สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๒

alt 

 

  ในตอนเย็นของวันนี้จะมีการรดน้ำ ดำหัวให้ คนเฒ่าคนแก่และคนที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดี ที่อยู่ในตำบลเจ็ดเสมียนแห่งนี้  ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านด้วย ดังที่นายจำเนียรได้ประกาศไว้ตั้งแต่ตอนเช้า ที่มีการทำบุญที่วัดแล้ว

   ที่หน้าโรงเรียนนั้นเขาจัดเก้าอี้นั่ง ซึ่งมีคนของกำนันขนกันมาจากห้องเรียนที่โรงเรียน แล้วนำมาเรียงกันเป็นแถวหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คือทางรถไฟนั่นเอง คนที่มาก่อพระเจดีย์ทรายกันที่ข้างศาลาใหญ่ก็ยิ่งมามากขึ้น มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มคนสาว และเด็กๆ วิ่งไล่สาดน้ำกันอย่างสนุก

   การก่อพระเจดีย์ทรายนี้เป็นประเพณีที่ ชาวตำบลเจ็ดเสมียนได้ทำกันนานมาแล้ว การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ และประเพณีการแห่ดอกไม้หลังสงกรานต์ ซึ่งจะมีอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ประเพณีสงกรานต์และอื่นๆนี้เป็นประเพณีการขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญที่คนไทยปฏิบัติในช่วงสงกรานต์สืบต่อกันมาแต่อดีต คือให้ความสำคัญต่อการแสดงความกตัญญู และปรารถนาดีต่อกัน เป็นเวลาที่ลูกหลานรำลึกถึงญาติที่ล่วงลับไป และแสดงความคารวะ เคารพต่อญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ ที่ยังมีชีวิตอยู่

   ด้วยการไปรดน้ำผู้ใหญ่ๆก็แสดงความปรารถนาดีด้วยการให้พรแก่เด็กๆ เพื่อนฝูงรดน้ำพร้อมกับอวยพรให้แก่กัน  การแสดงคารวะหรือขออโหสิกรรมจากผู้อาวุโสหรือผู้ที่มีพระคุณ เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ครู อาจารย์ ด้วยการมอบดอกไม้และน้ำอบไทย น้ำอบไทยนี้ลูกหลานจะนำมารดที่มือผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ก็จะอวยชัยให้พรแก่บรรดาผู้ที่มารดน้ำให้ในวันนี้ด้วยเช่นกัน ได้รับความอิ่มเอมใจกันไปทั้งสองฝ่าย ทำให้จิตใจมีความสงบสุข

   ที่จริงแล้วการก่อพระเจดีย์ทรายนั้น เขามีคำภาวนาการก่อพระเจดีย์ทรายสั้นๆ ว่า อิมัง วาลุกัง เจติยัง อะธิฏฐามิ  ผมก็ลืมถามผู้ที่บอกผมไว้ด้วยว่าคำภาวนานี้แปลว่าอะไร แต่ก็ไม่เป็นไรก่อพระเจดีย์ทรายไปก็ภาวนาไปก็แล้วกัน ผมว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี พระเจดีย์ ที่ใกล้สำเร็จแล้วก็มีเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ แต่จะเป็นพระเจดีย์ของเด็กๆ ประดับประดาด้วยดอกไม้เสียสวยงาม มีธงเป็นกระดาษแก้วหลากหลายสี ธงกระดาษแก้วเหล่านี้ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ติดกาวแป้งเปียกกับก้านทางมะพร้าว แล้วปักไว้ที่กองทรายนั้นมองดูสวยงาม แม้ว่าพระเจดีย์เล็กๆเหล่านี้จะยังไม่เสร็จดีก็ตาม

    เด็กๆหญิงชายลูกหลานของคนในตลาดเจ็ดเสมียน ก็เอากับเขาด้วยผมก็ไม่รู้ว่าลูกหลานของใครมั่ง ดูเหมือนจะสร้างกองทรายกองใหญ่ ขึ้นมาให้เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ แข่งกันกับเจดีย์ของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ผมจำได้ว่าเป็นเด็กหญิงชายทางหมู่ ๒ บ้านเกาะ การจะสร้างเจดีย์ให้กองใหญ่นั้น จะต้องใช้กำลังและความอดทนเป็นอันมาก ด้วยการขนทรายขึ้นมาจากแม่น้ำ หลายสิบหลายร้อยเที่ยวสร้างกันวันเดียวไม่สำเร็จ ดังนั้นต่อจากวันนี้ไปเด็กเจ็ดเสมียนกลุ่มนี้ต้องมาสร้างกันทุกวันจนกว่าจะสำเร็จ และต้องมีผู้ใหญ่คอยควบคุมการก่อสร้างด้วย อาจจะต้องมีการเกณฑ์เพื่อนๆเด็กผู้ชายในตลาด มาให้มากกว่านี้อีกด้วย ถ้างานนี้ประกวดได้ที่หนึ่ง ในวันฉลองพระเจดีย์ทรายพร้อมกับวันแห่ดอกไม้นั้น เด็กตลาดเจ็ดเสมียนกลุ่มนี้คงจะดังไปตลอดเจ็ดคาบสมุทร เป็นแน่

   และอีกกองหนึ่งถัดไปนั้นที่ผมเห็นเป็นกองเจดีย์ของ เด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นสาววัยรุ่นแล้ว จำได้ว่าอยู่แถวบ้านวังอีหนีบ (บ้านวังลึกในปัจจุบัน) ใกล้ๆกับวัดใหม่ชำนาญ (แต่มาทำบุญกันที่วัดเจ็ดเสมียน ด้วยความศรัทธาในหลวงปู่หุ่น) ผมมองดูโดยรวมแล้วก็สวยงามหมดทุกกอง ไม่มีใครมีฝีมือเลอเลิศกว่ากันเลย ถ้าให้ผมเป็นผู้ตัดสินผมก็ตัดสินไม่ถูกว่ากองไหนจะสวยกว่ากัน รอเอาไว้ในวันแห่ดอกไม้ให้คณะกรรมการนำโดยกำนันโกวิท วงศ์ยะรา พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะมาเป็นผู้ตัดสินเองอีกไม่กี่วันก็รู้ผลกันแล้ว

   การเชื้อเชิญให้ชาวบ้านมาก่อพระเจดีย์ทราย ในเทศกาลสงกรานต์ของทางวัดนั้น เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งตั้งแต่คนรุ่นโบราณมาแล้ว ในสมัยก่อนนั้นเมื่อทางวัดจะมีการก่อสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ทรายในการก่อสร้างต่างๆ จึงคิดให้มีการก่อพระเจดีย์ทราย เป็นการขอยืมแรงชาวบ้านและเด็กๆวัยรุ่นนั่นเองเป็นผู้ขนทรายขึ้นมาจากแม่น้ำ คนเหล่านี้จะไม่คิดถึงความเหน็ดเหนื่อย จะมีแต่ความสนุกสนานของชาวบ้านและเด็กๆวัยรุ่นในเทศกาลนั้นๆด้วย

   ท่าน กำนันโกวิท และลูกน้องหลายคน เดินออกมาจากการตรวจตราที่ตลาดซึ่งทำเป็นประจำแล้ว ก็เดินตรงมาทางวัดที่เด็กๆและผู้ใหญ่ หนุ่มสาวกำลังเล่นสาดน้ำกันอยู่ บ้างก็กำลังเอากระป๋องหิ้วทรายมาเทไว้ ที่ตรงลานก่อพระเจดีย์ข้างศาลาใหญ่ คนที่มีหน้าที่ตบแต่งก็ประดิษฐ์ประดอยอย่างละเอียด แล้วในใจก็หวังว่าการประกวดการก่อพระเจดีย์ทรายในปีนี้ คงจะได้รับรางวัลใดรางวัลหนึ่งอย่างแน่นอน

     กำนันเดินดูตรงที่เขากำลังก่อพระทรายแล้วพูดคุยทักทายกับคนเหล่านั้น แล้วก็เดินไปที่ท่าน้ำเพื่อไปดูความเรียบร้อยของลูกบ้าน ที่กำลังสาดน้ำและขนทรายจนกะไดท่าน้ำของวัดเปียกโชกไปหมด ผู้ที่เดินขึ้นลงและไล่กวดกันนั้นก็ต้องระวังการลื่นล้มให้ดีด้วย ถ้าเกิดล้มบาดเจ็บกันขึ้นมาก็จะหมดสนุกกันเสียแต่ต้นๆสงกรานต์นี้ กำนันเดินตรวจดูความเรียบร้อยสักครู่ก็เดินขึ้นไปบนวัด คงจะไปพบกับหลวงพ่อหุ่นเจ้าอาวาสวัดเจ็ดเสมียนชื่อดัง ท่านคงจะไปคุยปรึกษากับท่านเจ้าอาวาส เรื่องการจัดงานสงกราณต์ในปีนี้เป็นแน่

     ผมไม่ได้ดูเขาสาดน้ำและขนทรายจากแม่น้ำขึ้นมาก่อพระเจดีย์ทรายกันนานนักหรอกครับ เมื่อพิธีการทำบุญบนศาลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางคนบางครอบครัวก็กลับบ้านเลยส่วนที่ยังไม่กลับก็มาเล่นน้ำสาดน้ำกัน ที่บริเวณวัดแถวๆท่าวัด และข้างๆศาลาบางคนบางกลุ่มก็หาบทราย ขนทรายขึ้นไปก่อพระเจดีย์กันด้วย  นั่นแหละเป็นความสนุกของเด็กๆ และหนุ่มสาวสนุกสนานกันดีทั่วหน้า สำหรับผมเดินดูเขาสาดน้ำขนทรายกันในใจยังคิดว่า ถ้าเพื่อนๆรุ่นเดียวกับผมกลับมากันครบแล้ว ก็จะชวนกันก่อพระเจดีย์ทรายสักกองหนึ่งเพื่อจะได้ประกวดกับเขาด้วย จำได้ว่าเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่ยังเด็กๆกันกว่านี้มาก ผมกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่เป็นเด็กตลาด ก็เคยช่วยกันขนทรายขึ้นมาจากท่าวัด แล้วมาก่อเจดีย์พระทรายกัน

   ในครั้งนั้นสนุกมากแต่เมื่อถึงวันตัดสินไม่ได้ที่อะไรเลย เพราะว่ามันสวยสู้หมู่ ๒ กับหมู่ ๔ เขาไม่ได้  แต่ในปีนี้เพื่อนๆที่เคยอยู่เจ็ดเสมียนด้วยกันได้จากไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมากันในวันไหน ผมคิดดังนั้นแล้วก็เลยกลับไปบ้านก่อนดีกว่า ผมเดินกลับบ้านผ่านปะรำพิธีที่นายจำเนียรเป็นโฆษกอยู่ในตอนสายๆนั้น ตอนนี้ไม่แกเห็นแล้วแกคงกลับไปพักผ่อนที่บ้านในตลาด เพื่อจะเอาแรงไว้ทำหน้าที่โฆษก ในตอนเย็นต่อไป

    ดังนั้นในปะรำพิธีที่หน้าศาลาใหญ่นั้น ในตอนนี้จึงมีแต่คนคุมเครื่องขยายเสียงอยู่คนหนึ่ง เข้าใจว่าจะเป็นลูกน้องของ นายโหงว บ้านตีมีดซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องไฟและเครื่องขยายเสียงในปีนั้น เป็นคนคอยเปิดเพลงเปลี่ยนเทปอยู่ มิน่าล่ะเสียงเพลงของ ชาย เมืองสิงห์ จึงดังลั่นไม่มีขาดตอนเลย   คนเฝ้าเครื่องไฟนี่เขาทันสมัยจริงๆมีรสนิยมสูงเพราะในเวลานั้น ชาย เมืองสิงห์ นี่กำลังดังสุดๆ แม้แต่คนที่ไม่ชอบเพลงประเภทนี้ ก็ยังต้องแอบฟังด้วยความเบิกบานใจ  เช่นผมเป็นต้น  

   ขอกล่าวถึง คุณจำเนียร คุ้มประวัติ สักหน่อย เพราะเหตุใดคุณจำเนียรจึงได้เป็นโฆษกตลอดกาล แถมยังเป็นช่างภาพฝีมือดีประจำตำบลด้วย  ผมขออนุญาตวิเคราะห์วิจารณ์คุณจำเนียรสักหน่อยนะครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคุณจำเนียรเป็นคนมีอารมณ์ดี ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มเหล้า มีจิตวิทยาในการพูดโน้มน้าวจิตใจคนเก่งและเป็นคนมีความรู้ ถึงไม่มากขนาดมีปริญญาแต่ก็มีคนนับถือนายจำเนียรทั่วไปทั้งตำบล มีชาวบ้านเกิดเรื่องราวขัดแย้งไม่เข้าใจกันในตลาดเจ็ดเสมียน หรือบางทีก็ไม่เข้าใจกันระหว่างแม่ค้า กับแม่ค้าด้วยกันในวันมีตลาดนัดเสียงดังลั่นเมื่อไร

alt

     นายจำเนียร คุ้มประวัติ พร้อมด้วยลูกๆ นั่งกันอยู่ในร้านถ่ายรูปที่ตลาดเจ็ดเสมียน พร้อมหน้าพร้อมตา    

     กำนันโกวิทก็มักจะให้นายจำเนียรเป็นผู้ไปพูดจาให้ประนีประนอมและสมัครสมานสามัคคีกันเสมอ ประเดี๋ยวเดียวคู่กรณีเงียบเสียงไป ได้ผลครับ ปกติแล้วคุณจำเนียรเป็นคนเงียบๆพูดเสียงเบาๆ ไม่โวยวาย แม้กระทั่งในครอบครัวของคุณจำเนียรเอง บ้านผมก็อยู่ติดกันผมยังไม่เคยได้ยิน คุณจำเนียรด่าว่าลูกเต้าเลย ได้ยินแต่ป้าละม่อมด่า ไอ้เหม่ง บ้างเล็กน้อย แหะ..แหะ..! 

     ดังนั้นครอบครัวนี้จึงมีความสุขอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีแต่คนนับถือและยกย่อง จึงได้เป็นโฆษกประจำตำบลตลอดกาล จนกระทั่งอายุมากแล้วจึงได้มอบหน้าที่นี้ให้กับคุณครูเฉลิม คงมั่นไป บุคลิกของคุณจำเนียรนั้นรูปร่างไม่ใหญ่นัก ออกจะผอมไปสักหน่อยแต่ก็พอสมตัวดูดี เมื่อตอนเป็นหนุ่มๆนั้นคุณจำเนียรคงจะรูปหล่อเอามากๆเลยทีเดียว (อายุมากแล้วก็ยังหล่ออยู่) ผมหยักศกสวยงาม เมื่อได้มาแต่งงานกับคุณป้าละม่อม แห่งตำบลบางโตนดด้วยยิ่งแล้วเลยคุณเอ๋ย บุตรชายบุตรสาวแต่ละคนนั้น หน้าตาดีกันทุกคนตั้งแต่เด็กๆ

 alt

คุณเอนก คุ้มประวัติ ในปัจจุบัน

     พอโตขึ้นมาแต่ละคนพ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ตั้งแต่พี่สาวคนโตจนถึงน้องชายคนสุดท้อง สวย หล่อกันทั้งนั้น อยากรู้อยากเห็นก็ไปดูกันได้ที่ อัลบั้มภาพในอดีต (คลิ๊ก) เหม่งของเราก็ไม่ใช่เล่นหน้าตาคมสัน พูดจาตลกคล้ายๆคุณจำเนียร  ยิ่งอเนกน้องเจ้าเหม่งเมื่อเป็นวัยรุ่นเมื่อกว่า ๓๐ ปีมาแล้ว ได้เล่นหนังกับพวกเพื่อนๆของเขาด้วย จะเป็นเรื่องเขาชื่อกานต์หรือเรื่อง ทะเล ฤาอิ่ม จากบทประพันธ์ของ สุวรรณี สุคนธา ผมก็จำไม่ได้แน่นอนแล้ว (น่าจะเป็นทะเลฤาอิ่ม) 

   คุณจำเนียรมีมุขตลกมากมายและมีอารมณ์ดีอยู่เสมอ แกเคยยิงมุขให้เพื่อนๆของแกขำกันเล่นบ่อยๆ ครั้งหนึ่งผมได้ยินแกบอกเพื่อนๆของแกที่หน้าร้านถ่ายรูปจำเนียรศิลป์ว่า ”ถ้ามีสาวๆถามว่ามีเมียแล้วหรือยัง ก็ต้องตอบไปว่ามีแล้วแต่เวลานี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะว่าตอนนี้เมียอยู่ที่บ้านเวลานี้นี้จึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน " ทำให้เพื่อนๆที่ฟังนายจำเนียรพูดอยู่นั้นหัวเราะกันครืนหลังจากถูกมุขของนายจำเนียรเข้าดอกหนึ่ง ”

     ในตอนเย็นวันนี้คุณจำเนียรก็ยังต้องมาเป็นโฆษกให้กับทางวัดเหมือนเดิม เพราะว่าจะเป็นเวลาที่คนเก่าคนแก่ รวมทั้งผู้ที่เป็นคนที่มีชื่อเสียงทำประโยชน์ให้ตำบลเจ็ดเสมียนที่กำนันเชิญมา มานั่งเรียงแถวที่เก้าอี้ที่จัดไว้เปิดโอกาสให้คนที่อยู่ในตำบลนี้ มารดน้ำผู้ใหญ่และคนแก่เหล่านี้ด้วย  ในขณะที่กำนันและลูกน้องอีกหลายคน เดินตรวจดูความเรียบร้อยที่ท่าวัดนั้น มีคนยกมือไหว้ท่านแล้วถามท่านว่า

   " ทำไมจึงรีบจัดให้คนเฒ่าคนแก่มารับการรดน้ำกันในวันนี้เล่าท่านกำนั๊น น่าจะเป็นวันแห่ดอกไม้ไม่ดีหรือ  "  กำนันตอบว่า " จริงๆแล้วถ้าจัดกันในวันหลังๆก็ได้ แต่ต่อไปก็จะไม่ค่อยมีเวลาว่างกันเพราะว่าต่อจากนี้ไป ทุกคนในหมู่บ้านต่างๆ ๖ หมู่บ้านของเจ็ดเสมียนนั้น ก็จะยุ่งอยู่กับการจัดของและเตรียมหาอุปกรณ์ในการแห่ดอกไม้กัน จะให้รดน้ำในวันแห่ดอกไม้เลยด้วยนั้นก็คงไม่มีเวลาให้ เพราะว่าแห่ดอกไม้มาวัดกันเสร็จแล้วก็จะมีการแข่งขันกีฬา เตะตะกร้อ วิ่งเร็ว ชักกะเย่อ หรืออะไรต่างๆ แล้วก็ตัดสินการประกวดต่างๆ รวมทั้งการก่อพระเจดีย์ทรายนี้ด้วย มันคงจะมืดค่ำพอดีคงจัดเวลากันไม่ทัน จึงต้องมารดน้ำกันในวันนี้ " กำนันอธิบายจนชาวบ้านเข้าใจชาวบ้านก็ยกมือไหว้กันประหลกๆ แล้วกำนันเจ้าพ่อแห่งตำบลเจ็ดเสมียนก็เดินไปดูที่อื่นต่อไป

 alt

ครูเฉลิม คงมั่น เคยเป็นครูที่โรงเรียนวัดตึกแล้วย้ายมาเป็นครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ ยังเป็นโฆษกที่เจ็ดเสมียนจนปัจจุบันนี้ เป็นคนเจ็ดเสมียนที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง.

     ผมเดินกลับมาถึงบ้านแล้วมองเข้าไปในบ้าน เห็นแม่ของผมกำลังนั่งคุยกับใครอยู่ ส่วนน้องๆของผมนั้นไม่มีใครอยู่เลย เข้าไปในบ้านแล้วจึงเห็นว่าป้าแจ่มแม่ของ ไอ้มูล (นาวาโท ประมูล  กุลบุปผา) ที่ทำขนมจีนขายในวันที่มีตลาดนัดนั่นเองมาคุยกับแม่ของผม ทั้งคู่กำลังคุยกันแล้วก็เคี้ยวหมากกันปากแดงทั้งคู่ เคี้ยวไปแล้วก็บ้วนน้ำหมากใส่กระป๋องนมผงตราหมีกันไป น้ำหมากเปรอะเลอะกระดานเป็นหย่อมๆ

    ป้าแจ่มนั้นเป็นเพื่อนกับแม่ผมมาช้านานแล้วตั้งแต่พวกผมยังเด็กๆกันอยู่ละมั๊ง ผมกับไอ้มูลลูกชายของแกจึงได้เป็นเพื่อนกันตลอดมาในตลาดเจ็ดเสมียนแห่งนี้ มิหนำซ้ำ ลุงเกีย พ่อไอ้มูลก็ยังเป็นเพื่อนกับพ่อของผมมานมนานกาเลแล้ว ตั้งแต่เขาทำงานกันอยู่ที่โรงสีไฟเจ็ดเสมียน บ้านของป้าแจ่มแกไม่ได้อยู่ในตลาดหรอกครับ บ้านแกอยู่เยื้องๆกับสถานีรถไฟทางด้านขวามือไปหน่อย (จนปัจจุบันนี้) 
     ผมเคยไปหาไอ้มูลพร้อมกับเพื่อนที่ตลาดอีกหลายคน จำได้ว่ามี ไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วีด้วย แล้วไปยืนดูป้าแจ่มแกทำเส้นขนมจีน โรยๆ วนๆ ลงไปในกระทะลูกใหญ่ที่มีน้ำกำลังเดือดอยู่ พอได้ที่ดีแล้วโดยการสังเกตจากเส้นที่ลอยขึ้น จากนั้นป้าแจ่มแกก็ใช้กระชอน ที่ถักด้วยเส้นทองเหลืองอันใหญ่ช้อนขึ้นไปแช่ในน้ำเย็น 
เมื่อช้อนขึ้นมาแล้วจะต้องนำเส้นขนมจีนที่ตักขึ้นมานั้น มาแช่ล้างในน้ำเย็นอีกประมาณ ๒ น้ำ เพื่อให้เส้นขนมจีนเย็นพร้อมที่จะจับเป็นหัวๆได้        

      เมื่อได้ขนาดหัวเส้นขนมจีนที่ต้องการแล้วจึงตัดเส้นขนมจีนออก  นำไปวางในกระจาดหรือภาชนะซึ่งมีใบตองรองไว้ การจับเส้นขนมจีนนั้นถ้าจะให้สวยต้องจับครั้งละน้อยๆ  แต่ถ้าทำแบบเอาไปช่วยงานละก้อจัดการจับให้หัวใหญ่ๆเลย จับเดียวเท่านั้นก็อิ่มตั้งแต่เช้าไปถึงตอนเย็นโน่นแหละ ส่วนการทำน้ำพริกและน้ำยาสูตรอร่อยของป้าแจ่มนั้น ผมขอเอามาเล่ากันในวันหลังก็แล้วกัน

 alt

  เด็กเจ็ดเสมียนคนทางขวาในรูปก็เป็นนักเรียนจ่าทหารเรือในอดีต
        

     พูดถึงลุงเกียและป้าแจ่มนี้แล้วอยากจะเล่าอะไรอีกนิดหน่อย คือว่าจริงๆแล้วคนทั้งคู่นี้นอกจาก ประมูล ซึ่งเป็นเพื่อนผมแล้ว แกก็ยังมีลูกอีกหลายคนแต่ผมไม่ค่อยรู้จักพวกน้องของประมูลเท่าไรนัก เพราะว่าพวกเขาโตกันขึ้นมาผมก็จากเจ็ดเสมียนไปอยู่กรุงเทพฯเสียแล้ว ประมูลยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า พี่ประกาศ หรือพวกผมเรียกแกว่า เฮียก๊ก แกมีอายุมากกว่าพวกผมหลายปี น่าจะเป็นรุ่นของพวกเฮียเต้วหรือคุณไพบูลย์ พงษ์ถิระสุวรรณ (คนเก่งแห่งตลาดเจ็ดเสมียน) 
     เฮียก๊กคนนี้น่าจะเป็นผู้นำในการไปสมัครเข้าเรียนเป็น นักเรียนจ่าทหารเรือ เพราะดูเหมือนว่า เฮียก๊กจะเป็นนักเรียนจ่าทหารเรือคนแรกๆของตำบลเจ็ดเสมียน (ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย) ในตอนหลังๆจึงมีเด็กที่เจ็ดเสมียนหลายคนไปสมัครเป็นนักเรียนจ่าทหารเรือเช่นเดียวกัน อย่างน้อยพอจะเอ่ยถึงได้ ก็มี  ประมูล กุลบุปผา (น้องชายเฮียก๊ก) สาธร วงษ์วานิช  ปัญญา คงมั่น แล้วก็อีกคนหนึ่งนั้นคือ ประยงค์ เกษร  บ้านอยู่ใกล้ๆกับบ้านกำนันโกวิทในปัจจุบัน นายประยงค์คนนี้ได้เป็นถึงนายพลเรือตรี ส่วนเฮียก๊กนั้นเมื่อรับราชการเป็นทหารเรือได้ไม่นาน เฮียก๊ก แกก็ลาออกแล้วเดินทางไปอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จนกระทั่งปัจจุบันนี้

    คุณอาภรณ์ ลักษิตานนท์ (บุตรสาวของป้าเอ็ง) เคยบอกผมว่าพี่ประกาศ กุลบุปผา หรือเฮียก๊กนี้ยังเป็นคนนำทางให้เด็กเจ็ดเสมียนหลายคน ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาอีกด้วย ยกตัวอย่างสักคนเดียวก็พอคือ คุณรังสฤษดิ์ พี่ชายของคุณอาภรณ์นี่เองได้รับการช่วยเหลือจาก เฮียก๊ก มากมายในการที่คุณรังสฤษดิ์ ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา  จนกระทั่งสำเร็จกลับมา ต่อจากนั้นก็มีคุณบุปผาน้องสาวคุณรังสฤษดิ์  อีกคนหนึ่งก็ได้ไปเรียนที่อเมริกาเหมือนกัน รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต้องไปถามคุณอาภรณ์ครับ

 

alt 
       

 

    ภาพนี้เจ้าของภาพคือคุณอาภรณ์ ลักษิตานนท์ (แขก) ได้ส่งมาให้ดูกันนี้ และบรรยายมาคร่าวๆ ว่า " พี่ประกาศลูกชายคนโตของ ลุงเกียป้าแจ่ม ขายขนมจีน เป็นผู้นำทางเด็กเจ็ดเสมียนบางคนไปเรียนต่อที่ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายปีต่อมาก็มีเด็กเจ็ดเสมียนได้ไปเรียนที่อเมริกากันอีกหลายคน เช่น นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ คนหนึ่ง เป็นต้น"

     ส่วนคนในรูปนั้นขอบรรยายดังนี้ครับ คนที่ยืนซ้ายสุดนั้นคือ ลุงเกีย พ่อของพี่ประกาศและประมูล คนถัดมาใส่สูทนั้นก็พี่ประกาศ (เฮียก๊ก) เด็กนักเรียนที่ยืนอยู่หน้าเฮียก๊กนั้นก็น่าจะเป็นน้องชายของ ประมูล ได้ข่าวว่าก็เป็นทหารเรือเหมือนกัน ต่อมาผู้หญิงที่เตี้ยสุดนั้น  ป้าแจ่ม  แม่ของประมูลติดๆกับป้าแจ่ม นั้นก็ ป้าเอ็ง (คุณปราณีต ลักษิตานนท์ ) แม่ของคุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ 


        The lady who was standing next to Pee Pragad is his wife, her name is Pee Duen and still lives in New York. This picture should be taken in the area of Donmueng Airport, Pee Pragad and Pee Duen were leaving Thailand after getting married.
 

      Ai Pha Deg Chetsamian

alt

 นายแก้วเขียน สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๒

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้3
เมื่อวานนี้327
สัปดาห์นี้941
เดือนนี้4253
ทั้งหมด1347843

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online