เรื่องเก่าของคนเจ็ดเสมียน (พ่อสื่อ )

    

ท่านผู้อ่านครับ

เรื่องราวที่ผมซึ่งเป็นผู้จัดทำ ได้นำเรื่องราวเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียน ที่ผู้อ่านกำลังเปิดอยู่นี้เป็นจำนวนกว่า ๒๐๐ เรื่องแล้วนั้น ได้รับความสนใจจากท่านผู้อ่านที่ชอบเรื่องเก่าๆแบบนี้มากมายพอสมควร ในตอนนี้ผมมีเรื่องเก่าที่เก่ามากๆ เล่าโดยคนเก่า   

 ๖ ๑๕.๑.๘๑    ข.  ๑๕.๕.๓ (วันศุกร์ที่ ๑๕  เมษายน ๒๔๘๑)

          ตอนเช้ามีคนมาทำบุญกันมาก  ฉันนั่งอยู่บนวัดมีคนมาใส่บาตร    ตอนหนึ่งมีบุญสม  ลูกสาวนายตรวจขึ้นหน้า  แล้วก็กิมแช   แล้วก็อุดม  ลูกสาวนายสถานี   แชนุ่งผ้าสีตองอ่อน  เสื้อสีพีระ  ฉันดู  ๓  คนนี่แล้ว  เห็นแชเป็นที่ ๑    อุดมเป็นที่  ๒   บุญสมเป็นที่  ๓  ฉะนี้แหละหรือ  เช็งฮวง เพื่อนฉันจะไม่รักจนหลง 

        เฮียเบี้ยว เช็งฮวง กอดี  ซิ้มม้วน (ในภายหลังได้ไปสร้างโรงเลื่อยที่หัวหิน)  ขี่จักรยานไปเที่ยววัดธรรมเสน (อยู่คนละฝั่งกับตลาดเจ็ดเสมียน เยื้องๆกับวัดตึก)  ที่นั่นมีงานเทศน์   มีพ่อค้าเกวียนทั้ง  ๕๐๐   และมีเกวียนมาจริงๆคนจึงอยากไปดูเกวียนกัน  คนเจ็ดเสมียนไปกันมาก
        บ่ายเจ๊ม่วยน้องเฮียซุ้นวานไปเขียนสัญญากู้เงิน  ๑  ฉบับ  ระหว่างนายเพ็ญนางหมา   บุญเกษ  กู้เงินของนางม่วยไป  ๒๐๐  บาทเอาโฉนดมาไว้  เขียนแล้วเจ้ม่วยให้ฉัน ๕๐ สตางค์  ฉันไม่รับ  เขาจึงให้มะปรางหวาน ๑๑ ผล ฉันเอาไปให้ฮวย ๖ ผล แช ๕ ผล
        ฮวงชวนฉันไปดูเขาเล่นลูกช่วงตีตูดกัน เรา ๒ คนนั่งอยู่บนทางรถไฟไม่มีใครกล้ามาตีเราเลย  ยิ่งกิมแชด้วยแล้วไม่มองมาเลย จะเป็นด้วยเกลียดฉันหรือว่า ฮวง ก็ไม่รู้  แต่คนเมื่อชอบกันแล้วมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ  ตอนขากลับ  ฉันขี้เกียจเดินเลยขี่คอเช็งฮวงกลับ  มีคนหัวเราะกันใหญ่
        กลับมาคุยกับฮวงฉันยุฮวงว่า  “  เดือน ๖ นี่ต้องไปขอเขาให้ได้เทียวเขายอมหรือไม่ยอมให้ก็ให้รู้กันไปเสีย จะมาทนทรมานหัวใจอยู่ทำไมเล่า  เขาจะเอาอะไรก็ยอมทั้งสิ้นก็แล้วกัน “  ฮวงว่าจะลองบอก เช็งกิจ (เป็นพี่ชาย เป็นเจ้าของโรงสีไฟเจ็ดเสมียน) ให้ไปพูดดู
  

        ๗ ๑๖. ๑. ๘๑   ร. ๑. ๕. ๓    (วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๘๑) 

         วันนี้เป็นวันงานของ  ขุนบรรกิจฯ  ทำศพพ่อตาของเขาและแม่ของเขาพร้อมกัน  เพลก็เอาศพขึ้นตั้งบนเครื่องตั้งบนศาลา   ครูทวี (เป็นเจ้าของโรงภาพยนต์ และรับฉายหนังในงานต่างๆชื่อว่า ทวีภาพยนต์โพธาราม)  เอาหนังมาฉาย  ๒  คืน ราคา ๗๕ บาท  มีหนังญี่ปุ่นอย่างเดียว
          เย็นฉันไปเที่ยวบ้านแช  ชวนแชไปเที่ยวงาน เก กู๋ (น้า) ของแช บ้านอยู่คลองข่อย (เป็นตำบลหนึ่ง อยู่เลยวัดตึกไปทางเหนือ)  ก็มา  ฉันเลยประจบคุยกับแกประเดี๋ยวเดียวก็กลับ
          ฮวงบอกฉันให้นุ่งกางเกงแพรดอกไป   ฉันไม่มีจึงไปขอยืมเฮียต้อ  คืนนี้สนุกดีเหลือเกิน ฉัน (นายหิรัญ)  ฮวง เก เดินตาม แช ฮวย ชู เอ็ง ฮุ่ย จวน เดินไปก็คุยกันไปเรื่อย  มิใยที่คนมาเที่ยวงานจะมอง มีคนว่า  อบิสสิเนีย (นางสาวฟอง)   ก็มาเหมือนกัน แต่ฉันไม่เห็น พวกเราไปดูจำอวดกัน เล่นที่โรงเรียนตรงที่โรงเรียนเคยเล่นละคร  จำอวดพวกนี้มาช่วย ขุนบรรฯ    เป็นคนขับแท๊กซี่บ้างนักเรียนสอบตกบ้าง ทหารบ้าง และยังมีนางสาวนวลฉวีมาร้องเพลงสากลอีกด้วย ยิ่งเพิ่มความสนุกขึ้นมาก
         ตอนจะเลิกพวกเราไปกินน้ำแข็งกัน  แล้วกินก๋วยเตี๋ยวผัด  เหตุการณ์ในคืนวันนี้  พวกบ้านนอกคงจะว่ากันใหญ่ทีเดียวที่ฉันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวบ้านนอก  (คนที่เจ็ดเสมียนปัจจุบันนี้ก็จะทราบกันดีว่าตรงไหนคือบ้านนอก) และมาเดินกับสาวๆเช่นนี้อีก  แต่เมื่อเขาว่าก็ว่าไป  รอขาหายดีแล้วไปง้อสักหน่อยก็คงจะคืนดีหรอก

                                                                               นายเช็งฮวง (กลาง)
  

           ๑  ๑๗. ๑.๘๑    ร.  ๒.๕.๓  (วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๘๑)

          กิ๋มหน่าย (มารดาของกิมฮวยและ ชูสองพี่น้อง)  ดุเหลือเกินและด่าเจ็บๆด้วย   ฉันไปเที่ยวบ้านแก  เห็นแกกำลังด่าฮวยและชูอยู่ทีเดียว  เรื่องซื้อผ้าห่มสปอร์ตมาใช้  ผืนละ  ๗๐  สตางค์    กิ๋มหน่ายด่าว่าซื้อไม่ได้หยุด  เดี๋ยวซื้อนั่นซื้อนี่   ผ้านุ่งผ้าห่มออกเต็มบ้านเต็มช่อง  ทำคนเดียวใช้ตั้งหลายคนเช่นนี้ทำใช้ไม่ไหว   และแกให้เอาไปคืนเขาทั้ง  ๒  คน  ถ้าไม่คืนเขาแล้วแกไม่ให้เข้าบ้าน  แกคว้ารองเท้าแตะได้วิ่งจะไปตบฮวยๆวิ่งหนีไปได้   แกก็หันเข้ามาเอามือตบชู   เข้ากกหูฉาดใหญ่   ชูวิ่งเข้าหลังบ้านร้องไห้ซิกๆ  ฉันเห็นแล้วอกสั่นขวัญหายด้วยไม่เคยเห็นอย่างนี้  มาวันนี้ฉันเห็นเข้า อกใจฉันไม่อยู่กับตัวเลย
          

         พระพิรุณไม่กรุณาแก่พวกเที่ยวงาน  พอเย็นเท่านั้นก็เทลงมากันใหญ่  ทำเอาพื้นดินแฉะเป็นโคลนไปตามๆกัน  ฉันเลยขี้เกียจเที่ยว  รับอาสาเฝ้าบ้านให้น้ายา  ให้แกไปเที่ยวบ้าง  ฮวงไปเที่ยวเดี๋ยวกลับมาบอกว่า แช ไม่ได้ไป  ให้ฉันไปเรียกที่บ้านเวลานั้น ๓  ทุ่มกว่าด้วยอารามรักเพื่อนก็เอาไฟฟ้าเดินทางและมีดถือติดตัวไปด้วย   ไปถึงเห็นหน้าบ้าน แช มืดและเงียบหมด  ฉันเข้าใจว่าคงจะนอนกันหมดแล้ว  จึงกลับมาบอก ฮวงๆรู้เรื่องก็หมดมานะที่จะไปเที่ยวเหมือนกัน  เลยว่าจะไปนอนแหละ  พรุ่งนี้วันนัดด้วยฉันก็ไม่เที่ยวเหมือนกัน  เพราะเที่ยวคนเดียวก็ไม่สนุก  ซ้ำยังขาดหวานตาของฉันและหวานใจของเพื่อนแล้ว  เลยเฝ้าบ้านให้น้ายาจนตีหนึ่ง  น้ายากลับ  ฉันก็เดินรอบเดียว  ขึ้นนอนในห้องที่วัด
  

          ๒  ๑๘. ๑. ๘๑    ร. ๓. ๕. ๓    (วันจันทร์ที่  ๑๘  เมษายน ๒๔๘๑)

          ฉันให้น้ายาไปเก็บใบยาให้ฉัน  แล้วฉันไปเที่ยวบ้านแช  กลับมาน้ายาฉิว (โกรธ) ฉันว่าฉันว่าเที่ยวมากเกินไปแล้ว   ฉันจึงประจบพูดดีๆแกก็ดี น้ายาคนนี้แกเอาใจช่วยเหลือฉันจริงๆ  อุตส่าห์หายาให้ดูแผลให้ว่าแผลจะเป็นอย่างไร กินข้าวบ้านแกก็หลายหนฉันนับถือน้ำใจแกว่าดีจริง เมื่อฉันป่วยถ้าไม่ได้แกช่วยเหลือฉันก็แย่  บุญคุณของแกฉันจะลืมเสียมิได้
           เย็นฝนตกใหญ่ฉันมาตำยาบ้านน้ายา  ฉันก็ออเซาะเพื่อให้แกหายโกรธเท่านั้นเอง  ตำยาเสร็จฝนยังไม่หาย  ฉันต้องฝ่าฝนมานอนวัดไม่กล้านอนบ้านแกกลัวคนจะนินทาเอา  ฉันขี้ประจบอย่างนี้เอง  กิมแช จึงว่าฉันว่าขี้ประจบ  กินข้าวบ้านโน้นกินขนมบ้านนี้  ใครมีขนมอะไรประจบๆเดี๋ยวก็ได้กินไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ได้มาเดือนๆก็เก็บเงินไว้ให้ผุ แชมักจะว่าฉันเสมอ  แต่นั่นฉันแสดงความไม่ถือตัวของฉันให้เห็นหรอก  ถ้าเขาเรียกแล้วไม่กินเขาก็ว่าจองหอง ฉันประจบหรอกแต่ฉันไม่สอพลอ  คือประจบให้เขารักฉันเท่านั้น  ฉันไม่ได้ไปยุข้างโน้นแหย่ข้างนี้ให้เขาเกิดเรื่องกัน  หรือคอยหาเรื่องให้เขาทะเลาะกันก็หามิได้  เพราะฉันถือภาษิตที่ว่า  “  จงประจบเถิด  แต่อย่าสอพลอ  “
  

         ๓    ๑๙. ๑.๘๑   ร.  ๔. ๕. ๓      (วันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๘๑)

          ฉันขึ้นรถเช้า (จากเจ็ดเสมียน) มาบ้านที่โพธารามอยู่ก็เฉยๆไม่มีเรื่องอะไร  แผลก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากแต่ยังไม่หายบวม  ว่างๆก็เดินเที่ยวตลาดเสียทีหนึ่ง  แล้วก็กลับ พวกป้าเขียวมาซื้อของสำหรับบวชนาคนายฟื้น ฉันพบก็ทักเขาไปตามเรื่องเพราะกลัวเขาจะว่าจองหอง  มาถึงบ้านแล้วไม่ยอมเรียกเข้าบ้าน
  

       ๕    ๒๑. ๑. ๘๑    ร.  ๖. ๕.  ๓     (วันพฤหัส ที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๘๑)

       กู๋ (น้องชายของแม่ผู้บันทึกเรื่องนี้) มาแต่หนองปลาหมอ  (จากโพธารามไปตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จนปัจจุบันนี้) เอาเงินมาใช้หนี้เขาทางนี้  ๒๐๐  บาท  เมื่อก่อนแกก็พอมีอันจะกินหรอก แต่มาเดี๋ยวนี้แกทั้งกินทั้งเล่น ยุบยับไปมากแล้ว นี่ต้องขายฝากนาเขาไว้ทางหนองปลาหมอ เอาเงินมาใช้หนี้เขา  กิ๋มเล็น (ภรรยาของกู๋)   เฝ้าแต่บ่นว่าแกก็มิฟัง  บางครั้งก็ทะเลาะกันก็มี
       กู๋แกเล่าเรื่องนาย เลี้ยง (บุตรชายคนโตของกู๋)  ว่า   “  ลูกมันน่ารักเกือบคว่ำได้แล้ว  แต่เกลียดเมียมัน ธรรมดาเมียแก่ผัวหนุ่มเช่นนี้ เมียก็ต้องปรนนิบัติผัวแต่นี่ผัวต้องทำทั้งนั้น  หุงข้าวต้มแกงส่วนตัวมันนอนกกลูกสบาย “  เออ..! แปลกจริงเป็นเราก็แย่นะซิหน้าที่แม่บ้านเป็นของผู้หญิง  แต่ตัวไม่ทำก็นับว่าขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่งแล้ว ขออย่าให้ได้พบได้ปะเลย  เจ้าประคุณ
 

          ๗     ๒๓. ๑. ๘๑     ร. ๘. ๕. ๓    (วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๔๘๑ วันประเพณีแห่ดอกไม้ของตำบลเจ็ดเสมียน)
                  

         ฉันโดยสารรถดีเซลไปเจ็ดเสมียนแล้วไปที่โรงสี เช็งฮวง เรียกไปแล้วพูดว่า  “ วันนี้ลื้อต้องทำหน้าที่ให้อั๊วอย่างหนึ่งและมันสำคัญด้วย “ ฉันร้อนใจจึงเร่งให้พูดมาโดยเร็ว เช็งฮวงก็เล่าให้ฉันฟังว่า
        “  เมื่อวานนี้ยาย อยู่ ใช้นายเฮ็งมาเรียกอั๊ว กับเฮียเบี้ยวไปบ้านแกๆเล่าว่า เมื่อ  ๒ - ๓  วันนี้มีเพื่อนหลานชายแกมาแต่ ลูกแก (ตลาดลูกแกที่บ้านโป่ง)  เป็นแคะ (จีนแคะ) ไร่ยามาพูดว่า  เมื่อนัดที่แล้วมันไปซื้อของ กิมแชตั้งหลายอย่าง  มันเห็นสวยดีมันก็ใช้วิธีนักเลง คือให้ สินบนทั้งหมดรวมกันแล้ว  ๑๐๐ บาท  คือยายอยู่  ๔๐  บาท  แล้วคนอื่นอีก ๒ คนๆละ  ๓๐ บาท ให้หาวิธีหลอกกิมแชออกจากบ้าน เพียงแค่พ้นหน้าบ้านเท่านั้นแหละ แล้วพวกมันก็จะฉุดเอาให้ได้ หรือพบที่ไหนก็จะเอาให้ได้ ส่วนยายอยู่ได้ฟังก็ตัวสั่น จะพูดปัดก็กลัวมันจึงพูดเลี่ยงว่า คนนั้นเขามีคนมาหมั้นแล้ว เอาคนที่ตัวเปล่ามิดีหรือและเขาก็เป็นหลานของฉันด้วย  มันจะให้ยายอยู่สบถสาบาน  อั๊วรู้เรื่องแล้วอัดอั้นตันใจไปหมด และแกยังให้อั๊วระวังตัวให้ดี ตั้งแต่วานนี้แล้วกินข้าวไม่ลงเลย  อยากจะให้ลื้อไปฟังความดูทีจะจริงหรือไม่ “
  

         ฉันรู้เรื่องแล้วก็ตะลึงไปเหมือนกัน จึงรับว่าจะไปถามดูเพราะฉันเข้าออกบ้านกิมแชได้สนิท จึงให้เฮียเบี้ยวสอนวิธีการถามและการพูดให้ แล้วฉันก็ไปในทันทีนั้นเลย
  

          ที่บ้านแชไม่มีใครอยู่เลย ฉันจึงได้โอกาสคุยกับแชอย่างสะดวก  แชเล่าให้ฟังว่า  “ เมื่อแรม ๔ ค่ำนั้น ยายอยู่พาคนผู้ชายคนหนึ่งมาบ้านนังฮวยว่าจะมาดูตัว  พวกมันมากันตั้ง  ๖  คนมีปืน ๕ กระบอก แต่ว่ามันเข้ามาคนเดียวเท่านั้น  นังฮวย มันนอนอยู่ข้างนอกพอเห็นคนมาก็หลบเข้าหลังบ้านเสีย  ยายหน่ายว่าช้าๆไปก่อนจำเพาะเป็นเวรของฉันด้วย  ฉันไม่รู้เรื่องอะไรก็เอากะละมังเสื้อผ้าไปซัก  มันเห็นฉันมันก็ชี้ตัวบอกว่า “ คนนี้ต่างหากไม่ใช่คนนั้น “  ฉันใจไม่ดีเทียวเพราะมันให้ยายอยู่พามาบ้านฉัน  แต่ยายอยู่ดันพาไปบ้านฮวยบอกว่าเป็นบ้านนั้น   แล้วมันยังว่าถ้าเจอะที่ไหนมันจะเอาที่นั่น และไม่ว่าเวลาใด   ตั้งแต่รู้เรื่องมาแล้วกินข้าวไม่ลงเลย   และไม่ได้ไปข้างไหนอาบน้ำก็อาบบนบ้าน   แทบจะไม่อยากอยู่เป็นคนแล้ว   ถ้ามันจะให้ฉันไปฉันยอมตายเสียดีกว่า “  กิมแชว่า
 

      ฉันก็ว่า  “  ไม่เป็นไรหรอกน่าอย่าเพิ่งตายเลย  มันคงไม่กล้าหาญจนอย่างนั้นหรอก  แชตายไปแล้วมิใช่จะตายคนเดียวเมื่อไร ยังจะมีคนเสียใจตายตามไปอีกหลายคนนะ นั่นแหละถึงว่าอยากเกิดมาเป็นคนสวย ถึงต้องลำบากมากอย่างนี้แหละ “  แชก็ว่า  “  ฉันนึกว่าฉันนี้เป็นคนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ ที่สุดในตำบลเจ็ดเสมียนเทียวนา “   ฉันว่า   “ จริงซิ  เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่  ถ้าฉันเป็นผู้หญิงละก็คงจะอิจฉาแชวันละ  ๕ - ๖  ครั้งทีเดียว  “
        คุยกันสักประเดี๋ยวนังฮวยก็มาขัดคอเทียว เดี๋ยวนี้ฮวยกับแชดีกันแล้วแชว่าฮวยมาง้อเสมอจะไม่พูดกับมันก็ไม่ดี มีฮวยมาขัดคอฉันเลยกลับไปนำความไปบอกเช็งฮวงทุกประการ
        คนร้ายมันยังไม่ไปไกลตอนบ่ายมันมาโรงสี มาแลดูเฮียเบี้ยวและเช็งฮวงด้วยสายตาอันอาฆาต แล้วลงเรือพายไปขึ้นที่ท่าบ้านกำนันเหนือวัดใหม่
 

         ๑๕.๐๐  นาฬิกากว่า ๆ   พวกแห่ดอกไม้ก็มาถึงวัด   เป็นธรรมเนียมของวัดเจ็ดเสมียน   ขนทรายแล้วก็มีการแห่ดอกไม้มาที่พระทราย   พอรุ่งขึ้นก็ฉลองพระทราย   แล้วก็สรงน้ำพระ  ก็เสร็จพิธีตรุษสงกรานต์   แห่ดอกไม้วันนี้สนุกมาก   มีการแต่งแฟนซีผู้หญิงแต่งเป็นผู้ชาย   และผู้ชายแต่งเป็นผู้หญิง   มีสิงห์โต  มีระบำ  มีงิ้ว  มีรำกันเป็นหมู่ ๆ  ต่างคนมีการขอสตางค์ที่ตลาด   คนประมาณ  ๒๐๐  คน   สนุกสนานเฮฮาไปตามประสาคนเมา   แล้วพวกเขาก็ไปฟังพระสวดมนต์ที่พระทรายเมื่อเสร็จก็กลับบ้าน
 

          ๑   ๒๔.๑.๘๑   ร   ๙.๕.๓ (วันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๘๑) 

          เวลาเช้าเขามาทำบุญกันบ่ายก็สรงน้ำพระสาดน้ำกันสนุก ฉันนั่งอยู่บนบ้านน้ายาทนไม่ไหวก็ขี่รถไปเที่ยวโรงสีพวกพี่ผ่อง   สง่า   ชู   ฮวย   ยังตามไปสาดน้ำฉันเปียกหมดจนได้
 

         ๒   ๒๕.๑.๘๑   ร   ๑๐.๕.๓  (วันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๘๑)

         พวกบ้านนอก (คือหมู่บ้านที่ข้ามทางรถไฟไป ปัจจุบันนี้เป็นหมู่ ๒)  เขาบอกงานบวชนาคนายฟื้นลูกลุงสิน ป้าเขียว และบวชนายทิว ฉันไปไม่ไหวเพระแผลที่เท้ากำเริบขึ้นอีก โดยแผลเก่าหายแล้วแต่หนองยังออกไม่หมดมันจึงกลัดหนองและบวมขึ้นอีก จึงได้แต่ฝากสตางค์ไปช่วยเขา   และขอยาสารพัดพิษมาอีก ขึ้นรถบ่ายกลับไปบ้านที่โพธาราม กลางคืนมีงิ้วที่กลางหาดทราย   ฉันไม่ไปดูเพราะเจ็บขา
 

        ๔   ๒๗.๑.๘๑   ร   ๑๒.๕.๓  (วันพุธที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๘๑) 

         น้ายาบอกว่าจะเอายามาให้แล้วทำไมไม่เห็นมา เหตุนี้ทำให้ฉันกลุ้มใจมากนั่งนอนไม่เป็นสุข ใจนึกว่ารถค่ำนี้จะลงไปเอายาให้ได้ แต่พอรถบ่ายเลยสักประเดี๋ยว น้ายาหาบกระบุงมาทางหน้าบ้านแล้วเอาขวดเปล่ามาส่งเขาและจะมาซื้อเหล้าอีก แกเอายามาให้ห่อหนึ่งซึ่งฉันขอบใจมากเห็นหน้าน้ายาเข้าใจค่อยดีขึ้นอีก ฉันเลยให้แกกินข้าวบ้านฉันแกกลับรถค่ำ
 น้ายาแกเป็นหม้ายมา ๖ ปีกว่าแล้วอายุแกได้  ๓๙ ปี ดูก็ไม่ใคร่แก่เท่าไรน้ำใจแกดีหาที่เปรียบยาก   ฉันรักน้ำใจแกมากแต่ไม่นึกว่าฉันจะรักแกในทางชู้สาว จะเป็นไปได้หรือหนุ่มทั้งแท่งคนอื่นเขามิหัวเราะเยาะหรือ แม่แกถึงกับว่า “ มึงอย่าทำไปนะกูไม่ยอมหรอก “  นอกจากจะนับถือแกเป็นน้าคนหนึ่งแล้วนอกนั้นใจจะคิดเป็นอื่นไม่มี แกมาเที่ยวบ้านฉันเช่นนี้  ใจฉันดีใจจนบอกไม่ถูกคุยกับแกก็สนุกดี แต่มาหวนคิดถึงทิดเลี้ยงลูกผู้น้อง (อยู่ที่หนองปลาหมอ) ที่ได้น้ายวงอายุ   ๔๒  ปี แล้วใจคอหดเหี่ยวเทียว
 

          ๗   ๓๐.๑.๘๑   ข   ๑.๖.๓   (วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๘๑) 

          แผลค่อยหายเป็นลำดับไปเดินเหินคล่องดีแล้ว   แต่เส้นที่เท้ายังไม่หายตึงวันนี้นัดกับครูสันต์ไว้ด้วยว่าจะลงไป จ.ม (เจ็ดเสมียน) เขียนบัญชีเพราะว่า ร.ร พรุ่งนี้ก็จะเปิดเทอมแล้ว   ฉะนั้นจึงบอกแม่ว่าจะไป  จ.ม  แม่ก็กำชับว่าอย่าให้เดินมากนักมันจะบวมขึ้นอีก ใครจะมารักลูกเกินแม่เห็นจะไม่มีอีกแล้ว แต่ลูกน่ะไม่ใคร่จะรู้จักบุญคุณของแม่เลย   และมักจะทำให้พ่อแม่ช้ำใจเสมอ   ฉันรับรองได้ว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอันขาด
 

         ซื้อฝรั่งดองมาฝากน้ายา เจ้จ่าง ฮวยและแช  คนละ  ๕  สตางค์ มาถึงบ้านจ่าง มณี บอกว่าน้าจ่างไปบ้านนอกแล้ว   ฉันถามว่าเมื่อไรจะมามณีบอกว่าไม่มาหรอกเขาทะเลาะกับพ่อ   ฉันไม่รู้ต้นสายปลายเหตุนึกว่าพูดเล่นจึงเข้าไปถามยาย ๆ บอกว่า “ เขาไปตั้งแต่วานซืนแล้วเรื่องมันยังนี้คือ  พวกผู้แทนเขามากันกวยมันบอกให้จ่างทำกับข้าว เขาก็นั่งเย็บจักร์อยู่พูดว่ามีสมบัติอะไรเล่า  กวยว่าไข่ก็มีปลาก็มีจ่างว่ามีก็ไปทำเถอะ แล้วเขาก็ลุกไปและมาบอกกับข้าว่า   จะไปบ้านนอกผัวเขาไล่ส่งข้าไม่เห็นเขาพูดว่ายังไงเลย “  แปลกแท้ผู้หญิงนี่งอนเสมอ   แต่เจ้จ่างไม่ควรทำอย่างนี้ลูกหรือก็มีแล้ว  พูดกันคำ  ๒  คำหนักหน่อยเบานิดก็ควรต้องอดไว้   ไม่ควรจะมาห่อผ้าลงเรือนไปก่อน  ถ้าไปเลยมันก็ดีหรอกถ้ากลับมาอีกจะอายเขานะซี
 

       ฉันเอาฝรั่งไปให้แชไม่มีคนใหญ่อยู่จึงคุยกับแช   คุยไปคุยมาฉันก็คุยวกเข้ามาเรื่องฮวง   แชว่า  “ ชาตินี้ฉันเห็นถ้าจะไม่ได้ไปอยู่คลองข่อย  (เป็นตำบลหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองเลยวัดตึกไปทางเหนือไม่ไกลนัก)  เสียแล้ว   ถึงคนใหญ่เขาตกลงกันก็ช่างเขาเถิดกลัวว่าไม่ถึง ๓ วันน้ำตาต้องเช็ดหัวเข่า “  แชทำไม่จึงไม่รักฮวงหนอ ฮวงรักแชจนหลงอย่างนี้แชน่าจะมีไมตรีตอบบ้าง ชั้นชั่วก็เปิดโอกาสให้ได้คุยกันบ้างนี่ไม่ได้เลย ถ้าฉันเป็นฮวงคงจะกลุ้มใจตายเป็นแน่
 

          ๑   ๑.๒.๘๑   ข   ๒.๖.๓   (วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๑) 

          โรงเรียนเปิดเทอมแล้วนักเรียนมาเรียนกันไม่ถึงครึ่ง บ้านเจ้สายเขาทำงานศพแม่เขา   เริ่มวันนี้เขาไม่ได้บอกฉัน ๆเลยไม่ได้ไปช่วยเขา เจ้เสงี่ยมต่อว่าฉันว่า  “ แหมไม่โผล่เลยเทียวนะงานตัวเสร็จละก็ลืมเทียว ทีหลังยังจะต้องมีงานอีกหรอกจะไม่มาช่วยกันบ้างเทียวหรือ “  ฉันก็เลยแก้ตัวไปต่าง ๆ

          ๒   ๒.๒.๘๑   ข   ๓.๖.๓  (วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๑)

         เช้านี้เด็กนักเรียนทำการไหว้ครูกัน เลิกเรียนแล้วฉันเอาหนังสือ  “ ตำราหมอดู “   ของฉันเล่มหนึ่งไปให้ฮวย ชูกับฮวยเร่งให้ฉันดูให้เขา  ฉันก็ถาม วันเดือนปี  ทราบว่าฮวยเกิดวันพุธเดือน ๑๑  ปีวอก ชูเกิดวันเสาร์เดือน ๑๑ ปีจอ  ฉันก็อ่านไปตามหนังสือนั่นส่วนแชนั้นฉันรู้แล้วว่าเกิดวันอังคาร เดือน ๗ ปีวอก
         ฉันไปคุยกับแชอีก การคุยก็คุยกันแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง หันไปหันมาก็วกเข้าหาเรื่องฮวง   แชมักปฏิเสธเสมอฉันเหนื่อยใจเหลือเกิน  ง้อก็แล้วอ้อนวอนอีกก็ไม่เห็นคล้อยด้วย ลำบากคนไม่รักกันอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังรักกันอยู่ได้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่รัก เฮ้อ
 

         ๓   ๓.๒.๘๑   ข   ๔.๖.๓  (อังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๑) 

        นายสนั่น  โพธิ์อ๊ะ   แจกบัตรแต่งงานให้ครูกวย  ๑  ใบ   บอกว่าพรุ่งนี้จะแต่งงานกับนางสาววิภา คนสงขลา เฮียต้อเล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อสนั่นเขาไปเรียนที่สงขลานั้นไปชอบกับผู้หญิงคนนี้เข้า ทำการติดต่ออยู่เรื่อยแต่พอสนั่นย้ายกลับบ้าน  การติดต่อก็เงียบหายไปประมาณ  ๒  ปี   เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคนมาขอทางฝ่ายผู้หญิงพ่อแม่เขาก็ตกลงแล้วแต่ตัวผู้หญิงเขาไม่ยอม   ก็เลยขึ้นรถมาตามนายสนั่นๆก็รับรองดี  เลยกำหนดวันแต่งงานกันเลยทีเดียว “
         นี่ซิผู้หญิงใจเด็ดรักแล้วต้องทำตามหน้าที่รัก ถึงจะจากกันตั้ง ๒ ปีแต่ใจยังรักอยู่ก็ไม่ทิ้งความสัจที่ให้ไว้ต่อกัน สู้อุตส่าห์ขึ้นรถมาตามทีส่วนเราสิ พยายามอ้อนวอนของ้อออกแทบเป็นแทบตาย   มันก็ยังไม่เห็นรักสักทีเช่นคู่  ฮวง -  แช เป็นต้น  ฉันจะขออธิฐานไว้เกิดชาติใดแสนใด   ก็ขอให้มีโชคเหมือนนายสนั่น   อย่าให้มีโชคเหมือนเช็งฮวงเลย   จะกลุ้มใจอกแตกตาย
         เย็นขี่รถกลับไปบ้านแม่ซื้อจากไว้  ๒๐๐๐  แล้วราคา  ๑๔  บาท ค่าจ้างหาบอีก  ๑  บาทเป็น ๑๕ บาท แม่ว่ามุงเสียเร็วๆนี่แหละดีพรุ่งนี้วันพุธ เป็นวันธงชัยจ้างเขา ๗ คน ๆ ละ ๔๐  สตางค์ต่อวันฉันเชื่อแน่ว่าวันเดียวคงเสร็จ

          ๔   ๔.๒.๘๑   ข   ๕.๖.๓  (พุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๘๑) 

          ฉันไม่กล้าถีบจักรยานมาอีก   เพราะเมื่อวานถีบมาขาชักบวมขึ้น   จึงโดยสารเรือเที่ยวเช้ามา ซิ้มติ้ว (แม่ของกิมแช) ปวดศรีษะ ฉันไปเยี่ยมคุยกันดี แกว่าแกจะปลูกยุ้งข้าวใหม่ราว ๆ ๔๐๐  บาท   เพราะยุ้งเก่าเสาขาดหมดแล้ว  เวลาลมพัดมาน่ากลัวมันจะล้มถ้าล้มลงละก็แย่เทียว
          จริงซีคนรวยจะทำอะไรก็ทำได้ ๔๐๐– ๕๐๐ จะเป็นไรไป เขาต้องการอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง  เพราะเงินนี่หนาพระเจ้าของคนจนก็คือเงิน   คนเราจะงามเป็นที่ต้องตาคนก็เพราะเงิน คนมีเงินด่าคนก็ยังมีคนชมว่าดี  คนรวยถูกสุนัขกัดก็ยังมีคนไปเยี่ยมมากกว่าคนจนตายสัก  ๑๐  คน   เงิน  เงิน  อย่าคิดเดี๋ยวเป็นบ้า
          เย็น ๆ กินข้าวแล้วฉันเห็นสาวๆพวก  อุดม  บุญสม  สละ  ทองใบ  ลงอาบน้ำที่ท่าใหญ่พวกฉัน  เฮียเบี้ยว  ฮวง  เจาะ  เฮง ก็ลงเรือพายเอาแจวทำเป็นพาย ๆไป พอถึงพวกนั้นก็ทำท่าจะไปรับมันก็หนีกัน ทีหลังทองใบกับพวกเลยทำเรือฉันล่มฉันก็กู้เรือแล้วก็พายเล่นอีก  รู้สึกว่าสนุกเหลือเกิน
          ที่ศาลเจ้าพ่อไกรษีฝั่งโน้นมีงานปี   มีลิเกมีคนไปเที่ยวกันมาก ๒ ทุ่มครึ่ง ฉัน เฮียเบี้ยว  และเฮียเจาะก็ลงเรือว่าจะพายไปเที่ยวกัน  พายไปได้สักหน่อยลมก็พัดลงใหญ่ท้องฟ้ามืดครึ้ม   ฟ้าครางอย่างน่ากลัวเฮียเจาะถือท้ายพายไม่ขึ้น  ถ่อก็ไม่ขึ้นซ้ำถูกลมพัดล่องด้วยแกก็ยิ่งออกแรงใหญ่  ฉันนั่งอยู่กลางเรือหัวเราะเสียจนท้องแข็ง  พอเกือบจะถึงโรงลิเกฝนเจ้ากรรมก็ลงเม็ดลงมา  ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยล่องเรือกลับมาถึงโรงสีพอดีฝนตกใหญ่

           ๗   ๗.๒.๘๑   ข   ๘.๖.๓ (เสาร์ ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๑) 

         เช้าฉันไปโพธาราม   ฮวยไปรถบ่ายเจอะเฮียเบี้ยวด้วยเลยชวนไปคุยที่บ้านฉัน (บ้านที่โพธาราม)   ฮวยคนนี้กล้าหาญมากไม่ว่าที่ใดพูดจาอย่างไม่เกลงกลัวคน   คุยไปคุยมาฉันถามว่าเมื่อก่อนติดต่อกับฮวงจริงไหม ฮวยบอกว่าจริงและว่า  “ เมื่อแต่ก่อนฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นคนใจหมา นึกว่ามันเป็นคนใจมันคงจะเป็นคน ถ้ารู้ว่ามันเป็นสองใจอย่างนี้แล้วจะไม่พูดกับมันให้เสียปากเลย มีจดหมายถึงฉันฉบับใด เป็นต้องเขียนขึ้นต้นว่า เธอที่รักของฉันคนเดียว แล้วมันยังว่าถ้าบวชแล้วเดือนยี่หรือ เดือน ๔  เป็นต้องรู้เรื่องดูซิแล้วมันยังมาเป็นยังงี้ได้  ส่วนฉันน่ะใจเดียวหรอกแต่มันหลายใจ   เวลานี้ถึงฉันจะยิ้มจะหัวเราะอะไรก็ทำอย่างหน้าชื่นอกตรมหรอก “ 
          ไม่จริงละกระมังแม่คนดี  ฉันเห็นก็ยังไปคุยกันเรื่อยๆความจริงฉันสังเกตดูฮวยมีทั้งรักทั้งแค้นพูดแล้วก็ทำท่าเสียใจ ฮวงเอ๋ยคนรักเอ็งๆ กลับไม่เอาจะไปเอาคนที่ไม่รัก แล้วก็กลุ้มแปลกนะคนเรานี่หนอ   
 

          ๑   ๘. ๒. ๘๑   ข.  ๙.๖.๓ (อาทิตย์  ๘  พฤษภาคม ๒๔๘๑) 

          ตอนเย็นคณะสาวๆ จ.ม.ถ่ายรูปหมู่ ๑๐ คนมี แช ฮวย  ชู  ทุเรียน อุดม ทองใบ  ลับ  เอ็ง   บุญสม  สละ   และแชกับบุญสมถ่ายคู่กัน จำพวกที่ถ่ายรูปกันนี้ฉันเห็นแชออกจะมีภาษีกว่าเพื่อน ส่วนเฮียเบี้ยวเขาว่าอุดมสวย  ต่างคนก็ต่างใจกันนะ  ฉัน ฮวง และ เฮียเบี้ยว  พอค่ำลงก็ไปเที่ยวบ้าน ฮวย แต่ความตั้งใจพวกเราจะไปเที่ยวบ้าน  แช  ดอกแต่พอไปถึงบ้าน  ฮวย   บ้านแชเขาก็ปิดมืดหมดตกลงเลยคุยกับ กิ๋มหน่าย และ  ฮวย  ชู   สนุกกันไปเรื่อย  ๒   ทุ่มกว่าจึงได้กลับ
 

          ๒  ๙.๒. ๘๑   ข. ๑๐. ๖. ๓   (จันทร์ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๑)

         ฉันขี่รถไปโพธาราม  กิมแชลูกกู๋หนู (อยู่หนองปลาหมอ คนละคนกับคนที่เจ็ดเสมียน มีศักดิ์เป็นน้องสาวของนายหิรัญ เพราะเป็นลูกของอา) มาแต่บ้านโป่งจะมาให้หมอตรวจร่างกายสำหรับเตรียมเข้าสอบคัดเลือกชิงเงินเดือนครูที่ อำเภอบ้านโป่ง
         แชคนนี้ปีกุนแต่สูงกว่าซึงอีก (ซึงคือน้องสาวจริงๆของนายหิรัญ มีสองคนพี่น้องเท่านั้น)  หัวเราะเก่งเรียนจบชั้น ม. ๔  แล้วก็สมัครครูที่อำเภอบ้านโป่ง ผิวดำ หน้าตาพอปานกลาง แต่ชักจะว่าคนเก่งถ้านานๆพบกันทีละก็ดี แต่ถ้านานๆเข้าก็มักจะทะเลาะกันเก่ง  เพราะแต่ก่อนนี้เคยโกรธกับซึงบ่อยๆ   มาคราวนี้ก็ดีคุยกันดีว่าจะกลับรถบ่ายพรุ่งนี้
          พลบค่ำฝนยังไม่หายตกฉันเลยไปบ้านครูสนิท เรื่องสนิทขอยืมเงินไปหาเมียใหม่ ฉันไม่มีแต่เพราะเห็นแก่เพื่อนจึงไปขอยืมอาจารย์ รึม ๑๐ บาทให้ไป (อาจารย์ รึม ผู้นี้เป็นคนเขมร แต่มาบวชเป็นพระที่วัดเจ็ดเสมียนมานานแล้ว บทที่พูดถึงพระรึมนี้ จะเอาไว้ลงในภายหลัง)
          ครูสนิทแกเป็นคนเจ้าชู้ และผู้หญิงก็ชอบแกมาก ผลที่ได้เมียใหม่ทั้งๆเมียเก่ายังท้องโตอยู่ก็คือ  ผู้หญิงที่วัดคงคารักแกอยู่คนหนึ่ง  เมื่อวันสงกรานต์แกไปเที่ยววัดคงคา  มีท่าสบโอกาสแกเลยกอดผู้หญิงคนนั้น  พ่อแม่เขาเห็นเข้าเขาก็โกรธจึงเลยบังคับให้ครูสนิทรับหญิงคนนั้นเป็นเมียเลย  ครูสนิทจะบิดพลิ้วก็ไม่ยอมเพราะหญิงคนนั้นเป็นหลานครูใหญ่  ถ้าบิดพลิ้วก็คงอยู่ที่นั่นไม่ได้  ครั้งแรกเขาจะเอา  ๑๐๐  บาทครูสนิทว่าไม่มีตกลงกัน ๔๐ บาท ต้องวิ่งหาเงินวุ่น  สวิง (เป็นพี่น้องกับครูสนิท)  ทีแรกก็ว่าจะให้ยืม  ๑๐  บาทมาทีหลังกลับว่าไม่มี  สนิทเลยได้เงิน  ๒๐ บาทเอาไปให้เขาก่อนและผลัดไว้อีก 
           นี่แหละหนา  เขาว่าถ้าจนละก็อย่าแบกหน้าไปหาพี่น้องเลยเทียว  เพราะพี่น้องจะช่วยเราไม่ได้หรอก  สู้พรรคพวกเพื่อนฝูงไม่ได้สนิทกับสวิงก็พี่น้องกันสนิท  และสวิงก็ไม่ใช่คนจนยังช่วยไม่ได้  เราเป็นคนอื่นแท้ๆยังสงเคราะห์กันได้   เพราะพี่น้องก็พี่น้องแต่ตัวส่วนเงินทองไม่ใช่พี่น้อง  “  มีเงินเป็นน้อง  มีทองเป็นพี่  ยากเงินจนทองพี่น้องไม่มี  “  

          ๕    ๑๒.๒.๘๑   ข.  ๑๓.๖.๓  (พฤหัสบดี  ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๘๑)

          ครูกวยไปเป็นพยานศาลที่ราชบุรี   ฉันอยู่กับครูสัน  ๒  คน  ว่าจะกลับรถบ่ายก็ไม่เห็นกลับ   ดูแกไม่เห็นห่วงอะไรเลยฉันละก็เป็นห่วงมากที่สุด  เช่นเย็นไปโพธารามรุ่งเช้าก็ต้องมาแต่เช้ามืด  มาสายกลัวจะไม่ทันโรงเรียน  จะทำอะไรก็เป็นห่วงการสอนอย่างที่สุด  ไม่อยากขาดโรงเรียนสักวัน   พอบ่ายจึงเลยบอกนักเรียนไปว่าหยุดโรงเรียน  ๒  วัน   ๑๔   -   ๑๕  แรมค่ำ ๑   เพราะเป็นวันวิสาขะบูชา  เป็นวันที่พระพุทธเจ้า  ประสูติ   ตรัสรู้   นิพพาน   ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๖  ที่ทำการของรัฐบาลต้องหยุดทำการทั่วประเทศสยาม (ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศไทย)  เย็นฉันไปโพธารามซิ๊มติ้วฝากไปซื้อหมู และคนอื่นก็ฝากไปอีก
 

        ๖     ๑๓.๒.๘๑   ข.  ๑๔.๖.๓  (ศุกร์ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๘๑)  

        เช้าฉันก็ไปซื้อของแม่บอกว่าให้ฉันไปอย่าให้ถึงเย็นเพราะหมูจะมีกลิ่น  เอาไปเร็วจะได้ไปทำ  ความจริงฉันก็อยากจะไปอยู่แล้ว  ที่  จ.ม.  สนุกดีอยู่บ้านเหงาจึงจัดแจงเรียบร้อยแล้วก็ไป
         มาตามทางฉันคิดว่า  ตัวเรานี่คงจะต้องมีคนนินทาเป็นแน่  คือคนเขาจะว่าเรานี้ถ้าไปเห็นผู้หญิงที่ไหนสวยหรือรักผู้หญิงที่ไหนแล้ว  ก็ไปยอมตัวให้เขาใช้หรือไปคลุกคลีตีโมงอยู่ทีเดียว  เช่นรักผู้หญิงบ้านนอกก็ไปนอนค้างบ้านเขา  ไปช่วยเขาทำงานทีนี้มาชอบผู้หญิงที่ตลาดอีก  ก็มาคลุกคลีอยู่ทีเดียวเขาใช้อะไรก็ไป  บ้ายอ  คิดถึงตรงนี้แล้วหัวใจก็หดห่อไม่อยากรับฝากใครซื้อของเทียว  เพราะของที่อยู่ข้างหลังรถนี้เป็นของคนอื่นฝากมาทั้งนั้น  ของตัวเราเองหามีไม่  แต่มาคิดไปอีกทีในโลกนี้จะปราศจากเสียซึ่งการนินทาหาได้ไม่   พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ   พระมหากษัตริย์   ผู้ทรงคุณธรรมยังไม่วายจะให้คนนินทา   แล้วตัวเราเป็นเพียงมนุษย์สามัญจะพ้นเสียจากการนินทาและหรือ   และฉันถือภาษิตที่ว่า  “  ข้าจะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  “ 
          นึกมาถึงที่นี้ก็ขจัดความคิดแต่แรกเสียสิ้น    ฉันเอาหมูไปให้ ซิ้มติ้ว  แกเลยให้ช่วยแกทำขนม ฉันทำไปก็คุยไป  แชก็คุยกันดีฉันก็พยายามพูดเลียบเคียงมาทางเช็งฮวงเสมอ   ตอนหนึ่ง  ตาสือ  แกกินเหล้ามึนๆแล้วแกถือมะม่วงอกพร่อง (อกร่อง)  สุกลูกหนึ่งไปหาฉันนั่งลงแล้วพูดว่า  “  ครูลองทายซิ  มะม่วงลูกนี้ข้างในจะมีหนอนหรือไม่  อั๊วผ่ากินหลายลูกแล้วข้างในมีหนอนตัวหนึ่งทั้งนั้น  “  ฉันเข้าใจความหมายของแกว่า  แกคงจะถามฉันว่าที่ฉันมาเที่ยวนี้จะมาโดยบริสุทธิ์หรือมาร้ายอย่างไร  ฉันเลยตอบไปว่า  “  ต้องดีสิเพราะเปลือกนอกเหลืองดีนี่  ข้างในจะมีหนอนได้อย่างไรไม่มีหรอกน่าอย่ากลัวเลย  “  แกว่า  “  ลองผ่าดูทีซิจะมีหรือไม่มี  “  แกก็ไปเอามีดผ่าดู  แกว่า  “  ไม่มีจริงแหละ “  แล้วแกก็กินเทียว 
 แกพูดชอบกลถ้าแกจะสงสัยฉันกระมัง  แต่ฉันไปโดยบริสุทธิ์ขอให้เทวาอารักษ์จงคุ้มครองป้องกันฉันด้วยเถิด
 

         ๗    ๑๔.๒.๘๑  ข.  ๑๕.๖.๓   (เสาร์ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๑)

         ตื่นเช้าก็ช่วยเขาทำที่สำหรับให้พระนั่งกลางลานนัด  เสร็จแล้วก็แต่งตัวไปเอาสำรับกับ  ฮวง   เฮียเบี้ยว  เฮียต้อ   เฮง   ถูกเบอร์ที่ ๙   เป็นพระเขมรอยู่วัดท่าวัว  ดีแล้วฉันถ้าจะเป็นคนเขมรกระมังจึงโดนพระเขมร 
         เย็น  ไปโพธารามด้วยเฮีย ต้อ   พลบ  เฮียสวิงชวนไปเที่ยววัดคงคา  ฉันก็ไปๆด้วยกัน  ๓  คน เฮียต้อด้วยนึกว่าตากอากาศเล่นถึงวัดคงคามืดโข  เฮีย สวิงพาไปเที่ยวบ้านผู้หญิงหลายบ้าน  แต่ฉันไม่รู้จักเขาเลยเพราะไม่เคยไปเที่ยว สักประเดี๋ยวเขาชวนไปฟังเทศ  เขาเทศในโบสถ์ทำเนียมมอญนี่เคร่งนักบนกุฏิพระ ผู้หญิงเขาจะไม่ขึ้นเหยียบเลย ผู้ชายคนใดถ้าไม่ได้บวชพระเขาเรียกคนนั้นว่า  คนดิบ  ฉันเข้าไปในโบสถ์พวกผู้หญิงเอาไม้กวาดๆลานโบสถ์สะอาด   แล้วก็กราบ ระลึกอะไรเป็นนาน  สาวๆก็มีสักประเดี๋ยวก็มีพระมาเทศน์  และมีหลวงพ่อมานั่งเป็นประธานด้วย  ระหว่างที่ให้ศีลคนทุกคนสงบเงียบที่สุด  จะหาใครเอ็ดสักคนก็ไม่มีฉันฟังภาษามอญไม่ออก  นึกขำแต่ไม่กล้าหัวเราะพระองค์นี้เทศเสียงใส   ฟังออกเป็นบางคำ  เช่นคำ “ เสด็จปรินิพพาน  “  “  กุสินารา “  ประมาณ  ๒๒.๓๐  น.  พวกฉันก็กลับ
           

          กระบวนนับถือพุทธศาสนาแล้ว  มอญเคร่งคัดมากที่สุด  สาวๆก็ไปฟังเทศน์ด้วยใจอ่อนน้อม  อย่างคนไทยคงไม่พบมีแต่คนแก่ๆ  วัดวาอารามของเขาก็สะอาด  และวันนี้พระจันทร์เจ้าม่านก็เบ่งรัศมีสว่างจ้า  ไม่มีเมฆมาพ้องพานเลยสักนิดสมกับเป็นวันวิสาขะบูชาของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลกเป็นแท้  แต่วันนี้ไปโลกคงสงบเพราะอาศัยบารมีของพระธรรมคำสั่งสอนอันดีของพระพุทธเจ้าเรา...

                                                                                   ยังมีต่อ

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้316
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้316
เดือนนี้13234
ทั้งหมด1343118

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

4
Online