ชาวเจ็ดเสมียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑

เรื่องราวเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียน

คนเจ็ดเสมียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑

         ก่อนอื่นก่อนที่ท่านจะได้ติดตามอ่านเรื่องนี้ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เรื่องนี้เป็นบันทึกจากเหตุการณ์จริงๆในสมัยหนึ่งที่เจ็ดเสมียนนี้ โดยนายหิรัญ สุวรรณมัจฉา ชื่อบุคคลต่างๆที่ปรากฏอยู่ในเรื่องนี้บางท่านก็อาจจะไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำไป แต่บางท่านที่อายุมากสักหน่อยก็อาจจะรู้จักและนึกออกบ้าง

        

                              นายหิรัญ ผู้บันทึกเรื่องเกี่ยวกับเจ็ดเสมียนนี้ 

            อีกประการหนึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องบันทึกเหตุการณ์ในอดีตสมัยนั้น จึงไม่ค่อยจะสนุกหรือตื่นเต้นเท่าไรนัก สำหรับท่านที่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้ เพราะว่าบันทึกนี้ไม่ใช่เรื่องนิยายที่แต่งขึ้นจึงไม่ค่อยสนุกโลดโผน แต่เป็นเรื่องจริงๆที่ผู้เขียนได้บันทึกเรื่องนี้ดำเนินไปตามเหตุการณ์ที่เกิดนั้น
         แต่บางท่านถ้าท่านรักและชอบเรื่องเก่าๆแบบนี้จะเพื่อเอาไว้ศึกษาประวัติศาสตร์ ของเจ็ดเสมียนในสมัยนั้น หรืออ่านเพื่อความรู้ก็ดี ท่านคงจะได้ติดตามไปเรื่อยๆแล้วก็จะรู้สึกสนุก และก็อยากติดตามไปจนกว่าผู้เขียนจะหยุดเขียน  จึงเรียนมาให้ทราบและพิจารณาดูด้วยเถิด

         สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องขออภัยต่อท่านที่เป็นญาติ พี่ น้อง ลูกหลาน ของผู้ที่มีชื่ออยู่ในบันทึกนี้อาจจะมีถ้อยคำบางคำที่ไม่ถูกใจท่านบ้าง ก็ต้องขออภัยแทนผู้ที่เขียนบันทึกนี้ด้วย เพราะว่าผู้เขียนท่านก็เขียนบันทึกไปตามที่ท่านได้รู้ได้เห็น คนเราต้องมีดีบ้างและไม่ดีบ้างสลับกันไปเป็นธรรมดา และอย่าโกรธ ถือสาหาความอะไรเลยครับ เรื่องมันเลยมาตั้งกว่า ๗๐ ปี แล้วนะครับ

 สมุดต้นฉบับส่วนหนึ่งของจริงที่นายหิรัญ ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นต้นมา

          เราจะมาเริ่มบันทึกนี้กันที่เริ่มต้นปีใหม่ วันที่  ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล  (ปีใหม่ของไทยที่เริ่มต้น ในวันที่ ๑ มกราคมนั้น ได้มาเปลี่ยนในภายหลัง)  บุคคลที่อยู่ในเจ็ดเสมียนสมัยนั้นจะมีชื่อเรียกกันเล่นๆด้วย  เท่าที่ผมได้ดูแล้ว บางคนผมก็ไม่รู้จักเลย บางคนก็รู้จักดี ดูรายชื่อกันก่อนครับ

(หมายเหตุ  ตลอดทั้งบันทึกนี้ เพื่อความเข้าใจผมจะเขียนอธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจ อยู่ภายในวงเล็บครับ  )
                               

ฉายาของบุคคลต่างๆ
                   

เขียนเมื่อวันที่   ๒๗  พฤศจิกายน   พ.ศ.  ๒๔๘๑
               

นางสาว กิมแช                   ฉายาว่า          นัง แห้ง            (แม่ของคุณสาธร วงษ์วานิช)
นางสาว ฮวย                     ฉายาว่า          นัง ห้าว            (แม่ของคุณสุพงษ์ แววทอง)
นางสาวบุญชู                      ฉายาว่า         นัง หิ้ว           (น้องสาวของนางสาวฮวย)
นางสาวสละ                       ฉายาว่า             นัง กุ้ง        (แม่ของนายแก้ว สุวรรณมัจฉา)
นางสาวบุญสม                   ฉายาว่า             นัง โย่ง      (น้องสาวของนางสาวสละ)
นางสาวอุดม                      ฉายาว่า           นัง ตุ๊
นายเช็งฮวง                        ฉายาว่า            นายเห็ด     (บิดาของคุณสาธร)

นายเบี้ยว                          ฉายาว่า           นายเบี้ยว       (บิดาของนายโอฬาร ลักษิตานนท์)

นายเกีย                            ฉายาว่า            นายเกีย       (บิดาของ นท.ประมูล กุลบุปผา)

นายโห้ลิว                         ฉายาว่า            นายลิว        (บิดาของนายแก้ว)

นายต้อ
นายเล้ง                           ฉายาว่า             นายหนวด  (บิดาของนายฤทธิ์ วงษวานิช)
นายชิน                           ฉายาว่า             นายแงะ
นางสาวกิมเอ็ง                 ฉายาว่า             นัง อาย  (eye)   (แม่ของนายโอฬาร)
นางสาวฟอง                    ฉายาว่า              อาบิสสิเนีย

                           

                            บันทึกนายหิรัญ  เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๑
                                                        

                                         เริ่มต้นปี  ๒๔๘๑

                  (เมื่อเป็นครูและอาศัยวัดเจ็ดเสมียนอยู่ ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนถาวร)


           ๖      ๑.  ๑.  ๘๑     ข.  ๑.  ๕.  ๓    (วันศุกร์  ที่ ๑ เมษายน ๒๔๘๑ ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ปี ขาล) 
         

        เช้าอากาศโปร่ง  ฝนหายแล้วแสงเงินแสงทองส่องฟ้าดูสะอาดตา    ทำความชื่นบานมาสู่ตัว ฉันมาก  ศุภนิมิตร  แห่งปีใหม่นี้ดีเหลือเกิน   ของเก่าที่ชั่วร้ายที่ไม่ต้องการ ฯลฯ    ก็ถูกฝนแห่งปีเก่าชะล้างหมด   ยังความสะอาดให้แก่ปีใหม่  เพราะ ฉะนั้นปีใหม่นี้จึงเป็นปีที่ดีทุกสิ่งทุกอย่าง   ความสุขกายสุขใจก็จะเกิดขึ้นในปีใหม่นี้เป็นแน่แท้    ปีเก่าคือปีวัว   ปีใหม่คือปีเสือ   แม้เป็นปีเสือก็เป็นเสือเชื่อง  เจ้าประคุณเอ๋ยขอปีใหม่พ่อเสือเหลือง  จงบันดาลขอให้ ฉันมีความสุขจงทุกประการ  คิดสิ่งใดปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จดังมโนรถเถิด
          มีคนมาทำบุญมาก  สายๆเจ๊ตูบ  และเจ๊ฟอง  น้าเติม  ก็มาเยี่ยม  เจ๊ตูบพูดเก่ง   คุยกันสักประเดี๋ยวก็กลับน้าสาย  สงวน  อยู่  สังวาล   มาเยี่ยม    คุยกันเดี๋ยวเขาก็กลับ
เย็นเมฆก็บังพระอาทิตย์มืดหมด   ฟ้าก็คะนองร้องเปรี้ยงๆ   ประมาณ๑๘น. ฝนก็เทลงมาอีก  นี่ก็เป็น ศุภนิมิตรอันดีแห่งปีใหม่ เหมือนกัน   ประชาชนก็จะได้รับความร่มเย็นทั่วหน้ากัน  ความสุขความเจริญก็จะบังเกิดขึ้นแก่พวกเราในปีใหม่โดยทั่วหน้ากันแล้ว 
              

          ๗    ๒.   ๑.   ๘๑     ข.   ๒. ๕. ๓ (วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๔๘๑)   หัวออกแล้วแผลก็ค่อยยังชั่วหายบวม (เป็นฝีที่ขา)  แต่ยังโขยกไม่ถนัด  ห้อยขายังไม่ได้   แต่ก็เป็นสุขขึ้นมากแล้วบ่ายฉันไม่มีธุระอะไรก็ลงนอนเล่นพอจวนจะหลับ   แช  ฮวย   สง่า   ทองใบ   ก็มาเยี่ยมกัน  เชิญให้เขานั่งแล้วก็คุยกัน  พวกเขาชวนให้ไปเล่นลูกช่วงในเวลาเย็น  ฉันพูดว่า  “ อยากจะไปเล่นหรอก  แต่ไปยังไม่ได้  ถ้าเล่นละก็เล่นเผื่อด้วยก็แล้วกัน “
          

          ในเจ็ดเสมียนนี้ก็มีคนสวยอยู่คนเดียวคือ   กิมแช  คนนี้เท่านั้น  ใบหน้าสวยเสียแต่ผอมไปหน่อย  กิริยาท่าทางเรียบร้อย  บ้านมีฐานะดีบิดามารดามีหัวคิดดี    ปากเก่ง  เป็นคนที่กำลังเป็นที่ปรารถนาของ นายฮวง  เพื่อนฉัน  ว่าที่จริงฉันก็หลงรักเขาอยู่เหมือนกันแต่ก็ต้องยอมเสียสละ  และฉันก็ไม่อาจเอื้อมให้ถึงเขาเหมือนกัน  จะเป็นคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

         กระบวนกล้าแล้วเห็นจะไม่มีใครเกิน ฮวย (ใฝ )ไปได้    เออกล้าจริงจะพูดจะจาอะไรกับใคร  ฉะฉานและได้ความดี  ฐานะแพ้แชเล็กน้อย  กำพร้าพ่อ   แต่แม่เธอปากเก่งยิ่งกว่าลูก  ปีกลายเคยติดต่อกับเช็งฮวงคราวหนึ่งแล้วก็เลิกกันไป   เหตุนี้ฮวยจึงโกรธแค้นเช็งฮวงมาก  อย่างอื่นก็ดีดอก  แต่ไฝเม็ดนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นคนปากเก่งมาก   ถ้าทะเลาะกับฉันๆต้องยอมแพ้  ถ้าใครได้เป็นกรรมสิทธิ์  ก็อย่ากลัวเลยที่จะเสียเปรียบคนอื่น  แต่จะเป็นที่รังเกียจของเพื่อนบ้านนะนา
        

           ป๊อบปูล่าที่สุดคือทองใบ   รอดสกุล    เธอเคยไปเที่ยวกรุงเทพฯ  ไปอยู่กับพี่เขยเคยผ่านการสมาคมามาก  เมื่อเธอมาอยู่เจ็ดเสมียนใหม่ๆ   ฉันแสนจะเกลียดไม่พูดด้วย   มาเมื่อ  ๓  -  ๔  เดือนมานี้จึงรู้จักกันคุยกันสนิทสนมดี  รู้สึกว่าเธอพูดเก่งและอ่อนหวาน  คนเช่นนี้เหมาะสำหรับการรับแขกดี ครั้งแรกอนาคตของทองใบก็ดูท่าจะแจ่มใสดี  คือบิดาเธอส่งไปเรียนหนังสือที่โพธาราม     สอบได้ม.  ๑  แล้วเลยออกมาอยู่บ้าน  ถ้าบิดาเธอให้เรียนต่อก็จะดี  ป่านนี้ก็คงสอบ ม.  ๔  ได้แล้ว ตำแหน่งครู  ร.ร.  จ.ม. (เจ็ดเสมียน)  ก็คงหนีไม่พ้น  แต่นี่บิดาเธอเป็นคนเกกมะเหรก  กินเหล้าเมาเช้าเย็น  ไม่เอาใจใส่ในอนาคตของบุตรสาว  ทองใบจึงต้องตกอับ  แต่เขาเป็นคนมีฐานะดีไม่ต้องทำก็มีกิน   เราจะหวังได้แหละหรือว่าสมบัติเหล่านี้จะไม่หมดสิ้นลงไปในวันข้างหน้า ?
       

           เฮียเบี้ยวมาคุยว่า “ เมื่อคืนที่โพธาราม  เขามีการประกวดนางงาม  มีนางงามประจำตำบลต่างๆเข้า ประกวด  ๓๒  คน  นางสาว  แฉล้ม บุตรนายร้อยโทชิต   ตำบลบางกะโดได้ที่  ๑    ได้รับรางวัลสายสร้อยคอทองคำหนัก  ๒  สลึง  ๑  สาย  พร้อมด้วยล๊อกเก็ต   ๑  อัน  ตำบลบางเลาได้ที่  ๒   ได้รับรางวัลขันเงินพร้อมด้วยพานรอง  ๑  สำรับ     คนได้ที่  ๓  นั้นใบหน้าสวยจึงได้รับรางวัลพิเศษจากนายอำเภออีก  ๒  บาท นอกนั้นได้รับรางวัลผ้าลายคนละ  ๒  ผืน   “  ถ้าแชไปประกวดก็คงจะไม่ได้  เพราะผอมไป  พวกที่ไปประกวดนั้นใบหน้าเขาอิ่มๆทั้งนั้น  นุ่งผ้าลายห่มสะใบเฉียงทุกคน  “

         ๑    ๓.  ๑.   ๘๑     ข.  ๓.  ๕.  ๓  (วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ๒๔๘๑)  แม่มารถดีเซลบอกว่าจะมารับ ฉันกลับ   ฉันบอกว่าอีก  ๓  -   ๔  วันจึงค่อยกลับ  เพราะยังไม่หายสนิทวันนี้ ฮวย และนวลฉวี   ( นางตุ้งติ้ง )  มาเยี่ยม

         ๓     ๕.   ๑.   ๘๑   ข.  ๕.  ๕.  ๓   (วันอังคารที่ ๕  เมษายน ๒๔๘๑)  เจ๊ตูบและฟองหาบข้าว เจ๊จ่าง (เป็นภรรยากำนันโกวิท ในเวลาต่อมา)  มาโรงสี  เลยแวะมาเยี่ยม  ตอนบ่าย แช  และ ทุเรียนมาเยี่ยมอีก  เอาหนังสือมาให้อ่าน  ๒  เล่ม  และจำภู่ (ชมพู่)  ๘  ผล  ฉันไม่ใคร่อยากหายป่วยเสียแล้ว  ขอให้สาวๆมาเยี่ยมเรื่อยๆเถอะ  ซ้ำยังมีขนมติดมือมาด้วยยิ่งดีใหญ่   ว่าที่จริงฉันก็มีโชคดีเหมือนกัน  แต่ก็มีโชคร้ายเรื่อย  เช่นมาเจ็บเท้าเสียเช่นนี้อยากจะไปเที่ยวบ้างก็ไปไม่ได้  จะไปไหนก็ไปไม่ได้ๆแต่ชะเง้อดูเขาเท่านั้นเอง  บางคนว่าฉันโชคดี  แต่ฉันเห็นว่าไม่ดีเลย   
  

         ๕    ๗.  ๑.  ๘๑   ข.  ๗.๕.๓   (วันพฤหัสบดีที่ ๗ เมษายน ๒๔๘๑) เช้านางตุ้งติ้ง  (นวลฉวี)  มาหา  บอกว่าจะไปกรุงเทพฯ   ประจวบกับเมียนายตรวจผ่านมาและมานั่งคุยกันอยู่ด้วย   คุณนายจึงให้นางตุ้งติ้งร้องเพลง   เสียงหวานเย็นดีจริง บ่าย  ชูเอามะพร้าวอ่อนมาให้  ๑   ผล
         วันนี้เป็นวันที่อำเภอโพธารามกำหนดการเกณท์ทหาร   บรรดาชายฉะกรรจ์ต้องมา
คัดเลือกทหารในวันนี้พร้อมกัน  และปีนี้เอาคนที่ไม่มีทะเบียนด้วย  นายแย้มคนงานที่โรงสีก็โดน   แกมีอายุ  ๓๐  แล้วเมียแกผอมสูง  มีลูกอายุพึ่งไม่กี่เดือนคนหนึ่ง   ความจริงก็น่าสงสารแก  เมื่อแกไปเป็นทหารแล้ว   ก็ไม่มีใครจะหาเลี้ยงเมียแก  และแกตั้งแต่มาอยู่เจ็ดเสมียนแล้ว  ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครเลยเป็นคนซื่อดี  ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำก็ดีเหมือนกันเป็นทหารจะได้ช่วยชาติ  เป็นกำลังของชาติต่อไปในภายภาคหน้าพอเมียแกรู้ว่าผัวโดนทหารเท่านั้น  ร้องไห้โฮใหญ่  มีคนสงสารแกหลายคน ฉันเชื่อว่าเฮียแย้มจะสลดใจไม่น้อยเหมือนกัน  

         ๖   ๘.  ๑.  ๘๑    ข.   ๘.  ๕.  ๓   (วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๔๘๑)  เจ็ดเสมียนนี้มีความเจริญไม่แพ้ตลาดย่อยๆที่อื่นเหมือนกัน  เช่นวันมีนัดคนก็มาก  และเดี๋ยวนี้พวกครูกวย  (กำนันโกวิทในเวลาต่อมา) และ  ครูแฉล้ม (พี่ชายครูเฉลิม คงมั่น) คิดกันจะสร้างวิกขึ้น  เมื่อเรียกหุ้นส่วนแล้วปรากฏว่าได้ประมาณ  ๒๐  กว่าหุ้น  ฉันก็เอาด้วย  จะสร้างในที่ตาบัวเยื้องโรงเรียนหน่อยหนึ่ง   วันนี้เป็นวันนัดประชุมกัน  เก็บเงินและตั้งกรรมการกัน  ณ. บ้านตาบัว  ฉันไปไม่ได้ๆแต่ฟังข่าวอยู่บนเตียงนอน
          บ่ายครูกวยมาบอกว่าแกเป็นผู้จัดการทั่วไป   ครูแฉล้มเป็นเลขานุการ   ฉันเป็นเหรัญญิก  ( คนเก็บเงิน )  ครูกวยจึงให้เก็บเงินไว้  ๓๗.๕๐   บาท  บอกว่าบางคนยังไม่ได้ให้   ไว้เปิดประชุมอีกในวันที่  ๒๓   ถ้าใครไม่ให้ก็แปลว่าขาดจากหุ้นส่วน  และแกยังกำชับว่า  เงินทองเก็บไว้ให้ดีๆมิฉะนั้นจะขาดทุน
           ผู้ที่มีชื่อเสียงดี  มีคนนับหน้าถือตาดีก็คือครูประชาบาลตามบ้านนอก   จะไปไหนคนก็ไม่กล้าดูหมิ่น  เรียกเชื้อเชิญดีจะทำอะไรก็สดวกและมักจะเชื่อเครดิตของครูด้วย  ถ้าเป็นครูตามตลาดแล้ว  ไม่มีใครมองเดินแทบจะกระทบไหล่กัน  ว่าที่จริงครูประชาบาลนี่ถึงได้เงินเดือนน้อยก็ยังมีคนเชื่อถือ
           วันนี้นายกุ้งไปอำเภอกลับมาบอกว่าได้บรรจุเป็นครูอยู่ท่ามะขามแล้ว  ตั้งแต่วันที่  ๑เมษายน   ตกลงเดือนนี้ได้กินเปล่า  ๑  เดือน

           หลวงพี่ทองลูกชายหลวงตาเฉยมาแต่กรุงเทพฯ  มาคุยกันคุยถึงเรื่องคนไทยขี้เกียจ   แกว่า  “   คนไทยเราเป็นนักตำราหรือนักชี้นิ้ว  เช่นพวกที่ไปเรียนนอกกลับมาแล้ว  ก็ไม่เห็นค้นคว้าอะไรให้ปรากฏขึ้นมาดีแต่นั่งเก้าอี้และสั่งงานเท่านั้น  หรือไม่ก็แต่งตำราขายเอาเงิน  พวกฝรั่งเมื่อมันสำเร็จวิชานั้นๆแล้ว  ก็ลงมือทำจริงๆเทียว  เช่นสยามจ้างมันมาควบคุมเครื่องจักรหรืองานอื่นๆ  เมื่อเกิดติดขัดแล้วก็ลงมือทำตัวมอม แมมก็ไม่ว่า   หรือเมื่อสำเร็จก็ลงมือค้นคว้ากันจริงๆไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก  ในสยามบ่อน้ำมัน  เหมืองแร่  ธาตุแร่อื่นๆ  ยังมีอยู่ในพื้นแผ่นดินอีกมาก  แต่ไม่เห็นคนไทยคนไหนจะมีปัญญาไปค้นคว้า  ถ้ามีก็มีแต่พวกฝรั่งเท่านั้น  ประเทศสยาม  (เปลี่ยนเป็นประเทศไทยในภายหลัง)  จะเจริญขึ้นได้  ก็เมื่อคนไทยละนิสัยชนิดนี้เสีย  “ 
                   

           ๑    ๑๐.   ๑.   ๘๑    ข.  ๑๐.  ๕.  ๓ (วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๘๑)  วันนี้กลุ้มใจเหลือเกินและคิดถึงบ้านมาก    พอกินข้าวเช้าแล้วก็ขนของเข้าห้องหมด  เดินได้บ้างแล้ว  ไปเที่ยวตลาด  เอาหนังสือที่ขอยืมแชมา  ไปให้แช  คุยกับซิ้มติ๊ว  (แม่ของนางสาวกิมแช)  สักประเดี๋ยว  ก็มาคุยกับฮวยและชู  พอบ่ายก็กลับรถบ่าย
         ฉันป่วยคราวนี้มีคนมาเยี่ยมคือ   กิมแช   กิมฮวย    สง่า  ฉวี   ทองใบ    เจ๊ตูบ   เจ๊ฟอง   เจ๊สังวาล   อยู่   สงวน  เสงี่ยม   อ่อน   แปลก   บุญชู   ทุเรียน    น้ายา   จ่าง   น้าสาย   ลุงเขียว   เปงยู้   แม่   ซึง   ป้าหง    ป้าเหม    ลุงอิน   ฮวง  เบี้ยว    ซิ้มแหลว    น้าแฉ่ง    
           กลางคืนไปเที่ยวงานที่วัดโพธาราม    เลยแวะไปเยี่ยมเช็งกิจ (ต่อมาเป็นผู้สร้างโรงสีที่เจ็ดเสมียน)  เขาเกือบหายแล้ว  เดินได้บ้าง  บางทีเขาจะหายก่อนฉันก็ว่าได้

         ๒     ๑๑.   ๑.  ๘๑    ข.  ๑๑.  ๕.  ๓.  (วันจันทร์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๔๘๑)  อยู่บ้านไม่ได้ไปไหน     กิมแชและทุเรียนมารถเช้า  ชวนให้เขาไปเที่ยวบ้านเขาไม่ไป
                   

          ๔       ๑๓.   ๑.   ๘๑   ข.  ๑๓ .  ๕.  ๓   (วันพุธที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๘๑)  ฉันอยู่โพธารามได้  ๓  วัน   ก็ขี่รถดีเซลลงไป จ.ม. (เจ็ดเสมียน) อีก ซื้อฝรั่งดองไปฝากน้ายา   เจ๊ จ่าง   แช   ชู   เท้ายังไม่หายดี
          บ่ายได้ยินคนพูดว่า  มีคนร้ายกระชากสายสร้อยคอของ  เซียม   ที่ตรงตรอกจะเข้าบ้าน  ในเมื่อเซียมอุ้มน้องเอาไปให้กินนมแม่ที่วัด  ขากลับคนร้ายก็ตามเข้าไป  พอเข้าตรอกเลยบ้านกิ๋ม หน่าย สักหน่อย  มันก็กระชากทีเดียว เซียม ก็ร้องไห้เอ็ด  กว่าจะรู้เรื่องคนร้ายก็ไปเสียไกลแล้วฉันถือโอกาสนี้จะไปฟังข่าวดูและจะไปเที่ยวบ้านเขาด้วย  แต่เห็นป้าหงษ์นั่งอยู่หน้าบ้านครูกวย  
         ความเกรงจึงทำให้ไม่กล้าเพราะตั้งแต่ป่วยมาแล้ว  ฉันไม่ได้ไปตามบ้านนอกเลยพวกเขาคงจะนึกว่าบ้าง  ฉะนั้นพอป้าหงษ์ไปแล้วฉันก็ค่อยๆโขยกไปจนได้
เอาฝรั่งไปให้ชูก่อนแล้วจึงเลยไปบ้านแชเห็นมีคนอยู่หลายคน   เขาเชิญให้นั่งแล้วฉันก็ฟังเขาคุยกัน  ฉันสังเกตุดูเจ็กสือ  (บิดาของนางสาวกิมแช)  ท่าทางกลัวซิ้มติ๊วมาก  เจ๊กสือพูดว่า  “  ตอนเซียมร้องขึ้นอั๊วก็นอนอยู่ตรงร้านนี้  พอม่อยๆก็ได้ยินเสียงเซียมร้อง   อั๊วก็นึกว่าหมากัด   จึงค่อยๆลุกขึ้นไปดู “ ซิ้มติ๊วเอ็ดว่า  “  ดีแต่นอนเท่านั้นซีไอ้ยืด  ลูกร้องก็ไม่รู้จักลุกขึ้นไปดู   คิดแล้วเจ็บใจนัก  “   อิทธิพลของซิ้มติ๊ว  (มารดาของนางสาวกิมแช)  ไม่ใช่เล่น
          ฉันคุยกับเขาบ้างนั่งคุยบ้างจนบ่าย  แชเอาข้าวเหนียวมาแช่แล้วเอาไปต้มจะห่อข้าวต้ม  เรียกฉันไปช่วยห่อด้วย  ฉันบอกว่าห่อไม่เป็นได้แต่มัด  ระหว่างที่ห่อนั้นฉันนั่งเคียงกับแชและคุยกันไปเรื่อย   แต่ก็คุยไปส่งเดชอย่างนั้นเอง
          ซิ้มติ๊วแกว่าครูกวย  (ต่อมาเป็นกำนันโกวิท) ไปตามกับผู้ใหญ่หลงที่หนองกลางนา  แต่ก็คงจะได้ในไม่ช้าหรอก  เพราะเซียมจำคนได้และมีคนรู้จักตัว คือนายทรงลูกนายอ่อน  นางบ่าย  บ้านข้างคลองมะขามนี่เองมาเที่ยวตลาด จ.ม. ไม่เว้นวัน  แต่เขาว่าเป็นคนไม่ใคร่เต็มหุน  นี่ถ้าจะโดนคนยุเป็นแน่
  

          ๕    ๑๔.   ๑.  ๘๑   ข.  ๑๔.  ๕.  ๓  (วันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๘๑) คนร้ายนั้นจับได้แต่เมื่อคืนวาน   เช้านี้ก็ส่งไปรถเช้า  ซิ้มติ๊ว   กิ๋มหน่าย  และเซียมก็ไปอำเภอด้วย  
            ตอนบ่ายฉันไปเที่ยวบ้าน  ฮวย  แล้วเลยไปบ้านแช   ไม่มีคนอยู่เลยคุยกันกับแชเรื่อยไป  ฉันนี้คือสปายของเช็งฮวงนั่นเอง    ฉันบอกแชหวังจะล้วงความจริงว่า  “  เดือน  ๖  นี่แหละเขา ( นายเช็งฮวง )  จะมาขอให้ระวังไว้ให้ดีเถิด   “   แชมองหน้าฉันแล้วว่า  “ อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ปากเลย  ไม่ได้กินเสียละ  “  แล้วแชเล่าว่า “ ฉันจะเล่าให้ครูฟังแล้วอย่าบอกใครนะ 

          

นายเช็งฮวง(นั่งทางซ้าย) นั่งคู่กับนายซุ่ย เจ้าของร้านทอง "ง่วนเฮงหลี" ส่วนคนยืนทางข้างหลังนั้น ผู้ใหญ่เสงี่ยม สกุลนา มือปราบของตำบลเจ็ดเสมียนสมัยกำนันโกวิท วงศ์ยะรา

           ทีแรกมันไปชอบฮวยอยู่เป็นนาน  จดหมายเขามีถึงกันตั้งเยอะแยะ  ฮวยมันเอามาให้ฉันอ่านแทบทุกฉบับ  แล้วตอนเย็นๆเขาก็ไปนั่งคุยกันที่คอกหมูทุกวัน   ฉันเห็นฉันก็หลีกห่างๆไป  กลัวจะไปเป็นก้างขวางคอเขา  เรื่องอะไรๆฉันก็รู้หมดแล้วทีนี้มาทำโกรธฉัน  เพื่อจะให้เขารู้ว่าโกรธกันแล้ว  จะมาชอบทางนี้เรื่องอะไรๆฉันไม่เชื่อเลย “
            แชเล่าต่อว่า  “  เตี่ยและแม่ฉันใจดีออก  แกชอบคนพูดดีใครพูดกับแกดีๆละก็แกชอบ  ฉันจะไปไหน  จะไปเที่ยวที่ไหน   อ้อนวอนเข้าสักประเดี๋ยวก็ได้ไป  “  มิน่าเล่า  ฉันไปเที่ยว  ๒     ๓  วัน  แกก็ออกปากเรียกให้กินข้าว  จะให้พักอยู่ด้วย
 

          เรื่องที่คุยกับแชวันนี้  ฉันควรจะต่อให้ยาวเพื่อล้วงเอาความจริงอีกแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแช  คิดอะไรไม่ออก  สมองไม่รู้ว่าเอาหัวคิดไปเก็บเสียที่ไหนหมด  เออ  เก่งนอกหวอดก็คือข้าพเจ้าเอง (นายหิรัญ สุวรรณมัจฉา) ......!

                                                                                ยังมีต่อ

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้343
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้343
เดือนนี้13261
ทั้งหมด1343145

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

4
Online