวยพริ้ง มากันเกือบเต็มทุกโต๊ะแล้ว ฝ่ายเสริฟอาหารส่วนใหญ่เป็นเด็กตลาดและอยู่ในความควบคุมของ นางน้อย หยู่เอี่ยม ซึ่งในงานระดับใหญ่ๆอย่างนี้แผนกบริการอาหาร ต้องเป็น นางน้อย หยู่เอี่ยม เป็นผู้บัญชาการสูงสุดเท่านั้น

   แต่นางน้อยจะทำอะไรไม่สะดวกหรือทำไปไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ช่วยอีกหลายคนคอยช่วยกันอยู่เช่น  ซ้อทองคำ แม่ครัวมือหนึ่งแห่งตลาดเจ็ดเสมียน และอีกหลายๆคน (ขออภัยที่ไม่ได้ออกชื่อท่าน) สุดท้ายคนที่บัญชาการใกล้ชิดคนเสริฟที่สุดคือ เจ๊ประนอม  เมื่อคนเสริฟ พร้อมแล้ว อาหารเหล่านั้นก็ถูกยกไปเสริฟ ตามโต๊ะต่างๆ

นางน้อย หยู่เอี่ยม ผู้บัญชาการเรื่องอาหารในงานนี้ 

   เท่าที่เห็นคนเสริฟอาหารนี้ก็คือเด็กๆ สาวๆ ที่ตลาดเจ็ดเสมียนนั่นเอง เพื่อนๆ รุ่นเดียวกับผมก็มี รุ่นใหญ่กว่าก็มี เช่น เจ๊ประนอม เจ๊น้อม เจ๊แด๊ว เจ๊แดง พี่องุ่น รุ่นเดียวกับผมก็มี เช่น รัมภา  นวลปรางค์  ยุพา เซี้ยม เง็ก บ้านริมน้ำ และอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึง ได้มาช่วยงานกันอย่างเต็มที่

ทีมยกอาหารระดับหัวหน้าจากซ้าย เจ๊ประนอม เจ๊แดง เจ๊องุ่น ปัจจุบันแยกย้ายกันไปจากเจ็ดเสมียนหมดแล้ว และยังอยู่สบายดีกันทุกคน

   ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้วอากาศเริ่มมืด ที่หน้าโรงเรียนซึ่งกำลังมีงานเลี้ยงปีใหม่ของชาวเจ็ดเสมียน เปิดไฟฟ้าที่ประดับประดาไว้อย่างสว่างไสว และกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เสียงคุยกันพูดจากันเซ็งแซ่

    ผมกับพวกของผมที่รุ่นเดียวกัน เจ๊ประนอมมอบให้โต๊ะหนึ่งเลยทีเดียว พอได้เวลาและพวกผมประจำที่พร้อมแล้ว เจ๊ประนอมก็สั่งให้ยกอาหารการกินมาให้โต๊ะพวกผมที่นั่งกันอยู่ ฝายผู้ที่ทำหน้าที่เสริฟนั้น เป็นเด็กผู้หญิงคือเด็กตลาดที่สนิทกันอยู่แล้ว    

   สำหรับโต๊ะผมคือโต๊ะของเด็กตลาดล้วนๆเป็นโต๊ะที่เอาสองตัวมาต่อกัน ได้รับคำสั่งจากเจ๊หัวหน้าใหญ่คือเจ๊ประนอม หลานคนโปรดของ อี๊น้อยซึ่งยืนจังก้าดูแลเด็กๆทำงานกันอยู่ 

    อี๊น้อยสั่งให้หลายคนเอาอาหารต่างๆมาประเคนให้หลายอย่าง อาจจะเพราะเห็นว่าเด็กพวกนี้คือเด็กคลาด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นลูกหลานของอี๊น้อยอยู่แล้ว

คุณน้อย หยู่เอี่ยม ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว 

   นอกจากข้าวและแกงต่างๆแล้ว ก็ยังมีขนมอีกมากมายที่มาตั้งอยู่ตรงหน้า เลือกกินได้ตามสบายกินเท่าไรก็กินไม่หมด คุณรัมภานั้นเอาอาหารมาเสริฟ ถี่ยิบเลยทีเดียว ขอขอบคุณกลุ่มสาวเจ็ดเสมียนที่เป็นคนยกอาหารมาให้พวกผมกินในครั้งนั้นด้วย

    ในการเลี้ยงปีใหม่ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นปีแรก ที่ท่านกำนันได้จัดขึ้นหรอกแต่จำได้ว่า ท่านกำนันโกวิทจะจัดกันขึ้นทุกๆปี เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางปีมีงบช่วยเหลือเยอะถึงขนาดมีหนังมาฉายโต้รุ่ง ให้ชมกันที่สนามหน้าโรงเรียนเลยทีเดียว 
     การเลี้ยงอาหารในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของชาวเจ็ดเสมียนนี้ ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ประมาณ ๑ ทุ่ม ท่านกำนันโกวิท ที่ในตอนแรกเห็นแกเดินดูชาวบ้านมารวมตัวกัน กินอาหารกัน

     มีผู้ใหญ่บ้านอีกหลายคนเดินตามท่านกำนันเป็นพรวน แล้วเขาเหล่านั้นก็ทักทายลูกบ้านไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการอวยพรสวัสดีปีใหม่ให้แก่กัน

     คนๆไหนที่ถูกใจและรู้จักก็ทักทายคุยกันนานหน่อย แล้วก็ยกมือไหว้สวัสดีปีใหม่ไปเรื่อยๆ จวนจะครบแล้วจึงได้ยินเสียง โฆษกบนเวทีซึ่งก็คือ คุณครูประวิทย์ ไทยแช่มนั่นเอง ประกาศเรียกกำนัน โกวิท ให้ขึ้นมาปราศรัยกับลูกบ้านบนเวที เพราะได้เวลาแล้ว ที่จะกล่าวเปิดงานให้เป็นทางการ

    กำนันโกวิทได้ยินครูประวิทย์เรียกแล้ว  ก็เลยเดินขึ้นเวทีไปพร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านและเหล่าคนสนิทนั้นด้วย ในขณะที่ผมเขียนถึงเรื่องนี้ ผมนึกชื่อของผู้ใหญ่บ้านเหล่านั้นได้ เพียงบางคนเท่านั้น 

    เช่นผู้ใหญ่เสงี่ยม ผู้ใหญ่บุญมา หมอเลื่อนเลขาของกำนันและเป็นหมอประจำตำบลด้วย ส่วนอีก สองสามคนนั้นจำชื่อไม่ได้เพราะว่าเป็นเวลานานมาแล้ว 
    เมื่อกำนันขึ้นมาบนเวทีแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ขอขอบคุณชาวบ้านเจ็ดเสมียนทุกๆท่านที่ ได้ร่วมใจสละเวลามากันในวันนี้  และก็ขอขอบใจบรรดาแม่บ้านที่ได้ช่วยเหลือนำอาหารการกินมาเลี้ยงกันอย่างไม่อั้น ตลอดจนเด็กๆตลาด ที่เป็นหัวแรงสำคัญในการมาบริการยกอาหาร ด้วย

   แล้วกำนันก็กล่าวถึงเรื่องให้ร่วมมือกันช่วยกันพัฒนา  ตำบลเจ็ดเสมียน ของเราให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป ก่อนสรุปและกล่าวเปิดงานก็ได้บอกว่า ในการจัดงานครั้งนี้ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นการช่วยเหลือกัน ทั้งอาหารและการออกแรงในการจัดการต่างๆ 

    แล้วกำนันก็กล่าวเปิดงานพร้อมทั้งอวยชัยให้พร กับลูกบ้านทั้งหลาย  เสร็จแล้วกำนันก็เชิญชวนให้ทุกคนเปล่งเสียงร้อง ไชโยกัน สามครั้งเป็นอันเสร็จพิธีการเปิดงานในวันนี้ แล้วท่านกำนันก็ลงมาเดิน ทักทายลูกบ้านไปรอบๆบริเวณอีกครั้งหนึ่ง

กินกันไปคุยกันไปสามัคคีกลมเกลียวกันดี ในระหว่างชาวเจ็ดเสมียนของเรา

      ต่อจากนี้ไปเป็นการกินอาหารกัน คุยกันไประหว่างคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน  โต๊ะไหนอาหารพร่องไปบ้าง ก็จะมีสาวๆของตลาดเจ็ดเสมียน คอยเดินดูและมาเติมให้อยู่เรื่อยๆ  ตามคำสั่งของกัปตันใหญ่ คือเจ๊ประนอม

     แต่งานนี้เท่าที่ผมสังเกตดู ไม่มีสุราหรือว่าเหล้ามาเลี้ยงฟรีด้วยหรอกนะครับ ใครอยากกินก็นำมากันเองซึ่งผมก็เห็น มีเกลื่อนไปเหมือนกัน แหมงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ต้องมีเหล้าบ้างแหละนะ

    ชื่อเสียงของกำนันโกวิท วงศ์ยะรา แห่งตำบลเจ็ดเสมียนยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ครับ ทุกๆปีที่มีงานเลี้ยงอย่างนี้ไม่เคยมีใครเมาเหล้าแล้วเกเรหรืออาละวาด กวนมือกวนตีนของท่านกำนันเลยครับ อิทธิฤทธิ์อิทธิเดชของกำนันโกวิท ยังคงทำให้นักเลงทั้งหลายกลัวท่านกำนันของเราไปอีกนานครับ

   ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในวันนี้นั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เช่าหนังจากวิกครูทวีที่โพธาราม มาฉายฉลองปีใหม่เหมือนบางปี แต่ในวันนี้ก็โชคดีที่มีรถขายยาของบริษัทหนึ่ง ได้มาบอกกับกำนันไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วว่าจะมาฉายหนังที่กลางตลาด 

    ดังนั้นในตอนบ่ายแก่ๆ รถคันนี้ได้ตระเวนโฆษณาไปหลายหมู่บ้านแล้วและรู้กันอย่างทั่วถึง และเวลานี้ก็กางจอเตรียมที่จะฉายแล้ว แต่ต้องรอให้งานกินเลี้ยงที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเลิกเสียก่อน

   ดังนั้นหนังขายยาวันนี้จึงเป็นวันพิเศษที่ จะทำการฉายหนังดึกไปเสียหน่อยและคงจะเลิกดึกด้วย เป็นการนับถอยหลังต้อนรับปีใหม่ไปในตัวเลยดีเหมือนกัน

   ที่สนามหน้าโรงเรียนนั้นก็ได้มีประกาศเหมือนกันว่า เลิกจากนี้แล้วอิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว ก็ขอให้เลยเข้าไปในตลาด เพื่อไปดูหนังต่ออีกแล้วค่อยกลับบ้าน  ชาวบ้านทั้งหลายต่างพอใจมาก ในการจัดงานครั้งนี้ของกำนันโกวิท ทำให้ชาวบ้านรักท่านอีกเป็นกองเลย

    นอกจากพวกผู้ใหญ่แล้วผมสังเกตเห็น  วัยรุ่นจากทางตลาดใหม่ที่ข้ามทางรถไฟไป และวัยรุ่นจากที่อื่นๆอีกหลายคน ก็มีเหล้ามากินด้วยเหมือนกัน เป็นอันว่าไม่ว่าสมัยไหนๆ วัยรุ่นก็กินเหล้ากันมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแต่วัยรุ่นสมัยนี้หรอกนะครับ  
   ประมาณ ๒ ทุ่มเห็นจะได้ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนนั้น ผู้คนชักจะซาลงไปแล้วเพราะว่า บางคนอิ่มแล้ว ก็ลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปในตลาด ถัดจากนั้นมาอีกไม่นานผู้คนก็เริ่มลุกออกไปที่ตลาดจนเกือบหมด เหลือแต่พวกที่กินเหล้าแล้วคุยกันเสียงดังเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ไม่มีงานเลี้ยงใดๆที่จะไม่มีวันเลิกรา

    พวกที่ได้มาช่วยงานนี้ตามคำขอร้องของกำนันนั้น ก็เริ่มต้นช่วยกันเก็บถ้วยชาม จาน และอุปกรณ์ในการเลี้ยงครั้งนี้ นำมาล้างและเก็บรวบรวมไว้ และจะส่งคืนวัดในวันพรุ่งนี้  ส่วนพวกโต๊ะเก้าอี้พวกผู้ชายที่นำมาจากโรงเรียน ยังไม่ได้เก็บจะมาเก็บในตอนเช้า แล้วส่งโรงเรียนเลยทีเดียว

   นับว่าการเลี้ยงฉลองในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในวันนี้ก็สำเร็จไปด้วยดี พวกเด็กตลาดและเด็กทั้งหลายก็พลอยอิ่มไปด้วย ผมเห็นเด็กตลาดและเด็กที่ตลาดนอกหลายคนที่รู้จักกัน กินอิ่มแล้วและกำลังเดินกลับไปในตลาดเป็นกลุ่ม แล้วก็ทักทายกัน

   ในจำนวนนี้มีลูกกำนันรวมอยู่ด้วยสามสี่คนเช่น ศักดา เปี๊ยก เล็ก นิด  พวกลูกกำนันพวกนี้นอกจากรุ่นใหญ่ๆ เช่นเฮียตี๋ที่สนิทกันกับพวกผมแล้ว พวกรุ่นนี้ก็สนิทกันพอสมควร แต่ไม่ค่อยได้เข้าพวกกันมากมายนัก เขาก็ไปกันกับพวกของเขา มีแต่ไอ้เล็ก และไอ้นิดเท่านั้นที่เป็นรุ่นเดียวกับผม และเป็นน้องเฮียตี๋ด้วยที่สนิทกัน ไปเล่นกล้ามออกกำลังกาย ที่ไต้ถุนบ้านกำนันด้วยกันแทบทุกวัน

    ไอ้เล็กนั้นชื่อจริงของมันคือ ยงยุทธ์ วงศ์ยะรา  อายุดูเหมือนว่าจะแก่กว่าผมสักสองปี  ส่วนไอ้นิดนั้นรุ่นเดียวกับผมเลยทีเดียว ชื่อจริงของมัน คือ ยุทธนา วงศ์ยะรา  (ต่อมารับราชการเป็นตำรวจทางหลวงเหมือนเฮียตี๋ แต่ได้ยศเพียงนายดาบตำรวจเท่านั้นเอง ประจำอยู่ที่สถานีตำรวจทางหลวงชะอำ ปัจจุบันนี้เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองคน ผมไม่ทราบว่าเป็นอะไร)

   ในขณะที่ผมยืนเก้ๆกังๆรอเพื่อนๆจะเดินกลับไปที่หน้าตลาด เพื่อไปดูหนังขายยานั้น  ผมเห็นไอ้เล็กกำลังเดินมาหาผม แล้วมันตะโกนบอกผมว่า " เก้วๆ รอกูด้วย " แล้วมันก็เดินมาถึงตัวผมไอ้เล็กมันพูดกับผมว่า " เก้ว  คืนนี้สักสามทุ่มมึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยซี " ผมคิดว่าไอ้นี่มันท่าทางแปลกๆจึงถามว่า " ไปไหนวะกูจะไปดูหนัง  กูคงไปเป็นเพื่อนที่ไหนกับมึงไม่ได้หรอก "   " เอาน่า"  มันว่าแล้วมันก็บอกแผนการของมันกับผม

   และในตอนนี้ผมจะเล่าย้อนไปนิดหนึ่งก่อน  เพื่อว่าท่านจะได้รู้เรื่องมากยิ่งขึ้น คือว่า ผมเคยเล่าให้ท่านฟังมาบางตอนแล้วว่า บ้านที่อยู่ในตลาดซึ่งเป็นห้องแถวของผมนั้น  ทางด้านซ้ายมือจะติดกับร้านถ่ายรูป จำเนียรศิลป์  คือบ้านไอ้เหม่งที่เป็นคู่หูของผมนั่นแหละ แล้วถัดไปก็จะเป็นห้องเสริมสวย แต่งหน้าทำผมของ เจ๊อยู่ ลูกสาวคนหนึ่งของแป๊ะอู๋ ซึ่งเป็นพี่สาว ของเฮียแก่เล็ก 

   เจ๊อยู่นี้เป็นช่างแต่งหน้าทำผมมือหนึ่ง ของตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้น ร้านของแกมีลูกค้ามากจริงๆ วันๆแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย แล้วยิ่งถ้ามีหนังขายยามาฉายหนังด้วยแล้ว  ก็จะมีคนมาที่ร้านเจ๊อยู่มากยิ่งขึ้น มาทำผมบ้าง มาเสริมสวยบ้าง มาคุยเฉยๆบ้าง มาอาศัยหน้าร้านเจ๊อยู่นั่งดูหนังขายยาก็มี แน่นไปหมด

    เมื่อเจ๊อยู่แกมีงานมากแกจึงต้องมีลูกมือมาช่วยอีกสองสามคน เท่าที่จำได้ก็มี เจ๊ จรัส ลูกป้าม่อมขายปูนแดงกินกับหมาก บ้านอยู่ข้างโรงสี คนหนึ่งละ  และก็มีพี่สำอาง กับพี่สะอาด สองคนพี่น้องอีกด้วย  แต่กระนั้นงานก็เต็มมือ 

   เจ๊อยู่แกจึงไปหาเด็กหญิงมาได้อีกคนหนึ่ง อายุประมาณ ๑๕ ปีเท่านั้นชื่อว่า จัน จำได้ว่าบ้านของเขาอยู่ที่ปากท่อ หรือ คูบัวนี่แหละ เมื่อวันมาอยู่กับเจ๊อยู่นั้น ผมเห็นแม่ของเขาก็มาส่งที่บ้านเจ๊อยู่ด้วย  เด็กคนนี้จะมีหน้าที่มาเป็นคนคอยดูแลเด็ก และทำงานบ้านไปในตัวด้วย    

   ต่อมาเมื่อมาอยู่นานๆเข้าเด็กคนนี้ ก็ได้รู้จักคุ้นกับคนตลาดเจ็ดเสมียนทั้งหลาย ส่วนผมในฐานะที่อยู่บ้านใกล้กันก็รู้จักกันเหมือนคนบ้านใกล้เรือนเคียงทั่วไป ผมเรียกเขาว่า อีจัน ตามที่ผมมองตามประสาเด็กบ้านนอกในสมัยนั้น จันเป็นคนสวยแบบเด็กบ้านนอกพอสมควร

   เมื่อตอนที่มาอยู่กับเจ๊อยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนใหม่ๆนั้น จันก็มอมแมมเหมือนกัน พอมาอยู่กับเจ๊อยู่ได้ไม่กี่เดือน โดยเฉพาะได้มาอยู่กับร้านเสริมสวยด้วยแล้ว หน้าตาก็เปลี่ยนแปลงสวยงามดีขึ้น

    ผมเห็นไอ้เล็ก (นายยงยุทธ วงศ์ยะรา) มาติดพันอยู่แทบทุกวัน บางทีไอ้เล็กก็มานั่งคุยกับจันนานๆ ที่หน้าร้านเจ๊อยู่  ผมเห็นเจ๊อยู่แกก็ไม่ได้ว่าอะไรได้แต่มองตาปะหลับปะเหลือก คงจะเห็นว่าเป็นลูกกำนันกระมัง 

   พอเจ๊อยู่แกเห็นว่าคุยกันนานแล้ว เจ๊อยู่แกก็จะแกล้งเรียกจันเข้าบ้านเสียที ไอ้เล็กมันก็คงจะโมโหเจ๊อยู่บ้าง ที่มาขัดจังหวะมัน

   ด้วยความที่ไอ้เล็กมันอยากจะอยู่ใกล้ๆ และจะได้คุยกับจันนานๆ  มันก็เลยวางแผนการณ์ของมันในคืนนี้ โดยมันจะให้ผมไปเป็นเพื่อนกับมันโดยที่ผมไม่ต้องเข้าไป ไอ้เล็กมันจะเปิดประตูทางด้านหลังบ้านเข้าไป โดยนัดกับจันให้ถอดกลอนข้างในเอาไว้

   ไอ้เล็กมันนัดไว้ประมาณ ๓ ทุ่มกว่าๆ มันก็จะเข้าไปคุยกับจัน โดยให้ผมเฝ้าต้นทางข้างนอกไว้ ข้างนอกนี้คือด้านหลังบ้านใกล้กับกำแพงโบสถ์วัดเจ็ดเสมียน ซึ่งก็คือติดกับหลังบ้านผมนั่นเอง  หน้าที่ของผมก็คือถ้ามีคนมาทำท่าจะเข้าบ้านเจ๊อยู่ทางหลังบ้าน ก็ให้ตบประตูมันจะได้รู้ตัว นี่แหละคือแผนการของมัน

    และเหตุที่ผมยอมร่วมมือกับไอ้เล็กนั้นก็คิดว่า หน้าที่เล็กน้อยเท่านี้ไม่มีอะไรลำบากก็เลยช่วยเหลือมันเสียหน่อย ไม่คิดว่าอีกสักพักหนึ่งมันจะเป็นเรื่องโกลาหลกันใหญ่โต... ! 

   ไอ้เล็กมันคิดว่าคืนนี้ที่หน้าตลาดคนมาดูหนังกันมาก เจ๊อยู่และลูกน้องของเจ๊อยู่ทั้งหลาย คงจะสาระวนกับการบริการลูกค้าอยู่หน้าร้าน คงจะไม่เข้ามาเอาอะไรที่หลังตู้โชว์ ที่ตั้งเรียงกันหลายลูกกั้นเป็นฉากแบ่งหน้าบ้านกับหลังบ้านเอาไว้  
   แต่ถ้าบังเอิญมีคนเข้ามาข้างใน เช่นเข้าห้องน้ำหรือเข้ามาหยิบอะไร ไอ้เล็กมันจะแอบตรงมุมมืดที่ใดที่หนึ่ง แล้วรอให้คนที่เข้ามานั้นออกไปเสียก่อน แล้วก็จะออกมาคุยกับจันอีก 

    เหตุที่จันต้องเข้าไปอยู่ที่หลังบ้านเช่นนี้ ก็เพราะว่าจันเขามีหน้าที่เอาลูกคนเล็กของเจ๊อยู่ (จำได้ว่าชื่อน้องสุข) มาเข้านอนนั่นเอง มันคิดและมั่นใจของมันอย่างนี้ ทำให้มันวางแผนนี้ขึ้นมา และน่าจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ติดตามต่อไป

  ในตอนนี้ที่ลานกว้างกลางตลาดนั้น มีผู้คนมากมายมานั่งรอดูหนังขายยากันเต็มไปหมด เป็นคนที่มาจากงานเลี้ยงที่หน้าโรงเรียนนั่นเอง  ร้านค้าต่างๆที่ในตลาดก็ยังไม่ได้ปิดร้าน ยังเปิดไฟฟ้าสว่างจ้าแทบทุกบ้าน

    รถขายยาก็เริ่มกระจายเสียงและเริ่มฉายหนัง จำพวกสารคดีและหนังการ์ตูนของต่างประเทศ พอหนังหมดม้วน ก็โฆษณาขายยายกใหญ่  แล้วสักครู่ก็ฉายหนังสลับกันไป 
   คืนนี้ทางรถขายยาได้ประกาศไว้แล้วว่าจะมีหนังฉายให้ดู ถึง ๒ เรื่อง คือเรื่อง ยอดยูโด  เป็นหนังญี่ปุ่น จำได้ว่านางเอกในเรื่องชื่อว่า อ๊อดสุ ในขณะนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยมาก

    อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ศรีทนนชัย หนังเรื่องนี้เป็นหนังไทย เข้าโรงใหญ่ที่กรุงเทพฯมาแล้ว เป็นหนังที่ตลกและรับประกันว่าฮากันขี้พุ่ง  พวกชาวบ้านที่ได้ยินประกาศอย่างนี้ ก็เลยอยากดูกันใหญ่ .....! มีต่อ

โปรดอ่านต่อในตอน  "ปีใหม่ที่เจ็ดเสมียนในอดีต " คลิ๊ก

นายแก้ว ผู้เขียน  ปีใหม่เมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมา

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้204
เมื่อวานนี้194
สัปดาห์นี้398
เดือนนี้1547
ทั้งหมด1345137

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online