สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๖ (ลุงสม)

สงกรานต์บ้านเราในอดีต  ๖
ลุงสม

         ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที วาสนาหันมามองผม เหมือนกับจะถามกันว่าจะเอาอย่างไรดี ผมนึกบ้างเหมือนกันในตอนที่มาถึงนี่ใหม่ๆและถามวาสนาอยู่หลายครั้งว่า เจ้าของเขาจะไม่หวงบ้างหรือ วาสนาก็บอกว่า ก็มาเก็บกันบ่อยๆไม่เห็นมีอะไร ถ้าเขาจะไม่ให้เราเข้ามาเก็บผักบุ้ง หรือไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาหาปลาหรือเข้ามาทำอะไรในนี้แล้วเขาก็น่าจะปักป้ายห้ามไว้บ้าง แต่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย วาสนาทำท่าจะตอบคำถามของชายคนนั้น ผมจึงกระซิบกับวาสนาเบาๆว่า
         “เราจะลองคุยกับเขาดูเอง เธออยู่เฉยๆก่อนนะไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

         ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆผมกับวาสนาอีก ผมสังเกตเห็นว่าชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ อายุน่าจะเกือบหกสิบปี หรืออาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อย ผมสั้นเกรียนมีสีขาวจางๆคล้ายดอกเลาแล้วประปราย ใส่เสื้อม่อห้อม แบบที่ผูกเชือกข้างหน้า นุ่งกางเกงกุยเฮงสีดำแบบที่คนจีนหรือพวกลูกเรือตังเกที่ออกหาปลาในทะเลนิยมใส่กัน ใส่รองเท้าแตะทำจากยางรถยนต์ที่ใช้สำหรับใส่ย่ำไปมาอยู่กับบ้าน มองเห็นรอยสักที่แขน และมองผ่านรอยต่อของเสื้อเห็นที่หน้าอกมีรอยสักอักขระต่างๆเต็มพืดไปหมด

          แล้วผมกับวาสนาก็ขึ้นขาตั้งจักรยานไว้เขย่าดูเบาๆว่ามันไม่ล้มแน่นอนแล้ว น้ำจากผักบุ้งที่เปียกน้ำฝนยังหลงเหลืออยู่หยดเปาะแปะลงมาเปียกที่พื้นดิน ผมคิดว่าคราวนี้ผมและวาสนาเสร็จแน่นอนแล้ว ดูท่าทางแกดุเหลือเกิน ผมจำเป็นต้องพูดดีๆกับแกไว้ เผื่ออะไรมันจะได้เบาบางลงบ้างไม่มากก็น้อยก็ยังดี
          “ลุงครับลุงเป็นเจ้าของบึงใหญ่นั้น และเป็นเจ้าของผักบุ้งด้วยหรือครับ ผมกับเพื่อนมาเที่ยวและถีบจักรยาน มาเรื่อยเปื่อยเข้ามาถึงนี่ อยากจะมาดูเขาเล่นสงกรานต์ที่วัดนี้กัน แต่เมื่อมาถึงวัดแล้ว ไม่เห็นมีคนเลย ถามคนที่ผ่านไปมาดูเขาบอกว่า คนมารวมตัวกันที่ลานบ้านนี้กันหมด ผมจึงเข้ามาถึงนี่แล้วก็ลองถีบจักรยาน เลยเข้าไปข้างในเพื่อไปดูบ้านเรือนต่างๆอีก จนสุดทางแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเห็นเป็นทุ่งโล่งๆ ” 
         ผมพูดยังไม่จบประโยคดีชายคนนั้นก็พูดขัดขึ้นมาก่อน 

       “ก็เลยเก็บผักบุ้งออกมาเสียเลยงั้นละซี นี่นะจะบอกอะไรให้ ไม่มีอะไรหรอกนะในโลกนี้ที่จะไม่มีเจ้าของ ถ้าอยากได้ก็ควรจะบอกเจ้าของเขาเสียก่อน พูดอย่างนี้ หลานชายพอจะเข้าใจบ้างแล้วนะ”
         

      ผมอยากจะเถียงเอาบ้างว่า ถ้าเป็นเจ้าของและหวงนัก ทำไมไม่ขึ้นป้ายห้ามไว้บ้างนี่ไม่ได้หวงจริงละซี  แต่แล้วผมก็แกล้งๆพยักหน้าทำเป็นจำนนด้วยเหตุผล เพราะว่าไม่อยากจะต่อความยาว อะไรให้มากมายนัก วาสนาฟังผมพูดอยู่ก็  (แกล้ง)  พยักหน้าทำเป็นเข้าใจตามผมไปด้วย ผมคิดว่าคนอย่างนี้คงต้องพูดกับเขาดีๆ และจะต้องยกยอปอปั้นเขาด้วย คงจะลดความตึงเครียดได้บ้าง และจนถึงบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มีอาชีพอะไร แต่ที่แน่ๆก็คือเป็นเจ้าของผักบุ้งที่ผมกับวาสนาไปถอนมาเพื่อจะเอาไปให้หมูที่บ้านกินนั่นเอง
         

      “ผมขอโทษครับลุง ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่เอาของๆลุงไป ผมขอคืนให้ลุงเลยนะครับ และขอให้ลุงยกโทษให้ผมสองคนด้วย ผมจะเอาลงให้ลุงเดี๋ยวนี้เลย จะให้ผมเอาผักบุ้งเหล่านี้กองไว้ตรงไหนดีล่ะครับ ”  ผมพูดตัดบทหมายใจว่าจะเอาตัวรอดเสียก่อนโดยจะรีบเอาผักบุ้ง ที่อยู่ท้ายจักรยานนี้ลงให้หมด แล้วก็จะรีบไปจากนี่เสียโดยเร็ว ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าถ้าเขาจับตัวเราไว้ แล้วแจ้งว่าเราสองคนเป็นขโมย เรื่องมันก็จะยาวต่อไปอีกมาก 
        

      ผมจัดแจงเอาขาตั้งจักรยานลง แล้วออกแรงจูงเข้าไปในรั้วบ้านของลุงคนนั้น  วาสนาก็จูงตามผม ใบหน้าเธอนั้นหงิกงอ ดูเหมือนจะโกรธลุงเจ้าของผักบุ้งเสียเต็มประดา ตามผมเข้าไปภายในรั้วเหมือนกันโดยที่ลุงคนนั้นยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ทำอย่างไร
         ผมบอกวาสนาเบาๆว่า ทำหน้าให้สวยหน่อย ของๆเขาเราขโมยเขามา ก็ต้องคืนให้เขาไปถ้าเขาจะเอาคืน และถ้าเขาจะไม่เอาเรื่องเราก็ดีแล้ว ใจเย็นๆน่า วาสนามองหน้าผมยิ้มให้ผมหน่อยหนึ่ง เหมือนจะบอกว่ามอบความไว้วางใจ ในเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ให้ผมแล้ว จะทำอย่างไรก็เชิญเลย ขอให้รอดก็แล้วกัน หนุ่มสาวที่มาเล่นสงกรานต์ภายในบริเวณบ้านนั้น หยุดเล่นสนุกกันชั่วครู่แล้วหันมามองดู พวกผมกันเป็นแถวด้วยความแปลกใจ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น
         

        ผมกับวาสนาจูงจักรยานผ่านประตูเข้ามายัง ด้านในของรั้วลวดหนามซึ่งขึงตึงทั้งหกเส้น ผมตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วจัดแจงจะแก้ยางที่รัดผักบุ้งนั้นออก พร้อมกับพูดกับชายคนนั้นที่เดินตามเข้ามา เหมือนจะคุมผมเอาไว้ มายืนด้านในของรั้วบ้านใกล้ๆผมด้วย
         “ลุงครับผมขอเอาผักบุ้งลงตรงนี้เลยนะครับ แล้วลุงก็ให้คนของลุงมาเก็บ เอาไปไว้ตรงคอกหมูของลุง ซึ่งผมคิดว่าลุงก็ต้องเลี้ยงหมูด้วยใช่ไหมครับ”  
         

       ชายคนนั้นไม่ได้ตอบผมเรื่องที่แกเลี้ยงหมูด้วยหรือเปล่า แต่บอกผมว่า
“ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกนะ เรื่องที่เก็บผักบุ้งมานั้นก็ยังไม่ต้องเอาผักบุ้งลงมาก็ได้ผูกไว้ กับท้ายรถอย่างเดิมนั่นแหละเรามาคุยกันก่อนดีกว่า ” 
        

       ชายคนนั้นพูดกับเราทั้งสองคนทำหน้ายิ้มๆ เปลี่ยนอิริยาบถจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เหมือนที่เขาพูดกันว่า เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ชายคนนี้ถ้ามองดูให้ดีจะเห็นได้ว่า มีลักษณะเป็นเหมือนผู้ที่มีความรู้ น่าจะเป็นคนใจดี โอบอ้อมอารี และน่าจะเป็นคนมีเหตุผล ถ้าไม่ได้ทำหน้าดุดันเหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเมื่อตอนที่พบกันในตอนแรกนั้น  
        

       ผมทำหน้างงๆมองหน้าวาสนา เธอก็มองหน้าผมและคงจะคิดว่า ชายคนนี้จะมาไม้ไหนกันกับเราสองคนละนี่ คงจะเปลี่ยนแผนไม่อะไรก็อะไรกับเราสักอย่างแน่ๆ
       

      ในตอนนี้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผมและวาสนา ก็เริ่มจะแห้งหมาดๆจากที่โดนฝนแล้ว แต่อากาศที่ร้อนระอุ และมายืนต่อหน้าชายคนนี้เปรียบเสมือนผมกับวาสนา เป็นผู้ร้ายที่กำลังโดนจับ ทำให้เหงื่อในร่างกายแตกพลั่กๆออกมาเปียกเสื่อผ้าชุ่มโชกอีก

       “เอาจักรยานตั้งไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้ เราเข้าไปในบ้านกันก่อนดีกว่านะ ฉันอยากคุยดัวยสักประเดี๋ยว” แกพูดเหมือนกับบังคับกันกลายๆ ผมกับวาสนามองหน้ากันเหมือนจะถามกันว่าจะเอายังไงดี แต่ยังไม่ได้ปรึกษากันแกพูดขึ้นอีกว่า  “  มานี่สิ ”  

      พูดแล้วก็ออกเดินนำผมทั้งสองคน เข้าไปภายในลานบ้านอันกว้างนั้น เราผ่านลานบ้านซึ่งมีคนหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่เด็กวัยรุ่นและเด็กเล็ก กำลังเล่นประเพณีพื้นบ้านกัน บางกลุ่มก็นั่งล้อมวงกินเหล้าคุยเฮฮากันอย่างสนุก วงการพนันสองสามวงนั้นก็เล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงฮากันลั่นออกจากวงไฮโลว์นั้นเป็นระยะ แต่ก็มีบางคนหยุดชะงักหันมามองดูผมสองคน ด้วยความแปลกใจแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วก็หันไปเล่นสนุกสนานกันต่อไปอีก 
        

       ผมสังเกตเห็นว่าภายในบริเวณอันกว้างใหญ่ ที่ล้อมรั้วด้วยลวดหนามอย่างแข็งแรงนั้น มีต้นไม้หลายชนิดที่ขึ้นอยู่ในบริเวณลานบ้านและที่ว่างอื่นๆร่มครึ้มไปหมด เช่นต้นมะม่วง หูกวาง ตีนเป็ด   มะขามเปรี้ยวต้นใหญ่ มะยม ซึ่งมีลูกดกออกเต็มต้น และมีต้นไม้ที่เป็นไม้ดอกออกดอกชูช่อกันสวยงามเป็นระเบียบ ตามริมรั้วลวดหนามนั้นก็มีต้นมะพร้าวสูงลิ่ว มีลูกออกเต็มคอทุกต้น
        

      มีอาคารเป็นบ้านลักษณะครึ่งตึกครึ่งไม้อยู่สองหลังซึ่งอยู่ในกลุ่มของร่มไม้นี้ หลังหนึ่งหลังใหญ่เป็นบ้านสองชั้นที่คิดว่าน่าจะดัดแปลงต่อเติมจากบ้านเดิมที่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง  อีกหลังหนึ่งเล็กลงมาหน่อย ลักษณะเป็นเรือนทรงไทยไต้ถุนสูง คิดว่าปลูกมานานแล้วเพราะว่าฝาและหลังคากระเบื้องมันเก่ามากแล้ว โดยดูจากตะไคร่น้ำขึ้นที่กระเบื้องหลังคาเขียวคล้ำ
        

     ยังมีอีกหลังหนึ่งด้านติดรั้วทางขวามือนั้น เป็นเรือนทรงไทยหลังเล็กๆเป็นลักษณะเหมือนกับศาลาพักผ่อน มองเข้าไปข้างในค่อนข้างจะมืดสักหน่อยเพราะว่ามีฝาปิดไว้ทั้งสามด้านมองไม่ค่อยชัดแต่พอจะสังเกตเห็นว่า มีที่ปักธูปเทียน และรูปปั้นรูปหล่อ ของพระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์ต่างๆ แต่ยังเห็นไม่ถนัดนัก 
        

     ภายในเขตบ้านนี้ในวันนี้มองดูเหมือนว่าได้ทำความสะอาดกันครั้งใหญ่ ใหม่ๆ ดูสะอาดสะอ้านไปหมด ตั้งแต่ตัวบ้านทุกหลังกวาดฝุ่น ปัดหยากไย่ เช็ดกระจก และมีกระดาษแก้วเป็นสีที่ตัดเป็นลวดลายต่างๆ แล้วแปะติดกับเชือกด้วยแป้งเปียกห้อยโยงยาวไขว้กันไปมา ระหว่างเสาของบ้าน สลับสีสวยงามยิ่งนัก แต่เมื่อบ่ายนั้นฝนได้ตกลงมาทำให้กระดาษแก้วที่แขวนและติดไว้ตามชายคาบ้านนั้น เปียกไปบ้างยับยู่ยี่ไปก็มี 
        

     ผมมองแล้วก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวไทยเรานั่นเองชาวบ้านจึงได้ทำความสะอาดบ้านเรือนและสิ่งของต่างๆ ตลอดทั้งตัวบ้านทำความสะอาดกันเป็นครั้งใหญ่คงทำกันเป็นประจำทุกปี
        

     ส่วนที่หน้าศาลาทรงไทยหลังเล็กๆ ที่ผมยังไม่รู้ว่าปลูกเอาไว้ทำอะไรนั้น ที่หน้าศาลาตรงเชิงบันใดก็ปักกรดไว้สองต้น ซ้ายและขวา กรดนี้ทำด้วยกระดาษสีอีกนั่นแหละ ตัดเป็นรูปต่างๆติดกันเป็นพืด แล้วเอากาวแป้งเปียกติดอ้อมล้อมโครงสร้างที่เป็นไม้ไผ่เหลาให้เล็กและอ่อนพอดี ดัดให้เป็นวงกลมแต่ละชั้นแล้วติดกับเสาไม้ไผ่ทำเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ชั้นบนสุดที่เป็นวงเล็กที่สุดเรื่อยต่ำลงมาก็เป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ติดกระดาษแก้วที่ตัดแล้วเป็นชายธง สลับสีต่างๆสวยงามดี ลืมสังเกตไปว่าเป็นกรดขนาดกี่ชั้น น่าจะไม่เกิน ๕ ชั้นเป็นแน่ แต่ตอนนี้กระดาษแก้วที่แปะไว้ลู่เหี่ยวย่นลงมาบ้างเพราะโดนฝนเมื่อบ่ายนั้นเหมือนกัน
         

       ระหว่างเดินตามกันมานั้น ผมถามวาสนาว่า  “จะเอาอย่างไรกันดี ไม่รู้ว่าแกจะมาไม้ไหนกับเรา แกเป็นใครเราก็ไม่รู้จัก  ”  
วาสนาก็ว่า  “ จริงซี แล้วนี่ก็จะเย็นแล้วแม่คงจะตั้งท่า คอยเราแล้วแหละป่านนี้ เราบอกกับเขาเลยจะดีกว่า ว่าจะขอกลับบ้านก่อนละ ” 
         ผมบอกวาสนาว่า   “ ไหนๆก็มากันถึงขั้นนี้แล้ว จะเสียเวลาอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก เราต้องรู้กันให้ได้ว่า แกเป็นใครทำอะไรอยู่ที่บ้านบางลานนี้เป็นเจ้าของบึงใหญ่และกอผักบุ้งจริงหรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าแกเป็นเจ้าของจริง แกจะมีลูกไม้อะไรกับเราอีก เมื่อเห็นท่าไม่ดีแน่แล้วก็เผ่นกันซึ่งๆหน้าเลยเลย จะกลัวทำไมกัน ” วาสนาพยักหน้าเห็นด้วยกับผม
        

     ผมยังคิดต่อไปอีกในข้างร้ายๆว่า ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรที่ลุงคนนี้ ทำไม่ดีมีกลอุบายกับเราสองคน และถ้าผมรอดกลับไปได้ ผมก็จะไปบอก เฮียตี๋ ลูกพี่ใหญ่ของผมให้ยกพวกมาเคลียร์กันกับลุงคนนี้ ถ้าเคลียร์กันไม่ลงตัว ผมก็จะยกมือให้สัญญาณ เฮียตี๋ มาถล่มลุงคนนี้และบ้านหลังนี้ให้ราบไปเลย (แน่ะใหญ่เสียด้วยซีเรา)
         ผมเพียงแต่คิดไปเองนะไม่ได้บอกใครหรอก และผมก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มีบารมีใหญ่ถึงปานนั้น เหตุการณ์อะไรก็ยังไม่เกิดขึ้นผม ก็ไม่น่าจะคิดมากไปล่วงหน้าอย่างนี้เลย น่าจะคิดไปในทางที่ดีเสียมากกว่า เทศกาลตรุษสงกรานต์ขึ้นปีใหม่ ของชาวไทยอย่างนี้คงจะไม่มีใครคิดร้ายอะไรต่อกันหรอก ผมคิดในทางที่ดีไว้ 
        

       ในระหว่างที่ชายคนนั้นเดินนำหน้าผม ปากแกก็เริ่มคุยกับเราสองคน ทีแรกผมมองดูแล้วคิดว่าแกเป็นคนเงียบขรึม หน้าตาก็ดูดุดันตั้งแต่พบกับพวกผมแล้วแกคงจะร้ายน่าดูชมทีเดียว และตั้งแต่เจอกันก็ยังคุยออกมาไม่ได้กี่คำเลย แต่ตอนนี้ลุงแกชักจะคุยขึ้นมาบ้างแล้ว แกหันมาถามผม
       “เราสองคนนี้มาจากที่ไหนกัน คงไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆเลย เพราะว่าไม่เคยเห็น” แกเปิดฉากพูดกับผมๆบอกว่า  “ผมสองคนมาจากเจ็ดเสมียน กะว่าจะถีบจักรยานเที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยขามาก็แวะมาเรื่อย แถวท่ามะขาม ดอนทราย แล้วก็เข้ามาบางลานนี่แหละ ไม่ได้ตั้งใจมาขโมยผักบุ้งของลุงเลย ”   ลุงเจ้าของผักบุ้งได้ฟังแล้วก็หัวเราะและพูดว่า
       

       “ อ้อ...! เป็นคนเจ็ดเสมียนเองนะหรือ  คนในเจ็ดเสมียนหลายคนลุงก็รู้จัก บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ”  เมื่อผมกับวาสนาบอกแล้วแกก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แกว่า
       “นึกแล้วเชียว เป็นลูกเต้าเหล่ากอของคนดังเจ็ดเสมียนนี่เอง ลุงมองดูหน่วยก้านหนูทั้งคู่แล้วจัดว่าไม่ธรรมดาเป็นคนที่มีดีอยู่ในตัวด้วย กำนันโกวิทพ่อของหนูน่ะ ลุงก็รู้จักเมื่อสองปีมาแล้วนั้นกำนันแกมาทำธุระแถวนี้ เสร็จแล้วแกก็เข้ามาหาลุงแล้วขอตะกรุดของพ่อหมื่นรามไปดอกหนึ่ง เห็นว่าจะเอาไปป้องกันตัว และบอกว่าเป็นกำนันคอยปราบปรามโจรผู้ร้าย ก็ต้องมีของดีไว้ป้องกันตัวบ้าง ”

        พูดพลางก็หันมาเหมือนกับสำรวจโหงวเฮ้งของผมทั้งสองคน  แล้วก็หันมามองวาสนาแล้วแกก็หัวเราะออกมาอีก  ผมกับวาสนาก็นั่งฟังแกพูดไปเฉยๆ เพราะว่าเรื่องอย่างนี้ผมอายุก็เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอย่างนี้กับเขาหรอกเพราะไม่ค่อยได้สนใจ ผมกับวาสนาจะมีดีอะไรในตัวผมก็ไม่เข้าใจ ผมก็คนธรรมดาเป็นนายแก้วอยู่อย่างนี้นี่เอง

      “เราไปคุยกันที่ตำหนักเจ้าพ่อก็แล้วกันนะ”  แกบอกผมแล้วพาผมสองคนเดินไปทางขวามือ นำผมและวาสนาไปที่ศาลาหลังเล็ก ซึ่งอยู่ทางริมรั้วนั้น อ๋อผมเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง ศาลาเล็กๆที่อยู่ด้านริมรั้วขวามือนั้น เป็นตำหนัก (บ้านที่ทำการของคนทรง)  ของเจ้าพ่อนั่นเองแต่ยังไม่รู้ว่าเจ้าพ่ออะไร 
         

       ชักสนุกกันแล้วซีเรา สักครู่หนึ่งก็พากันเดินมา ถึงศาลาหลังนั้นที่เรียกว่าตำหนักเจ้าพ่อ ศาลาหลังนี้ไม่เล็กมาก อย่างกับที่มองภายนอกหรอก ตรงพื้นนั้นรับคนที่นั่งลงได้หลายคน ตรงทางขึ้นมีบันใด ๔ ขั้น พวกเราถอดรองเท้ากัน แล้วก็พากันขึ้นไปบนตำหนักนี้โ ดยลุงเจ้าของบ้านเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นไปก่อน
         

       แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าขึ้นบันใดไปนั้น มองเห็นบันใดศาลาหลังนี้มีเพียง  ๔ ขั้นเท่านั้นซึ่งบันใดตามบ้านต่างๆเท่าที่ผมเคยเห็น เช่นบันใดบ้านที่เป็นเรือนสูงๆนั้น จะมีสักกี่ขั้นก็ตามนับกันแล้วก็จะตกที่ขั้นเลขคี่เท่านั้น เช่น ๓,๕,๗,๙, ขั้น ถ้าบ้านเป็นเรือนสูงๆหน่อย ก็จะเป็น ๑๑ ขั้น ๑๕ ขั้น เห็นไหมครับเป็นเลขคี่เท่านั้น แต่บันใดที่ศาลาหลังนี้เป็น ๔ ขั้นเป็นเลขคู่ จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นบันใดจึงชะงักนิดหน่อย
         

       ลุงผู้นั้นเห็นผมมองดูที่บันใดแล้วชะงักก่อนที่จะก้าวขึ้น อย่างที่รู้ทันว่าผมคิดอะไร จึงบอกว่า “หลานชายคงสงสัยละซีว่าทำไมบันใดนี้ลุงจึงทำขึ้นมาเพียง ๔ ขั้นเท่านั้น คือตามคติโบราณนั้นถือว่า ถ้าบันใดคู่คือ บันใดของผี บันใดคี่คือบันใดของคน พูดกันง่ายๆว่า บันใดคู่บันใดผีบันใดคี่บันใดคน อย่างนี้พอจะเข้าใจไหม” ผมพยักหน้า และคิดว่าเพิ่งจะรู้นี่เอง เรื่องขั้นบันใดนี่ แกก็พูดต่ออีกว่า โดยเฉพาะที่ศาลนี้จะเห็นได้ว่ามีบันใดแค่ ๔ ขั้นเท่านั้น หมายความว่าไม่ใช่บันใดของคนอย่างแน่นอน
         

       เมื่อนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว ลุงแกก็เอ่ยกับผมว่า “ฉันเห็นเราทั้งสองคนแล้ว รูปร่างหน้าตาท่าทางไม่ใช่ธรรมดาเลยนี่ จึงคิดอยากจะคุยด้วยสักหน่อยจึงได้ชวนให้อยู่ก่อน เรามาคุยกันอย่างญาติกันก็แล้วกันนะ ไม่ต้องระแวงอะไรลุงกันแล้วนะ ตอนเย็นๆกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยกลับ บ้านเจ็ดเสมียนอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง ” แกว่า

         เหตุการณ์ที่ตึงเครียดกันในตอนแรกนั้น เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วครับ ลุงคนนี้กลายเป็นคนดีเหมือนเป็นญาติกันจริงๆ ในที่สุดหลังจากคุยกันอยู่เป็นเวลานานก็ได้ทราบว่า ลุงคนนี้แกเป็นหมอดูและเป็นคนทรงเจ้า ชื่อนายสม ไม่ได้มีอาชีพรับราชการเป็นครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้านอะไรทั้งสิ้น นายสมคนนี้เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีกับผู้คนทั่วไป ลักษณะท่าทางดี พูดจานิ่มนวล และโดยเฉพาะเป็นคนมีฐานะดี ฐานะน่าจะดีกว่าใครๆในละแวกนี้  
        

       ผมคิดว่าในขณะที่พบพวกเราในตอนแรกนั้น แกคงจะพยายามทำสีหน้าให้ดุ และพูดจาแรงๆเข้าไว้เพื่อให้พวกผมมีความเกรงกลัว เหมือนๆกับได้แสดงให้ คนที่มาเก็บผักบุ้งในบึงของ แกหลายพวกมาแล้วได้เกรงกลัว ในภายหลังจะได้ไม่คิดจะมาเก็บผักบุ้ง ในบึงของแกอีก แต่ในตอนต่อมาแกคงได้เห็นรูปร่างลักษณะท่าทางของผมและวาสนา ตามสายตาของแกคงมองเห็นว่าผมกับ วาสนาทั้งสองคนนี้คงไม่ใช่เป็นคนลักเล็กขโมยน้อยเป็นแน่

     และแกมองดูผมกับวาสนามีลักษณะพิเศษอะไร แตกต่างจากใครๆออกมาให้แกเห็นสักอย่างสองอย่างเป็นแน่ แกจึงอยากจะคุยกับผมจึงได้ออกปากชวนมาคุยที่ศาลา (ตำหนักเข้าทรง)  หลังนี้ 
         

      ผมไม่ขัดหรอกครับที่แกจะมองผมกับวาสนาอย่างไร แต่ที่แน่ๆผมก็เป็นของผมอยู่อย่างนี้ตลอดมาแล้วครับ แกจะมองว่าผมมีความวิเศษอะไรนั่นเป็นเรื่องของหมอดู ที่จะมองคนบางคนเป็นอย่างนี้เสมอ และวันนี้ผมได้มาพบแล้วครับหมอดูที่ว่านั้น ก็นายสมนี่ยังไงเล่า........

                               

 

โปรดติดตามตอนต่อไป    คนทรงเจ้าแห่งบางลาน ๒    เร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้485
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้485
เดือนนี้13403
ทั้งหมด1343287

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online