สงกรานต์บ้านเราในอดีต ๘ (กลับบ้าน)

   ผมกับวาสนารับกระดาษขาวสองแผ่นนั้นมาจากลุงสม   “เขียนวันเดือนปีเกิด มาให้ตรงเลยนะ จะได้ไม่ผิดพลาด”

   ลุงสมย้ำมาอีก ผมกับวาสนาพยายามนึกถึงวันเดือนปีเกิด มันจำไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอก ที่จะคอยบอกวันเดือนปีเกิดให้กับลูกๆซึ่งยังเป็นเด็กๆอยู่ ผมหันมาถามวาสนาว่า

 

 

     “เธอจำได้บ้างไหม ถ้าจำได้เราก็จะคิดออกว่าเราเกิดวันไหน เพราะว่าแม่เราบอกว่าเราเกิดก่อนเธอเพียงไม่กี่วัน ส่วนเดือนและปีนั้นเกิดเหมือนกันลองนึกดูให้ดีๆเชียวนะ” 
    วาสนานั่งคิดอยู่ไม่นานนักก็ยิ้มออกมาได้ แล้วก็เอาดินสอเขียนลงบนกระดาษใบนั้น เสร็จแล้วก็ยื่นกระดาษใบนั้นให้ผมดู ผมมองดูที่วาสนาเขียนแล้วก็นับย้อนหลังวันที่วาสนาเกิดขึ้นไปอีก ๕ วัน หลังจากได้ทราบวันเดือนปีเกิด กันค่อนข้างแน่นอนแล้ว ผมก็เขียนลงไปในกระดาษใบนั้น แล้วยื่นไปให้ลุงสมหมอดูแห่งบางลานทันที        

    “เอ้าลุงผมเขียนเสร็จแล้ว  มีวันเดือนปีเกิดครบถ้วน แต่เวลาเกิดผมทั้งสองคนไม่รู้นะ ผมจึงไม่ได้เขียนลงไป ” ลุงสมละสายตาที่มองออกไปยังข้างนอกที่หนุ่มสาวกำลังเล่นเพลงกันเพลินอยู่ หันมาที่ผมแล้วรับกระดาษสองแผ่นที่ผมกับวาสนาเขียน วันเดือนปีเกิดลงไปในนั้น
   “อ้อเกิดปีเดียวกันหรือนี่ ”  ลุงสมเอ่ยขึ้นหลังจากมองดูที่กระดาษนั้นแล้ว

   “ดีแล้วลุงจะดูดวงให้หนูทั้งสองนะ เสร็จแล้วจะกลับบ้านกันเลยก็ได้ นี่ก็ค่อนข้างเย็นมากแล้วในตอนค่ำนี้ไม่รู้ว่าฝนจะตกอีกหรือเปล่า ดูท้องฟ้ามันมืดๆมาจากทางทิศตะวันตกเมฆก็มากเสียด้วย “

       ลุงสมพูดเหมือนบ่นๆเพราะว่าในตอนค่ำๆของวันนี้ที่ลานบ้านของแกนั้น จะมีงานพิธีไหว้ครูของแกถ้าฝนเทลงมาอีกละก็คงไม่สนุกแน่ๆ    “และอีกสักประเดี๋ยวลุงก็จะไม่ว่างมานั่งคุยด้วยแล้ว”

       ลุงสมพูดแล้วก็ขยับตัว เอื้อมมือไปหยิบเอากระดานแผ่นบางๆเล็กๆ สีดำ จากหน้าแท่นบูชาซึ่งวางอยู่ใกล้กับกระถางธูป พร้อมด้วยชอร์กสีขาวๆมาแท่งหนึ่ง กระดานที่ลุงสมหยิบขึ้นมานั้นมันก็คือกระดานดำ สำหรับเด็กนักเรียนเล็กๆเอาไว้ขีดเขียนและทำเลขกันบนกระดานนี้ เด็กนักเรียนเล็กๆนั้นเขาจะยังไม่ให้ใช้สมุดและดินสอดำเพราะจะสิ้นเปลืองเงินพ่อแม่ผู้ปกครองมาก

     กระดานดำนี้เมื่อขีดเขียนกันเสร็จแล้วก็จะลบได้ แล้วเริ่มต้นเขียนกันใหม่ เมื่อสมัยที่ผมยังเป็นเด็กๆนั้นก็ยังเคยใช้กระดานดำ (เขาเรียกกระดานชนวน) ขีดเขียนหนังสืออยู่และไม่ได้ใช้ชอร์กมาใช้เขียนเหมือนลุงสมด้วย แต่ใช้แท่งหินเล็กๆขีดลงไปบนกระดานชนวนนั้น

    ลุงสมก้มหน้าก้มตา ขีดเขียนวงกลมแล้ว ขีดเส้นตรงตัดวงกลมนั้นอีก ๔ เส้น ภายในและภายนอกวงกลมนั้นจึงมีช่องสี่เหลี่ยมให้ลงเลขจนครบทุกช่อง ลุงสมลงมือคำนวณเลขผานาทีให้ผมก่อน และก็ทำปากหมุบหมิบเหมือนจะบวกลบเลขอยู่ในใจ

  ในขณะที่ลุงสมแกกำลังคำนวณตัวเลข ตามตำราโบราณของแกนั้น ผมกับวาสนาก็นั่งเงียบและนิ่ง คอยดูแกทำพิธีของแกไปเรื่อยๆ โดยมิได้ออกปากอะไรออกมาเลย  จนกระทั่งเดี๋ยวนี้แล้วความกลัวและไม่ไว้ใจชายสูงอายุคนนี้ก็หมดไป เพราะว่าลุงสมแกคุยเก่งและให้ความสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่รู้ว่าพวกผมมาจากเจ็ดเสมียน และรู้ว่าผมกับวาสนาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร

     สักครู่หนึ่งแกก็เงยหน้ามองมาทางผม เพราะว่าแกดูดวงให้ผมก่อน ผมได้ยินแกจุ๊ จุ๊ จุ๊ ปากดังเบาๆขึ้นมา ๓ -๔ ที แล้วเอ่ยว่า “ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยเคยเห็น ”  ในตอนนี้จะซักถามอะไรกับแกก็ได้แล้ว ผมจึงถามแกว่า   “อะไรหรือลุง มีอะไรหรือ ลุงดูดวงให้ผมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ”

     “ดวงของหลานชายจะว่าดีก็ไม่ใช่ แต่จะว่าร้ายก็ไม่เชิงนะ” ลุงสมบอกผมแล้วยิ้มๆแล้วพูดต่อว่า “แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่คนอื่นเขาไม่ค่อยมีคือ หลานชายเป็นคนที่มีเทพ หรือบางคนก็เรียกว่า มีองค์ อยู่ถึงสองอย่างในคนเดียว คือมีทั้งพระเกศและพระโสรฬ ที่คอยคุ้มครองปกปักรักษา ไม่ให้เกิดอันตรายในยามคับขัน และตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่ตายโหง” ลุงสมเว้นจังหวะการพูดเหมือนว่าจะให้ผมถาม ผมก็เลยถามแกว่า

     “เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ”  “หลานชายก็ไม่ต้องทำอะไร สำหรับเรื่องนี้รู้แล้วก็อยู่เฉยๆก็ได้ แต่ลุงเคยเห็นบางคน เมื่อรู้ว่ามีองค์แล้วก็พยายามหาอาจารย์ดีๆเพื่อรับขันธ์ แล้วพอวันดีคืนดีถ้าเรานึกถึง องค์  ที่อยู่ประจำตัวเรา องค์นั้นก็จะมาเข้าทรงที่เรา ที่เราเคยเห็นกันบ่อยๆ”

       “แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรไม๊ ถ้าทำแบบนั้น”  ผมถามลุงสมอีกแกบอกว่า “ก็คงมีประโยชน์บ้างถ้าเรายึดมั่นถือมั่น เหมือนมีที่พึ่งทางจิตใจได้ยึดเหนี่ยวเอาไว้ แต่ถ้าหลานชายจะอยู่เฉยๆก็ได้เห็นจะไม่เป็นอะไร คนเรานะ ไม่ต้องมีอะไรมากเป็นคนดีเสียอย่างอะไรต่างๆก็จะดีหมด  ” แกพูดพลางมองหน้าผมไปพลางด้วย

      อ้อนี่เองนะหรือที่ลุงสมพยายามให้ผมอยู่ก่อนในตอนแรกๆ แล้วบอกว่า”หลานทั้งสองมีอะไรดีๆในตัว” ผมกับวาสนาก็ยังงงๆกันอยู่เลย มาถึงตอนนี้ได้รู้กันแล้ว ผมได้คุยซักถามลุงสมอีกมากมายในเรื่องนี้ แล้วก็กระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ คนขั้นอาจารย์อย่างลุงสมบอกมาว่า ผมมีองค์ แล้วผมจะทำอย่างไรดี

       แต่ในตอนหลังๆดูเหมือนว่า ลุงสมแกก็เข้าใจและดูผมออก ว่าผมไม่สบายใจแกก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เราก็อยู่ของเราอย่างนี้ อย่าไปวุ่นวายใจอะไรเลย แล้วแกก็ดูดวงของผม ต่อไปอีกและทำนายทายทักว่าผมจะได้ดีหรือจะไม่ได้ดีอย่างไรบ้าง แกก็พูดให้ผมฟังเรื่อยเปื่อยเหมือนกับตามหนังสือหมอดู ที่ผมเคยซื้อมาอ่านเล่นๆอย่างนั้นเอง

      ผมก็ทำเป็นตั้งใจฟังแกพูด เพราะว่าบางทีอาจจะมีอะไรดีๆ ที่เราจะเก็บเอาไว้ปฏิบัติตามบ้างก็ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะเชื่อที่แกพูดหรือทำนายทายทัก ในอนาคตข้างหน้าของผมบ้างหรือไม่นั้น ผมเฉยๆเพราะไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับเรื่องหมอดูอยู่แล้ว

    ส่วนของวาสนานั้นแกก็ดูให้เสียอย่างละเอียด  ตอนหนึ่งแกบอกว่า ผมกับวาสนานั้น ไม่ใช่เนื้อคู่กันหรอก คบกันอย่างเป็นเพื่อนอย่างทุกวันนี้ก็ดีแล้ว ถ้าขืนดื้อดึงจะมาเป็นเนื้อคู่อยู่ด้วยกันนั้น เป็นการฝืนดวงอย่างมากเลยทีเดียว แล้วก็จะยุ่งยากวุ่นวายในชีวิตหาความสงบสุข และความสบายใจไม่ได้เลย ผมฟังลุงสมทำนายทายทักวาสนาออกมาเช่นนี้แล้ว ผมยังคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้จริงๆหรือ ทำไมคนเราจึงได้รู้เห็นล่วงหน้าได้ขนาดนั้น

     แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องของวาสนาอยู่แล้ว เพราะว่าจริงๆแล้วเวลานี้เราก็อยู่ห่างกัน ผมทำงานอยู่กรุงเทพฯ ส่วนวาสนานั้นกลับมาอยู่บ้านนานแล้ว ไม่เคยได้ติดต่อกันโดยทางใดเลย ทำให้ผมเกือบๆจะลืมเสียแล้ว นานๆทีผมกลับมาบ้านจึงได้พบกันแบบนี้ อีกไม่กี่วันเมื่องานแห่ดอกไม้ผ่านไปแล้ว ผมก็จะกลับไปกรุงเทพฯ แล้วอีกนานจึงจะได้พบกันอีก ก็ต่อเมื่อผมกลับมาบ้านในครั้งหน้านั่นแหละ

      อีกประการหนึ่งผมไม่ได้เห่อเหิมทะเยอทะยานอะไรขนาดนั้นหรอก ผมเป็นเพียงลูกชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง ส่วนวาสนานั้นเป็นถึงลูกกำนันที่ทรงอิทธิพลที่สุดของตำบลเจ็ดเสมียน มีฐานะที่ร่ำรวย มีคนนับหน้าถือตามาก ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่มีใครยอมให้ผมง่ายๆหรอกครับ เลิกคิดได้แล้ว และผมก็ไม่ได้คิดมานานแล้ว ไม่คิดที่จะเสียดายอะไรเป็นเพื่อนกันอย่างนี้แหละดีที่สุด

         ลุงสมแกก็ดูดวงของวาสนามาเรื่อยๆ ผมก็นั่งฟังแกพูดให้เธอฟังมาโดยตลอดและคิดว่าชีวิตของวาสนา ที่ลุงสมว่ามันจะเป็นไปตามดวงนั้นจริงหรือ ผมมาคิดว่าต่อไปในเวลาข้างหน้านั้นเมื่อถึงเวลา จะเป็นไปดังที่ลุงสมบอกบ้างหรือเปล่า หรือว่าหมอดูก็คือหมอเดานั่นเอง ผมจะคอยดูต่อไปถ้าผมยังอยู่และไม่ได้มีอันเป็นไปเสียก่อน

       เรื่องที่ลุงสมทำนายทายทักวาสนานั้น ก็เกี่ยวกับวิถีชีวิตของเธอเองทั้งสิ้น ซึ่งผมก็ได้ยินอย่างชัดเจน และเห็นเธอนั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้ขยับปากจะถามไถ่หรือโต้แย้งอะไร

       (ในเรื่องนี้ผมขอไม่เปิดเผยนะครับ แต่ขอบอกว่าที่ลุงสมพูดมานั้นในชีวิตของคุณวาสนาก็เป็นจริงตามที่เขาบอกหลายอย่าง ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ในปัจจุบันบั้นปลายของชีวิตนี้ คุณวาสนาก็อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขที่บ้านพักในหมู่บ้าน เสนานิเวศน์ หัวหมาก บางกะปิ กทม.)

        ผมมองหน้าวาสนาพยักหน้าให้แก่กัน เหมือนเป็นความหมายว่า ได้เวลากลับกันแล้วนะ ลุงสมมองผมทั้งคู่แล้วก็รู้ทีจึงบอกให้ผมกับวาสนากลับกันเสียเถอะ เพราะเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ทางบ้านจะคอยดูอยู่

       ผมก็ขอบคุณลุงสมมากๆ ที่ตั้งแต่แรกผมกับวาสนา ถือวิสาสะไปถอนผักบุ้งในที่ของแก โดยไม่ได้มาขอแกเสียก่อน แต่พวกผมก็ไม่รู้จริงๆว่าผักบุ้งที่ผมถอนไปจะเอาไปให้หมูกินนั้น ลุงสมจะเป็นเจ้าของ แกก็ไม่ถือโทษอะไร มิหนำซ้ำยังชวนเข้าบ้านได้คุยกันเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังอีกมากมาย ก็ดีเหมือนกันมันเป็นประสบการณ์ในตอนหนึ่งของชีวิตในวัยรุ่นของผม

       ลุงสมเดินนำหน้าลงจากศาลาหลังเล็กนั้น แล้วพาผมกับวาสนาเดินตามไปที่ประตูรั้วด้านหน้า ที่รถจักรยานบรรทุกผักบุ้งสองคันจอดอยู่ โดยขึ้นขาตั้งเอาไว้ เมื่อถึงรถแล้วผมมองกลับไปทางศาลาหลังเล็กนั้น แล้วพูดในใจว่า

       “ท่านหมื่นรามราฆพ ครับ ไม่ว่าตำนานของท่านจะมีจริงหรือไม่จริงก็ตาม ผมขอทำความเคารพต่อท่าน และขอลาท่านไปก่อน วันข้างหน้าถ้ามีโอกาสผมจะกลับมากราบไหว้ท่านอีก วันนี้ผมและเพื่อนของผม ขอลาไปก่อนไม่สามารถจะอยู่ดูงานฉลองของท่านได้ ขอให้ท่านช่วยปกปักรักษา คุ้มครองให้การเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้จงปลอดภัยทุกประการด้วยเทอญ”

        ผมยกมือไหว้ไปทางศาลอีกครั้งหนึ่ง วาสนาทำตามผมเช่นเดียวกัน พวกหนุ่มสาวที่อยู่ตรงกลางลานบ้านหันมามองผมเป็นแถว
       ผมกับวาสนายกมือไหว้ลุงสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็กล่าวลาลุงสมตรงนั้นเลย  ลุงสมบอกก่อนที่ผมจะถีบรถจักรยานออกไปจากตรงนั้นว่า “แล้วอย่าลืมแวะมาหากันบ้างนะหลาน ”

       ผมกับวาสนาถีบรถออกมาจากบ้านลุงสมเมื่อเกือบค่ำพอดี แต่อากาศและแสงแดดในเดือนเมษายนหน้าแล้งเช่นนี้ มันมืดช้าหกโมงเย็นกว่าๆแล้วก็ยังไม่มืด เราจึงถีบจักยานที่มีผักบุ้งเต็มท้ายรถทั้งสองคันมากันอย่างสบาย

         ตลอดทางขากลับนี้เราก็คุยกันถึงเรื่องลุงสม และเหตุการณ์ที่ได้ผ่านมานี้อย่างสนุกสนานเสียงดังลั่นตลอดทาง และอีกไม่นานนักก็ถึงบ้านที่เจ็ดเสมียนโดยปลอดภัย....

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้390
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้390
เดือนนี้13308
ทั้งหมด1343192

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online