สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๔

เรื่องราวเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียน

สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๔ (นายประเสริฐแห่งวัดบางลาน)

         หลังวันสงกรานต์มาแล้ว ฝนก็มืดครึ้มเช่นวันนี้ ไม่รู้ว่าในตอนบ่ายหรือเย็นวันนี้ฝนจะตกหรือไม่ ทุกๆปีที่ผ่านมา ผมเคยสังเกตว่าหลังสงกรานต์ไปแล้ว ฝนมักจะตกและมีลมพายุใหญ่เสียด้วย

         ย้อนไปเมื่อสมัยตอนที่ผมยังอยู่ที่เจ็ดเสมียนนั้น หลังจากสงกรานต์ไปแล้วบางวันก็จะมีกลุ่มเมฆมารวมตัวกัน มืดครึ้มไปหมดพอตอนเย็นหรือใกล้ค่ำฝนก็จะตกลงมาพร้อมกับมีลมพายุพัดขึ้นมาจากทางแม่น้ำด้วย พวกผมเด็กตลาดก็จะรีบวิ่งถือกระป๋องที่สำหรับหิ้วน้ำ พากันไปเก็บมะม่วงที่วัดหลังโรงเรียน ใกล้กับโรงสี แย่งกับพวกเด็กวัดซึ่งมีไอ้ โปรด เป็นหัวโจกเด็กวัดในตอนนั้น 

 

         ที่หลังโรงเรียนในขณะที่ฝนกำลังตกและมีลมแรงอยู่นั้น บางครั้งก็ได้มะม่วงมามากๆ ลมพัดแรงๆอย่างนี้มะม่วงซึ่งกำลังแก่จัดก็หลุดจากขั้วตกลงมายังโคนต้น  พอกระทบกับพื้นดินก็แตกกระจาย ได้ยินเสียงตุบตับ บางลูกที่กำลังห่ามๆจวนจะสุกก็น่วมไปทั้งลูกกินไม่ได้เลย จนกว่าลมพายุจะอ่อนกำลังลงมะม่วงก็จะหยุดตก
         พวกผมเก็บมะม่วงที่ตกลงมานี้ได้กันครั้งละมาก บางทีผมก็เห็นหลวงตาเจ้าอาวาสวัดออกมายืนดูตรงหน้าต่างเหมือนกัน แต่ท่านก็ไม่เคยว่าอะไร ได้แต่ยืนดูสักประเดี๋ยวก็หลบฝนเข้ากุฎิไป  มะม่วงที่เก็บได้นี้ก็จะใส่กระป๋องที่สำหรับหิ้วน้ำลูกไม่ใหญ่มากนัก
         ผมกับสาธร โล ทวี อู๊ด โห้ และเพื่อนอีกหลายคน ช่วยกันหิ้วกระป๋องคนละข้างที่ใส่มะม่วงเต็ม จนแขนโก่ง เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด เอากลับไปที่ในตลาดเทกองรวมกันที่หน้าบ้านทวี น้องเจ๊กวย แล้วก็จัดการแบ่งกัน มะม่วงที่วัดมีหลายชนิดครับ ทองดำ อกร่อง นี่ถือว่าใช้ได้ พวกมะม่วงแก้ว มะม่วงป่านี่ลูกมันดกก็จริง แต่รสชาติไม่ดีเปรียวปรี๊ด ในสมัยนั้นเขียวเสวย น้ำดอกไม้ยังไม่มีหรอกครับ แต่ที่ได้มานั้นส่วนใหญ่มันจะแตกเสียหมดเพราะตกลงมาจากที่สูง
         โดยมากไม่ค่อยมีเพื่อนคนไหนจะเอาไปมากมายหรอกครับ  ผมกับไอ้เหม่งก็เอากลับบ้านคนละนิดหน่อยเท่านั้น โดยเลือกเอาแต่ลูกดีๆไป ผมจึงมาคิดว่าที่เราวิ่งและแย่งกันเก็บมะม่วงในตอนที่มีฝนและพายุมานั้น เป็นเหมือนการเล่นน้ำฝนกันสนุกๆมากกว่าที่จะเอามะม่วงไปกินอย่างจริงจัง
         กิจกรรมในวันที่ฝนตกใหญ่อย่างนี้ก็ยังมีอีกมาก ที่พวกเราชาวเด็กเจ็ดเสมียนชอบกันนักหนา คือเล่นเตะบอลกันท่ามกลางสายฝน ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน  เรามีกันกี่คนก็แบ่งข้างกัน ข้างละเท่าๆกัน ไม่จำกัดกันหรอกว่าจะข้างละกี่คน แต่ไม่มากกว่ากันมากนัก ผมจำได้ว่า คุณครูประวิทย์ ไทยแช่ม และคุณครูประสงค์ ปานทอง ก็ยังเคยมาเตะฟุตบอลท่ามกลางสายฝนกับพวกผมหลายครั้ง ไล่ตะลุยเตะกันน้ำกระจาย สนุกกันดียิ่งนัก
         และอีกอย่างหนึ่งเวลาฝนตกใหญ่ๆอย่างนี้ พวกผมเด็กตลาดกลุ่มใหญ่ มักออกมารวมกลุ่มกันที่ตรงท่าน้ำ “ท่าเรือนัด”  ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ตรงที่เขาสร้างศาลาประชาคม ริมแม่น้ำนั่นแหละครับ แต่ก่อนนั้นที่ตรงนี้ยังมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ริมน้ำอีกต้นหนึ่ง ไม่ใช่มีต้นเดียวเป็นพระเอกเหมือนทุกวันนี้ แล้วถัดจากต้นโพธิ์นี้มีศาลาเล็กๆปลูกอยู่ริมน้ำเขาปลูกอย่างถาวรแข็งแรงมาก หลังคามุงกระเบื้องคอนกรีตเป็นแผ่นหนาๆแผ่นไม่ใหญ่มากนัก

         ท่านที่เป็นคนเก่าก็คงจะเคยเห็นกระเบื้องชนิดนี้กันบ้าง สมัยก่อนนั้นไม่มีกระเบื้องลอนคู่ลอนเล็กตราช้างอะไรนั่นหรอกครับ พวกผมทั้งเด็กหญิงและเด็กชายมักจะมานั่งรวมกลุ่มคุยกันที่ศาลานี้กันบ่อยๆ รวมทั้งเด็กรุ่นน้องๆของผมด้วย เช่น บุปผา อารีย์  อาภรณ์ ปราณี เตียง รวมทั้งเง็ก (มัลลิกา) และคนอื่นๆอีกหลายคนด้วย เด็กๆในชุมชนต่างๆก็คงจะเหมือนกันหมดทุกๆแห่ง ทุกๆรุ่นจะมีความสามัคคีกัน และช่วยเหลือกันและกันดี
         เมื่อฝนตกหนักๆพวกผมจะมารวมกันที่ท่าน้ำแห่งนี้ดังที่ได้บอกแล้ว แล้วก็มากระโดดน้ำกันตรงนั้น พุ่งหลาวบ้าง ตีลังกากลับหลังกลับหน้าบ้าง  บางคนก็กระโดดทำท่าเก็บเข่าเก็บคางกลมเป็นลูกมะพร้าว หล่นลงน้ำดังตูมเหมือนว่าจะสะใจเสียเต็มประดา  พอหล่นลงน้ำแล้วหายไปตั้งนาน มันจึงจะโผล่ขึ้นมาเล่นเอาใจหายนึกว่ามันจุกเสียจนโผล่ไม่ขึ้นแล้ว พวกเราก็จัดแจงจะกระโดดลงไปเป็นเหมือนหน่วยกู้ภัยเพื่อไปช่วยเหลือมัน มันก็โผล่พรวดขึ้นมา ไอ้มูลคนหนึ่งละที่หลอกพวกเราเป็นประจำ
         เมื่อโดดลงไปในน้ำแล้วก็ว่ายน้ำไปที่บันใดท่าน้ำ เดินขึ้นมากระโดดน้ำใหม่ตรงที่เดิมสนุกมากท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา หนาวสั่นไปตามๆกัน ฝนตกลงมาอย่างนี้น้ำในแม่น้ำอุ่นดีเหลือเกิน ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พอหนาวมากๆก็กระโดดลงไปในน้ำรับความอุ่นของน้ำเสร็จแล้วก็ขึ้นมารับความเย็นของน้ำฝนอีก อย่างนี้สลับกันไปจนกระทั่งฝนซาแล้วจึงเลิกเล่น ต่างคนต่างกลับบ้าน บางคนก็ถูกแม่ด่าบ้างตามธรรมเนียม

       

คุณละม่อม คุณนวลปรางค์ และเด็กชาย โณ ไปนั่งเล่นในตอนเย็นแดดร่มลมตกในวันหนึ่งเมื่อเกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว ที่สนานหญ้าหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน (คุณองุ่น คุ้มประวัติ ถ่ายภาพ)

        บ้านผมกับไอ้เหม่งอยู่ติดกัน ผมจะได้ยินแม่ไอ้เหม่งบ่นไอ้เหม่งอยู่เป็นประจำจนเคยแล้ว ไอ้จุ้ยน้องไอ้เหม่งบางครั้งถ้าไปเล่นน้ำตอนฝนตกด้วยกัน ก็จะถูกแม่มันบ่นเอาด้วยเหมือนกัน แต่ไอ้จุ้ยมันไม่ค่อยไปหรอก แม่ผมก็ไม่ใช่ย่อยกว่าป้าม่อมหรอก บ่นว่าผมอยู่ทุกครั้งที่ไปเล่นซน เสร็จแล้วก็สอนให้ระวังตัว อันตรายมันมีมากถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบาดเจ็บขึ้นมาละก้อจะลำบากไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อนๆอีกหลายๆวันนะจะบอกให้รู้ด้วย

       

คนอง คุ้มประวัติ (เหม่ง) ในภาพนี้โตขึ้นมาจะเป็นหนุ่มแล้ว กำลังอุ้มน้องชาย ดช.โณ ที่หลังบ้าน (ห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียน)  ติดกับกำแพงโบสถ์ วัดเจ็ดเสมียน (คุณจำเนียร ถ่ายภาพ ไม่ทราบวันเดือนปี ที่ถ่ายเพราะว่าคุณจำเนียรไม่ได้บันทึกไว้ น่าเสียดายจริงๆ)

         นั่นเป็นเมื่อสมัยตอนที่ผมยังเด็ก อยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้นะครับ แต่ในปัจจุบันนี้ผมคิดว่าเด็กๆเจ็ดเสมียนรุ่นหลังๆก็คงจะไม่ออกไปเก็บมะม่วงหล่น ที่วัดกันเหมือนรุ่นเก่าแล้วเพราะว่าต้นมะม่วงวัดไม่ค่อยจะมี ถ้ามีก็มีน้อยเต็มที ส่วนการเล่นฟุตบอลกันนั้นไม่ทราบว่ายังเล่นกันอยู่หรือไม่ และการไปเล่นน้ำก็เหมือนกันคงไม่มีเด็กเจ็ดเสมียนคนไหนทำแบบพวกผมในอดีตแล้ว เพราะว่าเวลานี้มีน้ำประปากันทุกๆบ้าน เวลาอาบน้ำก็อาบที่ห้องน้ำบนบ้าน น้ำในแม่น้ำก็ตื้นไม่ค่อยจะมีน้ำและตลิ่งให้กระโดดเล่นแล้ว

        กลับมาอีกที วันนี้ในตอนเที่ยงแล้วผมต้องไปหา  วาสนา ที่บ้านของเขาเพราะว่า เขา ได้ชวนผมขี่จักรยานไปเที่ยวกันทางแถวๆ หนองบางงู ท่ามะขาม ดอนทราย แล้วก็บางลานด้วย และถ้าหากระหว่างทางนั้นมีผักบุ้ง เราก็จะเก็บเก็บผักบุ้งติดรถกลับไปด้วย ซึ่งผมก็ตงลงกับวาสนา ไว้ว่าตอนเที่ยงแล้วจะมาหา
        

       เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะไปพบกับวาสนานั้น ผมก็เดินข้ามฟากตลาดไปยังฝั่งตลาดแถวเก่า ซึ่ง สาธร  โล ทวี โห้ อยู่ทางนั้น ผมเดินไปถามบ้านเพื่อนผมเหล่านั้น ก็ไม่มีใครอยู่สักคน สาธร เป็นทหารเรืออยู่สัตหีบ ส่วนคนอื่นๆก็ไปเรียนหนังสือกันยังไม่มีใครกลับมาบ้านเลยสักคน  ป้าแช แม่ของสาธรบอกว่า  “ ไอ้ธร มันจะกลับมาบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่ามันอยู่ไกลมาก หรือว่า บางทีมันก็จะกลับมาวันแห่ดอกไม้เลยก็ได้ ”
         ไอ้เหม่งมันก็ไปเรียนกรุงเทพฯแล้ว คุณปรางค์ พี่สาวของมันก็ไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯเช่นเดียวกัน คุณปรางค์นี้ผมก็มีความสนิทสนมกันพอสมควร เพราะว่าบ้านอยู่ติดกันและเป็นพี่สาวของ ไอ้เหม่งด้วย คงเหลือแต่พี่ องุ่น พี่สาวของไอ้เหม่งอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่บ้าน ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่องุ่นมากมายนัก เพราะว่าเป็นเด็กคนละรุ่นกับพวกผม  พี่องุ่นเป็นเด็กเจ็ดเสมียน รุ่นเดียวกับ พี่กัญญา ลักษิตานนท์  พี่อนงค์ วงศ์ยะรา เจ๊แด๊ว เจ๊แดง และอีกหลายๆคนที่เจ็ดเสมียนนี้
          ผมเคยเอาภาพเก่าๆมาลงแทรกไว้ ในหลายเรื่อง (โดยเฉพาะเรื่อง “กัญญา ลักษิตานนท์”) จะเห็นได้ว่า เด็กเจ็ดเสมียนนั้น ฝ่ายพวกผู้หญิงเขาก็จะสนิทสนมกันและเล่นกันอยู่ในหมู่พวกผู้หญิง ส่วนพวกผู้ชายเช่นพวกผมก็จะไปตามเรื่อง ของพวกเด็กผู้ชาย  แต่สรุปแล้วพวกเราเจ็ดเสมียนด้วยกัน ไม่ว่าหญิงหรือชายก็จะรู้จักและสนิทกันเหมือนพี่น้อง เด็กถิ่นอื่นๆจะมารังแกหรือมาเหยียบหยามเด็กในตลาดเจ็ดเสมียนไม่ได้ พวกผมจะออกโรงเดือดร้อนขึ้นมาทันที จะช่วยกันต่อต้านขับไล่พวกที่มารุกรานจากถิ่นอื่นๆจนถึงที่สุด 

         จะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้วสักเรื่องหนึ่งก่อนๆที่จะดำเนินเรื่อง สงกรานต์บ้านเราในอดีตต่อไปนะครับ

         เมื่อสมัยก่อนๆที่ผมยังอยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๐๒ มีหลายครั้งที่พวกผม นำโดยเฮียแก่เล็ก ได้เปิดศึกกับผู้รุกรานต่างบ้านต่างตำบลบ่อยๆ ในสมัยนั้นมีแต่ ต่อยกันอย่างเดียว ไม่มีอาวุธอะไรไม่มีรุมกัน อย่างมากก็ชกต่อยกันเท่านั้น 


        

          อย่างเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ไอ้เหม่งมาบอกผมว่า “พี่เก้ว มีคนแถวๆวัดบางลานคนหนึ่ง มาคอยดักจีบพี่ปรางค์ (นวลปรางค์พี่สาวของไอ้เหม่ง) พี่ปรางค์เขารำคาญมากเลย เขาไม่ชอบ มันชื่อ ไอ้เสริฐ (นายประเสริฐ บ้านอยู่ทางเข้าวัดบางลาน) ตัวเตี้ย ล่ำ ดำๆ ผมหยิก หน้าปรุๆเพราะเป็นฝีดาษ ตกบ่ายๆมันจะมาแล้ว พี่ปรางค์ถีบจักรยานออกไปไหนมันตามตื้อตามจีบดะไปหมดเลย  พี่ปรางค์เขารำคาญมาก เพราะไม่ได้ชอบมัน “ 
         จริงๆแล้วผมก็เคยเห็นไอ้เสริฐคนนี้บ้างเหมือนกัน ตอนที่มันถีบรถจักรยานมาที่ตลาด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะว่ามันมาเที่ยวตลาดมันก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร   “จริงหรือวะ ทำไมไม่เห็นมีใครพูดเลย เรื่องนี้เดี๋ยวพี่ไปคุยให้เฮียแก่เล็กฟังเองมึงเฉยๆไว้ก่อน”   ผมบอกไอ้เหม่ง  ไอ้เหม่งบอกผมอีกว่า  “มันชอบมาตอนบ่ายๆ เดี๋ยวนี้มันมาเกือบทุกวัน อ้อ ผมลืมบอกพี่ไปนะ ไอ้เสริฐ มันไม่ได้มาคนเดียวมันมากับพวกมัน มากันแต่ละครั้งอย่างน้อย สามคนแน่ะ”
         ไอ้เหม่งมันเร่งเร้าบอกผม เหมือนกับว่าจะให้ผมไปจัดการเสียเร็วๆ ผมก็ต้องรอให้เย็นๆเสียก่อนอีกนั่นแหละจึงจะพบกับเฮียแก่เล็กได้ เพราะว่าในตอนเย็นๆนั้นเฮียแก่เล็กมักจะลงท่าใหญ่ ไปอาบน้ำทุกๆวัน ซึ่งพวกเราจะพบกันที่ท่าใหญ่เป็นประจำ ในเวลาธรรมดานั้นเฮียแก่เล็กแกก็ทำงาน ขายของที่ร้านของแกยุ่งทั้งวันและแป๊ะอู๋ ก็คอยมองพวกผมตาเขียวเพราะว่าชอบไปชวนลูกแกทิ้งงานที่ร้านไปบ่อยๆ เพราะเหตุนี้พวกผมจึงไม่อยากไปพบที่ร้าน ไปพบที่ท่าใหญ่ในตอนเย็นๆ ดีกว่าคุยได้สะดวกดีด้วย
          แล้วในเย็นวันนั้นเด็กตลาดรุ่นผมหลายคนที่สนิทกัน พร้อมด้วยไอ้เหม่ง ก็ลงไปอาบน้ำกันที่ท่าใหญ่เป็นฝูง (พูดเหมือนเป็นวัว ไปได้) ป่ายปีนขึ้นไปบนต้นก้ามปูใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่ริมน้ำแล้วมีกิ่งก้านสาขาทอดลงไปในแม่น้ำ ข้างๆบ้าน ยุฮัว เพื่อนกันที่แม่เขาขายน้ำปลา แล้วก็กระโดดลงน้ำดังตูมใหญ่ เหมือนอย่างเคย
         เล่นน้ำกันไปได้สักครู่ไอ้เหม่งมากระซิบกับผมว่า นั่นเฮียแก่เล็กแกลงมาแล้ว พร้อมกับชี้มือขึ้นไปบนท่า เฮียแก่เล็กผลัดผ้าเป็นนุ่งผ้าขะม้าแล้วเดินลงน้ำ ผมจึงว่ายไปใกล้ๆเฮียแก่เล็กพร้อมด้วยเพื่อนๆ แล้วก็คุยกันถึงเรื่องนี้ เฮียแก่เล็กพยักหน้ารับรู้ แล้วบอกผมว่า เมื่อไรถ้ามันมาก็ไปบอกที่ร้านด้วยก็แล้วกัน แต่ว่าก็ต้องดูให้ดีเสียก่อนนะว่าเขามาทำอะไร ถ้าเขามาเที่ยวเฉยๆ ละก็ไปยุ่งกับเขาไม่ได้เทียวนะ เฮียแก่เล็กแกสั่งพวกผมด้วยความเป็นห่วง ด้วยกลัวว่าพวกผมจะทำสิ่งที่ไม่ควรลงไปอันจะทำให้เด็กตลาดเจ็ดเสมียนเสียชื่อหมด
         

        เมื่อถึงตอนบ่ายอีกสองสามวันต่อมา นวลปรางค์ถีบจักรยานออกจากห้องแถวที่ตลาดไป ที่ท่าโรงสี ซึ่งผมกับไอ้เหม่งกำลังตกปลากันเพลิน อยู่ที่ริมตลิ่งใกล้ๆท่าโรงสี เมื่อปรางค์เห็นผมกับไอ้เหม่งแล้ว ก็ส่งเสียงตะโกนเรียก บอกว่า “เหม่งๆ แม่เรียกให้ไปที่บ้านหน่อย “ ผมกับไอ้เหม่งได้ยินแล้วก็มองหน้ากัน คล้ายกับจะบอกกันว่า มาขัดจังหวะกันอีกแล้วปลากำลังจะกินเหยื่อพอดี แต่ผมเคยสังเกตเห็นหลายครั้งแล้ว ไอ้เหม่งมันเป็นคนที่จะอะไรก็แล้วแต่มันจะเอาเรื่องงานการของทางบ้านและพี่น้องก่อน ยิ่งถ้าแม่มันเรียกแล้วละก็มันจะรีบหยุดอย่างอื่นหมด แล้วรีบไปในทันที ผมกับไอ้เหม่งเก็บคันเบ็ด แล้วเดินขึ้นไปที่พี่ปรางค์ยืนอยู่บนตลิ่งนั้น
         “แม่เรียกฉันทำไมหรือพี่ ”   ไอ้เหม่งถามพี่สาวมัน  “เห็นแม่บอกว่าจะให้เหม่งไปเอาของที่บ้านย่าสักหน่อย ” (บ้านย่าของไอ้เหม่งอยู่ที่ ใกล้วัดบางโตนด ถ้าจะไปให้เร็วที่สุดก็คือขี่จักรยานไป พวกผมเคยเดินไปเที่ยวที่บ้านย่าไอ้เหม่งกันหลายหนแล้ว หลายชั่วโมงกว่าจะถึง)  ไอ้เหม่งตอบว่า “น่าจะไปพรุ่งนี้ดีกว่าเพราะว่า วันนี้ก็จะเย็นแล้ว กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืดพอดี ”   “ก็ตามใจนะ แต่ตอนนี้ไปบอกแม่ก่อนก็แล้วกันจะเอาอย่างไรก็ค่อยว่ากันไป” นวลปรางค์ว่าอย่างนั้นแล้วจัดแจงจะถีบรถออกจากตรงที่นั้นไป
          ในเวลาเดียวกันนั้นเองไอ้เหม่ง ซึ่งยืนหันหน้าไปทางศาลาใหญ่ของวัด ก็บอกผมว่าพี่ๆ พวกไอ้เสริฐ มันมากันพอดีเลย  ผมมองตามไอ้เหม่งไปทางนั้น ก็มองเห็นเป็นเด็กรุ่นๆเดียวกับผม สี่คน กำลังถีบรถจักรยานกันคนละคันผ่านศาลาวัดมาแล้ว และตรงมาทางผมซึ่งยืนพูดกันอยู่บริเวณท่าโรงสี 
        ไอ้เหม่งบอกว่า “พี่ปรางค์กับพี่เก้ว ยืนคุยกันตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปไหนมันต้องมาที่นี่เป็นแน่  มันจะพูดอะไรก็ช่างมัน ฉันจะรีบไปตามเฮียแก่เล็กและพวกเรามาก่อน ประเดี๋ยวพอมาแล้วเฮียแก่เล็กแกจะว่าอย่างไรเขาก็คงจะจัดการให้เอง”  ผมบอกให้ไอ้เหม่งไปเร็วๆ เอารถจักรยานที่นวลปรางค์ขี่มานั่นแหละ รีบปั่นไปหาเฮียแก่เล็กและพรรคพวกที่อยู่ในตลาดมาด่วนเลย เอาคันเบ็ดวางไว้ตรงนี้ก่อนถ้ามีปัญหากันตอนนี้ละก็ ผมคงจะต้านคนสี่คนนั้นไม่ไหวเป็นแน่
         ไอ้เหม่งรีบโดดขึ้นจักรยานแล้วรีบห้อแนบ ไปหาพรรคพวกที่ในตลาดทันที แล้วผมก็แกล้งยืนคุยกับ นวลปรางค์ตรงนั้น โดยทำทีว่าเป็นแฟนกันกำลังคุยกันโดยไม่สนใจผู้ใด  สักประเดี๋ยวเด็กวัยรุ่นทั้งสี่คนนั้นก็ขี่จักรยานมาถึง  เมื่อเด็กวัยรุ่นซึ่งอายุก็ไล่เลี่ยกับผมและนวลปรางค์ ขี่จักรยานมาถึงที่ผมยืนอยู่แล้ว ก็จอดจักรยานไว้ตรงนั้น มีคนหนึ่งซึ่งเตี้ยล่ำ ผิวดำคล้ำนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับดำมาก บนใบหน้านั้นเป็นรอยปรุทั่วทั้งใบหน้า ไว้ผมสั้นเหมือนกับผมนักเรียนโดยทั่วไป
          หน้าเขานั้นมันคงจะเกิดจากรอยแผลเป็นของไข้ฝีดาษ ที่เป็นเมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆนั่นเอง เดินยิ้มๆเข้ามาหาพร้อมกับพูดอย่างนอบน้อมว่า “มายืนคุยกันตรงนี้นี่เอง ฉันขอคุยด้วยคนได้ไหม”  มันเอ่ยขึ้นก่อนพร้อมกับสายตาก็มอง ไปทางนวลปรางค์ที่ยืนอยู่ใกล้ผมทางด้านหลัง นวลปรางค์จะขยับปากตอบมันไป ผมเห็นเข้าก็เลยขยิบตาให้และชิงตอบเสียก่อน  “คนรักกันชอบกัน ก็อย่างนี้แหละเจอกันก็คุยกันเป็นธรรมดา  แกมีธุระอะไรมาจากไหนและจะไปไหนหรือ”  ผมทำใจเย็นตอบยิ้มๆ แล้วถามอีกว่า
         “แล้วพวกแกพวกบ้านไหนนี่ เราไม่เคยเห็นเลย ”  “พวกฉันอยู่บ้านบางลาน ฉันมีชื่อว่าประเสริฐ มาเห็นสาวๆที่บ้านเจ็ดเสมียนนี้สวยถูกใจดี ก็เลยมาเที่ยวอยากจะมาทำความรู้จักพบปะและคุยด้วย”  ผมทำท่าแปลกใจและทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วถามว่า  “แกถูกใจสาวเจ็ดเสมียนคนไหนวะ บอกหน่อยได้ไหม คงไม่ใช่คนนี้ คนที่ยืนอยู่กับเรานี้นะโว้ย ”
           ผมบอกมันให้เป็นเรื่องขำๆแต่พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้เสริฐก็พูดขึ้นมาทันที “เออ คนนี้แหละ ฉันตามถามชื่อมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบสักทีว่าชื่ออะไร และอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันไหม วันนี้ว่างๆก็เลยถีบจักรยานมาเรื่อยๆ โชคดีที่มาได้พบกันตรงนี้มาอีก ”   ตอนนี้นวลปรางค์ถลึงตาใส่มันอย่างเกลียดชัง (ไม่รู้ว่าเกลียดมันเรื่องอะไร)
           ผมก็เลยพูดขึ้นมาอีกในเชิงปกป้องคนของเราที่เห็นว่าคนของเราไม่ได้ชอบเขา  “เฮ้ยๆ ไม่ได้นะโว้ย คนนี้เป็นแฟนเรา แกอย่ามายุ่งให้เสียเวลาเลยนะ ขอร้องก็แล้วกัน  แกจะไปจีบคนไหน ในตลาดเจ็ดเสมียนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขออย่าให้เขามีแฟน แล้วก็ให้เขาชอบแกด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร เจ็ดเสมียนก็ยินดีรับแกเป็นเพื่อนด้วย”
           ผมพูดทำแกล้งเหมือนโมโหสุดขีด ทำให้เพื่อนมันอีกสามคนที่มาด้วยกัน เดินเร่เข้ามาใกล้ๆ เหมือน ผมกับปรางค์อยู่ในวงล้อมของมันแล้ว “ให้โอกาสฉันคุยกับเขาหน่อยก็แล้วกันฉันอยากคุยกับเขา ฉันไม่ได้มาร้ายอะไรหรอกนะกลัวไปได้ ”  มันต่อรองผม ๆแกล้งหันไปทางปรางค์ ซึ่งยืนกระสับกระส่ายอยู่ใกล้ๆผมทางด้านข้าง เนื่องจากเด็กผู้หญิงในตลาดนี้ไม่ค่อยจะเคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน จึงได้เกิดความกลัวเป็นธรรมดา
           ผมบอกนวลปรางค์ให้อยู่เฉยๆ อย่าไปตอบโต้กับพวกมัน  ผมพยายามถ่วงเวลาและมองไปทางตลาดอยู่เรื่อยๆ ว่าเมื่อไรไอ้เหม่งซึ่งมันไปตาม พวกผมที่ตลาดทำไมจึงช้าจัง อย่างน้อยเฮียแก่เล็กก็น่าจะมาก่อน “ใครกลัวแก คนเหมือนกัน ไม่มีใครกลัวใครหรอก แกอยากจะคุยอะไรกับเขาก็ว่ามาเลย แต่ว่าเขาคงไม่อยากจะคุยกับแกหรอกนะ กลับไปเถอะอย่าให้มีเรื่องกันเลย และนี่ก็แฟนเรา ลูกผู้ชายเขาไม่มาแย่งกันแบบนี้หรอกวะ”
          ผมบอกไอ้เสริฐพร้อมกับจ้องที่ตามันเขม็ง มันจ้องตาตอบแล้วกัดกรามด้วยความโมโหที่ทีคนมาคอยขัดขวางมัน  ผมบอกนวลปรางค์ว่า เรากลับบ้านกันดีกว่าอย่าอยู่ตรงนี้ให้มีเรื่องเลยพร้อมกับจับข้อมือนวลปรางค์ เหมือนจะพากันกลับไปบ้านที่ตลาด   “กูไม่อยากมีเรื่องให้อายคนอื่น มึงกลับไปเถอะ วันนี้กูขอแล้ววันหลังถ้าเจอกันแล้วค่อยมาว่ากันใหม่อีกที กูจะกลับบ้าน”   “ไม่ได้นะไม่ได้มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ฉันชักจะไม่สนใจสาวเจ็ดเสมียนเสียแล้วซี”  มันว่า  “เมื่อไม่สนใจแล้วก็ดีนะซี จะได้ไม่มีปัญหา เราไม่มีอะไรกัน ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน แล้วพวกแกจะมาเที่ยวที่เจ็ดเสมียนอีกเมื่อไรก็ได้ มาชอบสาวเจ็ดเสมียนคนไหนอีกก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คนนี้ และต้องเป็นคนที่ชอบแกด้วย ตกลงไม๊”
          ผมพูดยังไม่ทันจบดี ไอ้เสริฐมันก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน  “ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย ตอนนี้ไม่สนใจสาวแล้ว สนใจมึงมากกว่า อยากมีปัญหากับมึงเต็มทีแล้ว “ เอาละซีตอนนี้เหตุการณ์ชักจะตึงเครียดเข้าทุกที  พวกที่ไอ้เหม่งไปตามก็ยังไม่มาสักที ลำพัง ตัวต่อตัวก็ไม่แน่ว่าจะเอามันไหวหรือเปล่า เพราะว่า ไอ้เสริฐนั้นล่ำเตี้ย บึกบึนเห็นได้ชัดๆ ว่ามันคงจะมีพละกำลังเอาผมจนอยู่หมัดแน่ๆ และเพื่อนมันอีกตั้งสามคน ถ้ามันสี่ผมคนเดียวคงไม่เหลือแน่ๆ เวลานั้นอยากจะให้มีใครหรือเด็กวัดที่รู้จักกันผ่านมาสักคนก็ยังดี แต่ก็ไม่มีเลย แปลกแท้ๆ
           มันพูดจบก็ปราดเข้ามาผลักผมที่หน้าอก เสียงนวลปรางค์ร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วย พวกมันทั้งสี่คนหัวเราะกันเหมือนขำเสียเต็มประดา  ผมปัดมือของมันที่ผลักอกผมแล้ว พูดว่า “เดี๋ยวซีวะ มึงจะทำอะไร ไม่มีเหตุผลเลยนี่หว่าที่จะมาต่อยตีกัน ก็ผู้หญิงเขาไม่ชอบมึงที่มึงมาจีบเขาทุกวันนั้น เขารำคาญจะตายแล้ว ดีนะที่ว่าเขายังไม่ได้บอกพ่อแม่เขาให้รู้ มิฉะนั้นที่มึงเหยียบมาถึงถิ่นนี้ ก็เหมือนว่ามึงมาหยามกันชัดๆ มึงจะไม่มีทางออกจากเจ็ดเสมียนได้เลย มึงกลับไปเสียดีกว่านะ เราไม่มีอะไรกัน วันหน้าวันหลังก็ยังมาเที่ยวได้อีก” 

         ผมพยายามกล่อมมัน เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ แต่โทสะมันยิ่งมากขึ้นอีก มันกะจะเล่นงานผมให้ได้ ที่มาเป็นก้างขวางคอมันนั้น ไอ้เสริฐมันไม่ฟังเสียงเสียแล้ว มันคงคิดว่าอย่างไรเสีย สี่ต่อหนึ่ง ผมคงเสร็จมันแน่ๆ มันเงื้อหมัดขวาซึ่งกำแน่นทุบลงมาที่หน้าอกผมอย่างแรง เสียงดังอึก ผมเซถอยหลังเพราะแรงทุบของไอ้เสริฐ นวลปรางค์ร้องเสียงหลงพลางทำท่าจะมายืนขวางผมไว้ ผมผลักนวลปรางค์ให้ออกไปอยู่ข้างหลัง ห่างออกไปอีกนิด ตัวผมสั่นสะท้านด้วยแรงทุบของมัน ทั้งๆที่ผมเอาท่อนแขนกันไว้ได้หน่อยหนึ่ง มันก็ยังหนักถึงเพียงนี้  แล้วคิดในใจว่า ทำไมไอ้เหม่งมันไม่มาสักที ลำพังผมรู้แน่ชัดแล้วว่า สู้มันไม่ได้แน่ๆ
         ดังที่ผมเคยบอกท่านผู้อ่านแล้วว่า เวลานั้นเด็กเจ็ดเสมียนหลายๆคนรวมทั้งผมด้วยได้ออกกำลังเล่นกล้าม และฝึกหัดต่อยมวยต่อยกระสอบทราย กับเฮียตี๋ที่บ้านกำนันกันทุกวันตั้งแต่เด็กๆ เป็นเวลาหลายปี ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ในขณะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ผมก็ต้องพยายามปกป้องตัวผมเองและนวลปรางค์ให้รอดพ้นจากภัยในวันนี้ให้ได้ ผมมองเห็นทางว่าเสียเปรียบอยู่มากเพราะว่ามันสี่คนต่อหนึ่งคน จึงต้องทำใจให้เย็นที่สุด จุดหมายที่สำคัญก็คือถ่วงเวลาไว้นั่นเอง......

                                               โปรดติดตามตอนต่อไป เร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้319
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้319
เดือนนี้13237
ทั้งหมด1343121

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

4
Online