สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๓

  สาวเจ็ดเสมียนรุ่นพี่ของผู้เขียนมาทำบุญที่ศาลาเสร็จแล้วลงมาถ่ายรูปกันที่ ริมน้ำใกล้ๆท่าวัด

     ยังไม่บ่ายมากนัก ผมก็ถีบรถจักรยานออกจากบ้านในตลาด ข้ามทางรถไฟจุดหมายของผมอยู่ที่บ้านกำนัน ถีบจักรยานไปไม่นานก็ถึงบ้านกำนันโกวิท  เพราะว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้ยังไม่ได้คุยกับวาสนาเลย เมื่อเช้านี้ได้เห็นกันบนศาลาในตอนที่ไปทำบุญกันบนศาลา ได้เพียงแต่เห็นกันเท่านั้นยังไม่ได้คุยกันอีกเพราะว่านั่งอยู่ห่างไกลกันมาก

ศาลาใหญ่หลังใหม่ที่สร้างในที่ของศาลาเก่าหลังเดิม ซึ่งได้ถูกรื้อถอนไป ศาลาหลังใหม่นี้กำลังสร้างยังไม่เสร็จ ปัจจุบันนี้มีสิ่งก่อสร้างต่างๆที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ บดบังศาลาหลังนี้หมดเสียแล้ว ในเย็นวันหนึ่งคุณวาสนากับคุณนวลมานั่งถ่ายรูปด้วยกันที่ตรงนี้ เขาทั้งสองเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน 

     ในตอนนี้ที่วัดก็มีแต่สาดน้ำและขนทราย จากแม่น้ำขึ้นมาก่อพระเจดีย์กันเท่านั้น ส่วนบนศาลาใหญ่นั้นคนที่มาทำบุญกันได้ลงจากศาลาไปหมดแล้วตั้งแต่ทำบุญกันเสร็จบางคนก็กลับบ้านเลย แต่บางคนก็ยังไม่กลับยังอยู่ในบริเวณวัด ในตอนนี้คนที่บริเวณวัดมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งที่ท่าวัดด้วย ดูลานตาไปหมด เสียงโฆษกจำเนียรพูดออกทางลำโพงมาเรื่อยๆ สลับกับเสียงเพลงเป็นระยะทำให้บริเวณวัดคึกคัก และคนที่อยู่บ้านก็มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีคนก่อพระเจดีย์ทรายมากขึ้นๆ จากทีแรกเมื่อสายๆนั้นมีเพียงไม่กี่กอง ตอนนี้มีหลายสิบกองแล้วทั้งเล็กและใหญ่ พวกกองเล็กๆนั้นก็เริ่มเสร็จแล้ว ประดับประดาด้วยดอกไม้ ปักธงสามเหลี่ยมด้วยกระดาษสีต่างๆดูสวยงามยิ่งนัก

      บ้านกำนันนั้นผมมาเป็นประจำตั้งแต่เด็กๆแล้ว ผมจึงไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอะไร ที่ไต้ถุนบ้านเห็นมีคนหลายคนนั่งคุยกันที่ร้าน ซึ่งเป็นไม้แผ่นใหญ่ๆปูเอาไว้ ร้านตัวนี้เป็นของเก่าตั้งแต่ผมเคยมาที่บ้านกำนันตั้งแต่เด็กๆแล้ว บัดนี้เวลาผ่านมาหลายปีมันก็ยังอยู่ ไม้ในสมัยเก่านั้นมันแข็งและทนดีจริงๆ พร้อมทั้งมีเก้าอี้ไม้เก่าๆอีกหลายตัวอยู่ที่ไต้ถุนบ้าน อุปกรณ์ในการออกกำลังกันที่เมื่อ ๔ – ๕ ปีมาแล้วก็ยังมีหลงเหลืออยู่อีกบ้าง แต่กระสอบทรายที่เคยแขวนไว้ตรงคานกลางนั้นไม่มีมันคงจะผุพังไปหมดแล้ว

    ผมเห็นเฮียตี๋ (ชีพชูชัยแห่งตำบลเจ็ดเสมียน) แกก็นั่งคุยกับพรรคพวกแกอยู่ เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาหาก็ยิ้มให้และทักทายผม  ผมก็คุยกับเฮียตี๋พักหนึ่งในหลายๆเรื่อง มีบางตอนก็ขุดเอาเรื่องเก่าๆที่ผมเคยมาคลุกคลีที่นี่พร้อมด้วยพวกเด็กเจ็ดเสมียนในรุ่นผมทั้งหลาย เรื่องของลิเกที่วิกเจ็ดเสมียน เรื่องของการไปชุมนุมกันที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเป็นประจำในตอนเย็นๆ และเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องซึ่งในเวลานี้เป็นอดีตไปหมดแล้ว เด็กๆรุ่นผมนั้นต่อมาได้แยกย้ายกันออกไปจากเจ็ดเสมียนกันหมด จะมีเหลือบ้างก็เป็นส่วนน้อย อายุเมื่อถึงตอนนี้ก็  ๑๗ – ๑๘ กันแล้วทั้งนั้น เวลาต่อมาเด็กในรุ่นหลังๆที่ตลาดไม่มีใครมาออกกำลังกาย กันที่ไต้ถุนบ้านกำนันแห่งนี้อีกเลย คงเป็นเพราะเหตุว่า เอียตี๋ที่เป็นเจ้าสำนักแกคงไม่มีเวลามาช่วยฝึกสอนแล้วในตอนหลังๆนั่นเอง 

   ผมคุยกับพวกเฮียตี๋อยู่พักหนึ่งจึงได้ถามถึงวาสนา  เฮียตี๋บอกว่าอยู่ที่คอกหมูด้านหลังบ้าน " เดี๋ยวนี้วาสนาเขาขยันช่วยแม่เลี้ยงหมู ได้ลูกหมูขายไปหลายรุ่นแล้ว ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ไปหาเขาซี "  เฮียตี๋บอกผมพร้อมกับชี้มือไปทางด้านหลังบ้าน ในขณะนั้นผมไม่รู้ว่าเฮียตี๋จะคิดอย่างไรที่ผมกับวาสนาเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด  เฮียตี๋คงไม่คิดอะไรหรอกนะเพราะว่าเขาก็เห็นผมกับวาสนา สนิทกันอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว ผมขอบคุณเฮียตี๋แล้วบอกเฮียตี๋ว่า " ผมขอไปหาเขาหน่อยนะครับ " ผมเดินออกจากไต้ถุนบ้านที่เฮียตี๋นั่งอยู่เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน ซึ่งมีคอกหมูเล็กๆ และที่ในคอกหมูนั้นมีแม่หมูอยู่สามสี่ตัว แม่หมูตัวหนึ่งมีลูกหลายตัวกำลังให้นมลูกอยู่

    ผมเห็นวาสนากำลังยืนคุยกับป้าจ่างแม่ของเขาที่หน้าคอกหมู ผมยกมือไหว้ป้าจ่างแม่ของวาสนา วาสนาเห็นผมอยู่ก่อนแล้วเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงได้ร้องทักทายผมด้วยความดีใจที่ได้พบกัน  “ เก้ว เป็นอย่างไรบ้าง ไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ตัวโตขึ้นเยอะ เป็นหนุ่มขึ้นแล้วนี่ รูปหล่อด้วย ” แล้ววาสนาก็หัวเราะ   วาสนาทักทายผมและล้อผมเล่นนิดหน่อย วาสนาก็เป็นอย่างนี้เสมอตลอดมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว บางทีก็พูดเล่นกับผมแบบไม่กลัวผมโกรธ ถึงอย่างไรผมจำได้ว่าผมก็ไม่เคยโกรธวาสนาเลยตลอดมา และบางทีผมก็พูดล้อเล่นกับวาสนาตอบไปบ้างเหมือนกัน

  คุณวาสนา (นั่งหน้า) เมื่อไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯก็ได้กลับบ้านที่เจ็ดเสมียนบ่อยๆ มีเพื่อนเด็กๆด้วยกันหลายคนที่สนิทกัน ที่อยู่ในตลาดเจ็ดเสมียนแห่งนี้

   วาสนาใส่เสื้อผ้าสีสดใสนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อลูกไม้ราคาแพง ตั้งแต่ไปทำบุญที่วัดเมื่อเช้านั้นก็ยังใส่ชุดนี้อยู่ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย การแต่งตัวและเสื้อผ้าของวาสนานั้นมีแต่ของดีๆใช้ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว สมกับเป็นลูกของคนมีเงินมีอิทธิพลในตำบลเจ็ดเสมียนแห่งนี้นี้เลยจริงๆ

     ยืนคุยกันได้สักครูหนึ่ง กำนันโกวิทพ่อของวาสนาเดินเข้ามาหาป้าจ่างที่คอกหมู แกกลับมาจากวัดเมื่อไรผมไม่ทันได้เห็น  เมื่อแกเห็นผมเข้าก็ทักทายและถามถึงพ่อของผม ผมก็ตอบกำนันไปกำนันถามผมว่าเดี๋ยวนี้ผมไปอยู่ที่ไหนทำงานอะไร  วาสนาตอบแทนผมว่า “เก้วเขาไปอยู่ที่กรุงเทพฯ มีงานทำแล้ว ดีกว่าหนูเสียอีก ไม่มีงานทำเลยต้องกลับมาอยู่บ้านเป็นคนเลี้ยงหมูด้วย เฮ้อเบื่อจริงๆ "  กำนันได้ยินแล้วก็หัวเราะ แล้วบอกลูกสาวของเขาว่า  “ ใจเย็นๆน่า เดี๋ยวพ่อจะหางานให้ทำเองแหละไม่ต้องห่วง  ” 

      อันที่จริงแล้วเท่าที่ผมรู้และได้ยินคนเขาพูดกันว่า กำนันคนนี้เป็นผู้ที่รู้จักคนมาก บางคนเป็นใหญ่เป็นโตในกรุงเทพฯก็มีหลายคน  จะเอ่ยปากบอกใครสักคนหนึ่งว่าอยากฝากลูกสาวเข้าทำงาน ขี้คร้านพวกใหญ่ๆโตๆนั้นจะรีบโกยแนบหางานแล้วฝากให้ทำเสียอีก  นี่คงเป็นเพราะว่ากำนันยังไม่มีความประสงค์  จะให้ลูกสาวไปทำงานนั่นเอง คงจะเพราะความเป็นห่วงจึงคิดว่า ในตอนนี้ให้อยู่บ้านเฉยๆไปก่อนจะดีกว่า ลูกเป็นผู้หญิงจึงไม่อยากจะให้ไปอยู่ไกลๆตา

     คนสมัยก่อนนั้นมักจะคิดกันอย่างนี้ อย่างคนในตลาดบางคนนั่นไงมีหลายบ้านที่มีลูกสาวแล้ว ก็ให้เรียนหนังสือพอปานกลางเรียนอยู่แถวในอำเภอนั่นแหละ ไม่ให้ไปเรียนต่อให้สูงขึ้นไปอีกเช่นที่กรุงเทพฯ พอจบแล้วก็ให้อยู่แต่บ้านไม่ให้ไปทำงานกันที่อื่นเพราะว่าเป็นห่วงลูกสาว และถ้าลูกสาวไปอยู่ที่อื่นก็คิดถึง เช่นเดียวกับกำนันโกวิทแห่งตำบลเจ็ดเสมียนเหมือนกัน มีหลายคนที่อยู่บ้านจนกระทั่งพอที่จะมีครอบครัวได้แล้ว ก็มีคนมาขอแต่งงานอยู่กันเป็นฝั่งเป็นฝาตลอดไป ไม่ต้องไปเรียนให้สูงๆหรือไปทำงานที่ไหนเลย บางคนก็ได้รับความสำเร็จในชีวิตอย่างที่ว่ามานี้ 

    แต่ก็มีบางคนที่โชคไม่ค่อยดีได้แต่งงานไปกับคนที่ไม่ดี การงานไม่ทำ ไม่ได้ขยันทำมาหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว สูบบุหรี่ทั้งวันตกเย็นก็ล้อมวงกินแต่เหล้า พาเพื่อนฝูงมาเฮฮาที่บ้าน จนภรรยาดูแลและบริการไม่ไหวและก็ทะเลาะกัน จนต้องเลิกกันไปในที่สุด เป็นอย่างนี้ก็มีหลายราย

      ส่วนผู้ปกครองบางคนก็มีความคิดที่ดีพยายามส่งลูกหลานเรียน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายให้เรียนสูงๆเท่าที่จะเรียนได้ บางคนได้ไปเรียนถึงเมืองนอก สำเร็จแล้วมีการมีงานที่ดีเจริญรุ่งเรือง สร้างชื่อเสียงให้กับวงตระกูลก็มี อย่างนี้ก็แล้วแต่จะคิดกัน คิดไปอีกทีมันก็เกี่ยวกับโชคและวาสนาของเด็กมันด้วยว่า พรหมลิขิตจะขีดเส้นมาให้เดินอย่างไรก็ต้องเดินไปตามนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้

    กำนันแกหันไปพูดกับป้าจ่างแม่ของวาสนาเบาๆ ว่าจะไปธุระกับผู้ใหญ่เสงี่ยมและผู้ใหญ่บุญมาสักหน่อย จะไปคุยกันเรื่องงานแห่ดอกไม้ของตำบลของเรา ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ที่บ้านคุณแผ้ว เมฆสุวรรณ และจะมีผู้ใหญ่บ้านหมู่อื่นๆ ตลอดจนตัวแทนของชาวบ้านของหมู่อื่นๆมาประชุมด้วย เสร็จแล้วตอนเย็นจะไปที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนไปจัดการเรื่องรดน้ำดำหัวคนสูงอายุ 

   คุณแผ้วในที่นี้คือ นายแผ้ว เมฆสุวรรณ ท่านเป็นผู้จัดการรถเมล์แดง วิ่งระหว่าง วงเวียนเล็ก ถึงห้วยขวาง ที่กรุงเทพฯโน่น  (ถ้าจำผิดก็ขออภัยด้วย) ท่านมาแต่งงานกับคนเจ็ดเสมียน อยู่ที่หมู่  ๒ ทางบ้านเกาะมานานแล้ว ก็เลยเป็นคนเจ็ดเสมียนไป เป็นผู้มีความรู้สมกับเป็นผู้บริหารรถเมล์ในกรุงเทพฯ  เมื่อมาได้ภรรยาที่เจ็ดเสมียน ก็เลยทำให้ตำบลเจ็ดเสมียนของเราที่บริหารโดยกำนันโกวิท เจริญก้าวหน้าขึ้นไปมาก 

  ที่บ้านกำนันในอดีตนั้นจะเป็นสถานที่อบรม บางทีก็จัดประชุมต่างๆอยูเสมอ

     เมื่อพูดกับป้าจ่างเสร็จแล้วแกก็ขยับผ้าคาดพุง ซึ่งที่เอวมีปืนสั้นกระบอกหนึ่งเอาผ้าขะม้าคาดพุงปิดเอาไว้ แล้วก็เดินออกไปจากตรงนั้นพร้อมด้วยป้าจ่าง ซึ่งเดินขึ้นบ้านไป

    ผมก็ยังยืนคุยกับวาสนาอยู่ตรงคอกหมูนั้นอีกเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ก็ถามกันถึงเรื่องความสุขความทุกข์ที่ไปอยู่ที่อื่น ผมมองไปทางไต้ถุนบ้านกำนันซึ่งอยู่ไม่ไกลกับคอกหมูนัก เห็นมีเพื่อนๆเฮียตี๋หลายคนทยอยเข้ามาในไต้ถุนบ้านกำนันมากขึ้น พวกเหล่านั้นบางคนก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  เพราะว่าเมื่อแต่ก่อนนั้น เมื่อผมยังอยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้ ผมมาออกกำลังยกน้ำหนักและมาต่อยกระสอบทรายของเฮียตี๋ พร้อมกับพวกเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อยู่ในตลาด เกือบทุกบ่ายจนถึงเย็นเป็นประจำ ผมเห็นนายจิต สายลับประจำตัวของเฮียตี๋คนหนึ่งละ เขาเดินเข้ามาที่ไต้ถุนบ้านแล้วมองมาทางผมๆคิดว่าขากลับจะไปทักทายกันเสียหน่อย 

    วาสนาบอกผมว่าในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงแล้ว มาหาเราที่บ้านนะอยากชวนถีบจักรยาน ไปเที่ยวทางบางลานและท่ามะขามกัน ถ้ามีผักบุ้งในนาหรือข้างๆบ่อน้ำตามทางเราก็จะเก็บผักบุ้งมากันด้วย จะเอามาหั่นให้เป็นท่อนสั้นๆให้หมูกิน ผมก็รับปากว่าพรุ่งนี้เที่ยงจะมาหา ให้รอและเตรียมจักรยานไว้ให้คันหนึ่งด้วย จักรยานที่บ้านผมก็มีคันหนึ่งแต่มักจะไม่ค่อยอยู่ น้องๆก็ต้องใช้ไปไหนมาไหนประจำและมีเพียงคันเดียวเท่านั้น ที่เขาชวนผมไปถีบจักรยานไปที่อื่นกันบ้างนั้น ก็เพราะว่าในอีกวันสองวันนี้ที่เจ็ดเสมียนยังไม่มีอะไร จะมีก็พวกขนทรายขึ้นมาก่อพระเจดีย์และพวกหนุ่มสาวที่มาสาดน้ำเล่นน้ำกันที่วัดเท่านั้น จนกว่าจะถึงวันแห่ดอกไม้นั่นแหละ จะสนุกตื่นเต้นคึกคักกันอีกครั้งหนึ่งก็ในวันนั้น ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว

    ในโอกาสนี้ผมก็เลยชวนวาสนาบ้างว่า เย็นวันนี้เราไปเจอกันที่หน้าโรงเรียนนะ วาสนาถามว่าเขามีอะไรกัน ผมบอกว่าอ้าวไม่รู้หรือในตอนเย็นวันนี้นั้น เขาจะมีการรดน้ำให้คนเฒ่าคนแก่ในตำบลของเรานี้ พ่อกำนันของเธอก็คงจะไปดูความเรียบร้อยอยู่ที่หน้าโรงเรียนนั่นแหละ เย็นนี้ออกไปพบกันที่นั่นก็แล้วกันนะ ตอนนี้เรากลับไปบ้านก่อนเดี๋ยวตอนเย็นเจอกัน หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามคำ แล้วผมก็เดินมาเอาจักรยานที่ตรงไต้ถุนบ้านกำนัน ที่พวกเฮียตี๋นั่งคุยกันอยู่ สมจิตซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและเป็นสายลับประจำตัวของเฮียตี๋เห็นผม ก็ทักทายกันด้วยความสนิทสนม และถามผมว่า "เฮ้ย..!เก้ว เป็นอย่างไรบ้างวะ ไปอยู่กรุงเทพฯ สบายดีไหมได้ยินข่าวว่าไปเป็นตำรวจใช่หรือเปล่าวะ "  ผมก็ว่า  " ใครบอกมึงล่ะ " สมจิตว่า " ก็พี่หนิดที่หัวหนองบอกว่าเจอมึงใส่ชุดสีกากีมีดาวบนบ่าด้วยเดินอย่างโก้เลย"  ผมก็บอกว่า " พี่หนิดหัวหนองเข้าใจผิดแล้ว เราทำงานที่การรถไฟต่างหาก แต่งชุดสีกากีเหมือนกัน " แล้วผมก็คุยอยู่กับพวกของเฮียตี๋ที่นั่งอยู่ที่ไต้ถุนบ้านนั้นอีกพักหนึ่ง จึงถีบรถจักรยานกลับบ้าน

    แม่ผมและน้องๆไม่อยู่บ้าน แม่ผมนั้นคงไปคุยอยู่กับป้าม่อมขายปูน ที่บ้านข้างๆโรงสีนั่นเอง ผมนั่งเล่นนอนเล่นค้นเอาหนังสือเก่าๆที่พ่อผมเก็บไว้ในตู้มาอ่าน พ่อของผมนั้นเมื่อตอนที่ยังไม่ได้ไปทำงานที่จังหวัดอื่นๆ ได้สะสมซื้อหาหนังสือไว้เป็นจำนวนมากใส่ตู้ใหญ่ๆไว้ถึง ๒ ตู้ เป็นนิยายก็มี เป็นบทความ ตำราต่างๆ สารคดีก็มาก นอกจากนั้นก็ยังมีบันทึกเรื่องเก่าๆ ในเหตุการณ์ต่างๆอีกเป็นจำนวนหลายสิบเล่มสมุด มีนิยายอิงพงศาวดารเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบครบชุดบัดนี้ก็ยังอยู่ และยังมีหนังสือที่เก่าและหายากอีกหลายเล่ม

      ในภายหลังได้มีการย้ายบ้านย้ายที่อยู่หลายๆหน ทำให้หนังสือเหล่านั้นหายไปบ้าง ที่บ้านน้องสาวของผมก็ยังมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ปัจจุบันนี้มาถึงรุ่นหลานผมก็มีความเกรงเหลือเกินว่า ของเก่าๆที่สมัยปู่ย่าสะสมไว้คงจะศูนย์หายไปหมดในรุ่นนี้แน่นอน ในวันนั้นผมเลือกได้หนังสือเล่มหนึ่ง เก่ามากกระดาษหนังสือนั้นแดงไปหมดแล้วมีความหนาประมาณ ๓๐๐ หน้า เป็นหนังสือซึ่งแต่งโดย เสถียรโกเศฐ และนาคะประทีป ชื่อเรื่องว่า ประเพณีเนื่องในการเกิด และประเพณีเนื่องในการตาย

     ท่านผู้แต่งนั้นได้บรรยาย ถึงเรื่องตั้งแต่คนเราเกิดขึ้นมาต้องมีพิธีกรรมอย่างไร จนกระทั่งถึงวันตายมีพิธีกรรมอย่างไร เป็นหนังสือที่ให้ความรู้มาก (ปัจจุบันนี้หนังสือเล่มนี้จะยังอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็คงจะอยู่ที่บ้านปราณี สุวรรณมัจฉา น้องสาวของผม)
     ผมอยู่ที่บ้านในตลาดนอนอ่านหนังสือเล่นจนเกือบเย็น และคิดว่าป่านนี้ที่หน้าโรงเรียน คนแก่ๆคงจะไปกันมากแล้ว และเขาคงจะเตรียมพิธีการรดน้ำให้คนแก่แล้วกระมัง  ผมจึงเดินออกไปมองที่ข้างร้านกาแฟ เจ๊เซี้ยม ร้านกาแฟเจ๊เซี้ยมนี้เป็นห้องแถวห้องแรกของตลาดเจ็ดเสมียนแถวใหม่ ถัดจากห้องของเจ๊เซี้ยมย้อนกลับมา ก็เป็นห้องของเถ้าแก่เตี้ยเยี้ยน บิดาคุณเตียง (คุณมยุรี วิทยาลิขิต) ได้ยินเสียงโฆษกพูดจากเครื่องขยายเสียงที่วัดดังลั่น เป็นการเชิญชวนประชาชนที่อยู่ในตำบลนี้ให้เสียสละเวลามารดน้ำดำหัวให้กับคนสูงอายุ และขอพรจากคนสูงอายุเหล่านี้ด้วย

     ผมมองไปที่หน้าโรงเรียนเห็นมีคนเดินกันขวักไขว่แล้ว การรดน้ำคนแก่ในปีนี้ เขาเอาคนที่อายุเกือบ ๗๐ หรือมากกว่า ๗๐ ปี พวกรุ่นแม่ของผมหรือพ่อแม่ของเพื่อนๆผม ต่างก็อายุยังไม่ถึง จึงไม่ได้ไปที่หน้าโรงเรียนไปนั่งให้ลูกหลานมารดน้ำให้ ผมเดินเรื่อยๆไปที่หน้าโรงเรียน ได้ยินเสียงโฆษกของเราพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่ปะรำพิธี  เป็นประกาศและกำหนดวันต่างๆของพิธีการแห่ดอกไม้ที่อีกไม่กี่วันก็จะถึงนี้

     ที่หน้าโรงเรียนมีคนเฒ่าคนแก่มากันมากแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนในตลาดส่วนคนทางนอกๆนั้นก็มีบ้าง รวมแล้วประมาณ ๓๐ กว่าคน บางคนก็เดินมาโดยมีลูกหลานคอยช่วยพยุงกันมา กำนันโกวิทเป็นคนดูแลและจัดการบริเวณนั้นอยู่ บอกให้คนแก่ที่เพิ่งมาถึงใหม่นี้นั่งเก้าอี้ในที่จัดไว้ให้ เมื่อเข้าที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว ก็ให้โฆษกบอกว่า พิธีรดน้ำผู้สูงอายุในตำบลเจ็ดเสมียนนี้เริ่มต้นได้แล้ว มีพวกคนหนุ่มคนสาวและกลางคน ที่เป็นญาติและเป็นคนในหมู่บ้าน เข้าแถวต่อๆกันยาวเป็นหางว่าว กำนันโกวิทเป็นคนเริ่มต้นก่อน แล้วคนถัดๆมาก็เดินรดน้ำให้กับคนสูงอายุที่นั่งเรียงแถวนั้นต่อๆกันไป เสียงให้ศีลให้พรกันดังงึมงำไปทั่วบริเวณนั้น

     ผมได้พบกับวาสนาแล้ววาสนาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เป็นเสื้อแขนกุดสีเขียวอ่อนนุ่งผ้าถุงสีเทาๆ เรายืนดูเขาเข้าคิวกันรดน้ำให้คนแก่ที่นั่งเก้าอี้เป็นแถว แล้วก็คุยวิจารณ์กันไปด้วย พวกที่รดน้ำเสร็จแล้วบางคนก็เดินไปเล่นสาดน้ำกันที่ท่าวัด บางคนก็ไปขนทรายขึ้นมาก่อพระเจดีย์ทรายกันต่อไป นายจำเนียรโฆษก ก็พูดเจื้อยแจ้วกล่าวถึงการรดน้ำให้คนสูงอายุนี้เป็นประเพณีกันมานานแล้ว แล้วโฆษกก็เล่าเรื่องประวัติที่มีมาแต่โบราณเกี่ยวกับการรดน้ำ และการก่อพระเจดีย์ทรายนี้ ผมกับวาสนายืนดูเขารดน้ำอวยพรให้กัน ในระหว่างยืนดูนี้ก็คุยกันไปวิจารณ์กันไป ส่วนใหญ่แล้วผมจะเป็นผู้ถามวาสนามากกว่าว่า คนแก่คนนั้นเป็นใครคนนี้เป็นใคร เป็นพ่อแม่ของใคร ลูกหลานเขาบางคนก็เป็นเพื่อนๆพวกเรานั่นเอง

       จนเกือบเสร็จแล้วเราจึงผละออกจากทางนี้ ชวนกันเดินไปทางท่าน้ำไปดูเขาสาดน้ำกันที่ท่าวัด ระหว่างเดินไปนั้นมีคนที่รู้จักกันหลายคน น้าทรัพย์คนหมู่ ๒ ก็มาก่อพระเจดีย์ทรายกับเขาด้วย น้าทรัพย์คนนี้เป็นผู้ชายแต่แกชอบแต่งตัว และทำตัวดัดจริตดีดดิ้นเป็นเหมือนผู้หญิง ในตอนหลังๆอีกหลายปีต่อมาเมื่อน้าทรัพย์แกเจอะเจอผมแกก็ทักผมอยู่เป็นประจำและจะถามถึงพ่อของผมเสมอ เพราะว่าน้าทรัพย์คนนี้ก็เป็นลูกศิษย์ของครูหิรัญคนหนึ่ง

      วันนี้แกแต่งตัวเสียสวยงามแต่งหน้า ทาปาก ใส่เสื้อลูกไม้คอกระเช้าสีเหลืองอ๋อย เพื่อว่ามาทำบุญที่ศาลาใหญ่ในตอนเช้า  เสร็จแล้วก็ยกพวกมาก่อพระเจดีย์ทรายนี่เลย ยังไม่ได้กลับบ้านเนื้อตัวมอมแมมพอสมควร น้าทรัพย์กับพวกของแกรดน้ำให้ผมและวาสนาที่ต้นคอก่อน พร้อมกับอวยชัยให้พรผมกับวาสนาด้วย แล้วต่อมาน้าทรัพย์กับพวกก็ราดผมกับวาสนาเปียกโชกไปหมดทั้งสองคน อีทีนี้ก็หนีไม่ออกแล้วเสื้อผ้าก็เปียกแล้วก็เลยตามเลย

      มีวัยรุ่นและหนุ่มสาวอีกกลุ่มใหญ่ผ่านมาพอดี จำได้ว่าเป็นเด็กทางวังลึกวัดใหม่ชำนาญ ต่างคนต่างถือขันน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มสาดโครมมาที่ผมกับวาสนายืนอยู่ ผมไม่ได้หลบหรือสาดน้ำตอบไปหรอกครับ เพราะไม่มีขันไม่ได้เตรียมมานั่นเอง คนกลุ่มนั้นที่สาดน้ำเราแล้วก็ให้พรด้วย ผมกับวาสนาก็พูดให้พรตอบเขาไปเหมือนกัน เป็นทำนองว่าให้อยู่เย็นเป็นสุข และโชคดีตลอดไป..

     น้าทรัพย์ยิ้มหวานจ๋อยให้ผม แล้วชวนพวกวิ่งไปไล่สาดน้ำคนอื่นต่ออีก วันนี้ทั้งวันแกเต็มที่ของแกดีผมคิดว่า สงกรานต์ที่มีการสาดน้ำกันนี้เล่นกันอย่างสุภาพ สมกับเป็นประเพณีอันดีงามของพวกเราชาวเจ็ดเสมียนจริงๆ ไม่เหมือนในปัจจุบันนี้มีการแอบเอาแป้งมาทาหน้าสุภาพสตรีให้โกรธ มีการจับแก้มจับนม มีน้ำแข็งใส่ถุงมาขว้างกันให้หัวแตก ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครชอบหรอก ผมเห็นบางคนก็ยืนเท้าเอวด่าเอาบ้างเหมือนกัน ไม่สนใจว่าเทศกาลอย่างนี้ห้ามด่ากัน ก็มันถือโอกาสและรุนแรงเกินกว่าเหตุนี่ครับ

     เวลานั้นคนที่ท่าน้ำของวัดนี้ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รดน้ำดำหัวที่หน้าโรงเรียนก็เลิกแล้ว คนที่อยู่หน้าโรงเรียนนั้นบางคนก็ยังไม่กลับบ้าน ชวนกันเดินมาที่บริเวณก่อพระเจดีย์ทราย บางคนก็เข้าช่วยพรรคพวกกันเพราะว่าก่อกันใหญ่เกินไป จึงต้องการคนมาช่วยจะได้เสร็จเร็วๆ บางคนก็กลับบ้านเลย เห็น ศักดา วงศ์ยะรา น้องชายของคุณวาสนา พร้อมกับเพื่อนๆไล่กวดสาดน้ำกับวัยรุ่นสาวๆ ที่มากับเด็กวัยรุ่นชายหมู่ ๑ อยู่อย่างสนุก  และเห็นเด็กๆที่อยู่ที่ตลาดและเป็นรุ่นน้องๆของผมเล่นน้ำสาดน้ำกันอยู่ ผมไม่ค่อยรู้จักชื่อเท่าไรหรอกครับ แต่พอดูเห็นหน้าแล้ว ก็พอจะนึกออกว่าเป็นลูกหลานใคร

ขออภัยภาพของคุณแผ้ว เมฆสุวรรณไม่มี จึงขอลงภาพลูกสาวคนหนึ่งของท่านแทนก็แล้วกัน คนทางขวามือในภาพนั่นแหละครับ ภาพนี้ถ่ายที่หน้าบ้านกำนันในวันแห่ดอกไม้ในปีหนึ่งที่เจ็ดเสมียน.

    เสร็จจากการดูแลการรดน้ำดำหัวของผู้เฒ่าผู้แก่เรียบร้อยแล้ว กำนันโกวิทและพรรคพวกซึ่งกลับมาจากประชุมที่บ้านคุณแผ้วแล้ว และมาจัดการเรื่องรดน้ำดำหัวนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน หรือเลยเข้าไปดูความเรียบร้อยในตลาดหรอกครับ  แกเดินดูความเรียบร้อยตั้งแต่กองเจดีย์พระทรายไปจนถึงท่าน้ำที่วัด ทักทายใครต่อใครไปเรื่อยๆสักพักใหญ่ๆจึงได้เดินขึ้นไปบนกุฏิวัด คงจะไปคุยกับหลวงพ่อถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นแน่

         ในระหว่างที่ผมเดินคู่กับวาสนาไปตรงที่ต่างๆของวัดนั้น มีคนมองมาทางผมกันมากเหมือนกัน แล้วก็ซุบซิบกันคงจะวิจารณ์กันว่า คนนั้นลูกใครเด็กผู้หญิงคนนั้นลูกใคร แล้วมาเดินคู่กันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ชาวบ้านแปลกใจเป็นอันมาก ในสมัยก่อนๆขึ้นไปอีกนั้นไม่ค่อยจะมีอย่างนี้หรอกครับ ที่จะมาเดินคู่กันอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ในสมัยนั้นเด็กที่รักและชอบพอกันจะไม่มีคนใด ที่จะมาถูกเนื้อต้องตัวกันรักกันแค่ไหนก็แค่คุยกันเท่านั้น จะได้นัดพบกันบ้างก็จะไม่มีอะไรต่อกันอย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่เหมือนเด็กๆในสมัยนี้

      ผู้ที่ได้พบเห็นเหล่านั้นบางคนก็รู้จักผมและวาสนากันเป็นอย่างดี จะมองมาแล้วก็คิดกันไปคนละอย่าง เช่น บางคนอาจจะคิดว่าผมและวาสนานั้นทำไมโตเร็วจังนะ เห็นเป็นเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ที่ตลาดไม่ทันไรเลย เผลอประเดี๋ยวเดียวโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว แต่บางคนอาจจะมองแล้วคิดว่า เออเพิ่งจะรู้นะว่า สองคนนี้เป็นแฟนกันมันก็เหมาะสมกันดีเหมือนกัน  บางคนอาจจะคิดว่าวาสนานั้นเขาเป็นลูกกำนันนะจะบอกให้ กำนันเขาก็คงจะหาแฟนให้ลูกเขาเองนั่นแหละ เด็กตลาดคนที่เดินด้วยกันนี้คงไม่ใช่แฟนเขาหรอก ก็แล้วแต่จะพูดกันไป

      ส่วนตัวผมแล้วไม่กลัวว่าใครจะพูดหรือจะนินทาอะไรหรอก เพราะผมก็เล่นก็พูดก็คุยกับวาสนาเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว  การที่นานๆได้พบกันนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะได้พูดคุยกันสนิทสนมกัน แต่ผมมาคิดของผมอีกทีหนึ่งผมกับวาสนานั้นเป็นแฟนกันจริงหรือ ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆจนกระทั่งเป็นหนุ่มสาวกันแล้วอย่างนี้เรารักกันจริงหรือ ถึงอย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย... 

นายแก้ว เขียนสงกรานต์บ้านเราในอดีต ๓

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้275
เมื่อวานนี้311
สัปดาห์นี้886
เดือนนี้4198
ทั้งหมด1347788

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online